กำจัดสกุลสวี่

3005 คำ
8 เสี่ยวอี้รีบเร่งสาวเท้าออกมาจากเรือนสามทันทีที่บ่าวรับใช้มารายงานว่าองค์หญิงสามกลับมาถึง เมื่อครู่ฮุ่ยซิ่วตัดสินใจเล่าเรื่องราวทุกข์ใจของเขาให้นางฟังและขอร้องให้ถ่ายทอดทุกสิ่งอย่างที่เขาเล่าแก่องค์หญิง เสี่ยวอี้รับรู้ว่าฮุ่ยซิ่วละอายแก่ใจมากเพียงใดที่หลอกใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจขององค์หญิงเข้ามาในจวนอย่างมีจุดประสงค์ ศาลากลางสระน้ำส่วนกลางของจวนล้อมรอบด้วยดอกไม้นานาพันธ์ส่งกลิ่นหอมตีกันคละคลุ้งแต่ทว่ากลิ่นของพวกมันกลับคลายความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี เหยียนเป่านั่งเอกเขนกเอนกายพิงเบาะนุ่มขนาบข้างด้วยหวงลู่และลู่เหมยที่ผลัดกันป้อนขนมนางเอาอกเอาใจ "ตรงนี้เป็นสวนดอกไม้ล้อมสระทิศทางลมผ่านเหมาะแก่การพักผ่อน ส่วนเรือนใกล้ๆนี้เป็นของข้า เรือนผู่เยว่และเรือนของเจ้าจะอยู่ติดกันซึ่งมันไกลมาก เจ้าอาจต้องอาศัยม้าผู่เยว่หรือองค์รักษ์ที่ขี่ม้าตรวจตราในจวนไปก่อน ไว้ให้โจวจิวเมี่ยวกลับมาจากกุ้ยโจวก่อนข้าจะให้เขามาสอนเจ้าขี่ม้า" "...โจวจิวเมี่ยวเป็นใครหรือ?" ลู่เหมยเอ่ยถามเหยียนเป่าก็เอ่ยตอบ "เขาเป็นหัวหน้าองค์รักษ์ประจำจวนข้า" โจวจิวเมี่ยวรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าหมดจดเป็นที่ชื่นชอบของสตรีน้อยใหญ่ที่พบเห็น ความเย็นชาที่เป็นเสน่ห์เคยเป็นต้นเหตุให้คุณหนูตระกูลใหญ่ถกเถียงกันเพื่อยื้อแย่งเขามาแล้ว "เขารูปงามมากเจ้าอย่าได้เผลอไผลไปเล่า" เด็กหนุ่มส่ายหน้าทันที ตัวเขามิใช่ชื่นชอบบุรุษยังคงมีความรู้สึกต่อสตรีมิคิดเสื่อมคลาย เสี่ยวอี้พรวดพราดเข้ามาคารวะเหยียนเป่า ก่อนรีบตรงเข้าไปกระซิบเบาๆข้างหูนางอย่างรวดเร็วโดยที่ทุกคนยังคงงุนงงกับการปรากฏตัวของนางกำนัลโฉมงาม เหยียนเป่าสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาลุกยืนขึ้นก่อนเอ่ยกับเด็กหนุ่ม "ลู่เหมย หากเจ้ามีอะไรติดขัดต้องการความช่วยเหลือให้บอกหวงลู่หรือผู่เยว่ พวกเขาจะช่วยเหลือเจ้า ระยะนี้ข้ามีงานต้องสะสางอาจมิได้พบหน้ากันบ่อยๆ" นางลูบศรีษะเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู ก่อนหันไปเอ่ยกับหวงลู่ "หวงลู่เจ้ายังต้องดื่มยาขับพิษที่ผู่เยว่จัดเตรียมให้ อย่าได้ดื้อรั้นมิเช่นนั้นหากพิษกำเริบเจ้าเองที่จะเเย่ ไว้ข้าเข้าวังจะทูลขอสมุนไพรหายากจากฝ่าบาทมาปรุงยาดีๆให้" เหยียนเป่ารีบสาวเท้าตรงไปที่คอกม้า นำผ้าดำคลุมใบหน้าเอาไว้ "เสี่ยวอี้ ข้าจะกลับเข้าวังหลวงไปค้างที่ตำหนัก ส่วนเจ้ารีบหาคนส่งเข้าไปในจวนสกุลสวี่สักสองสามคนให้เร็วที่สุด" เสี่ยวอี้พยักหน้า แม้นางมิค่อยชอบฮุ่ยซิ่วเท่าใดนักแต่ครั้งนี้จะให้หลับหูหลับตาแสร้งมิรับรู้ในสถานการณ์เลวร้ายของครอบครัวเขาที่อยู่ในจวนสกุลสวี่นั้นนางคงทำมิได้ "เสี่ยวอี้ เจ้าอย่าให้ผู่เยว่รู้เรื่องนี้เป็นอันขาด!" ผู่เยว่รับรู้มาตลอดว่าฮุ่ยซิ่วเป็นคนของสกุลสวี่ส่งมาเพื่อลอบสังหารนาง หลายครั้งที่เขาคิดลงมือกับฮุ่ยซิ่วอย่างเด็ดขาดล้วนเป็นนางที่ห้ามไว้ หากฮุ่ยซิ่วตายบิดาและน้องสาวเขาย่อมต้องลำบากอยู่ในจวนสกุลสวี่แห่งนั้นแน่นอน เหยียนเป่าควบม้าเข้าประตูวังแต่ถูกสกัดไว้โดยทหารเวรยาม ด้วยความรีบร้อนนางจึงรีบถอดผ้าคลุมหน้าออกโยนทิ้งลงพื้น เหล่าทหารเห็นดังนั้นรีบทิ้งดาบคุกเข่าลงโดยทันที "กระหม่อมขออภัยพะย่ะค่ะ" "พวกเจ้าเพียงทำตามหน้าที่ข้ามิถือโทษหรอก ลุกขึ้นเถิด" หญิงสาวควบม้าผ่านเข้ามาหยุดตรงหน้าเหล่าขุนนางที่หลั่งไหลออกมาจากท้องพระโรงหลังการประชุมแก้ปัญหาบ้านเมืองเสร็จสิ้น อัครเสนาบดีหนิวชะงักจ้องมององค์หญิงสามด้วยสายตามิพอใจนักที่ยังเห็นนางมีชีวิตอยู่ ขุนนางน้อยใหญ่ทั้งฝ่ายบุ๊นฝ่ายบู๊ประสานมือคารวะนางอย่างพร้อมเพรียง หญิงสาวสีหน้าขึงขังแววตาดุดันตวัดมองเสนาบดีสวี่ ในใจนางคุกรุ่นอยากที่จะบั่นคอเจ้าเฒ่าจิ้งจอกเสียตรงนี้แต่มิอาจทำเช่นนั้นได้ ได้เพียงกักเก็บอารมณ์ไว้ก่อนถอนหายใจและเดินจากไป ระหว่างนั้นขุนนางฝ่ายบู๊ขั้นสูงเดินออกมาเป็นชุดสุดท้ายสวนกับเหยียนเป่าที่รีบร้อนจนมิได้สังเกตุเห็นจ้าวหย่งสือที่จ้องมองนางมิละสายตา "องค์หญิงสามมิใช่อยู่ที่ซ่งหรอกหรือ?" เหล่าขุนนางพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนาๆ แต่คำพูดเหล่านั้นมิได้ผ่านเข้าหูแม่ทัพหนุ่มเลยแม้แต่น้อย เขามองตามร่างบางที่เดินตรงเข้าไปด้านในสีหน้ามิค่อยสบายใจเท่าใดนัก... ภายในท้องพระโรง องค์ฮ่องเต้แย้มสลวลทันทีที่พระธิดาคนโปรดปรากฏตัว มีเกินจริงในสิ่งที่พระองค์คาดเดาเอาไว้ นางดื้อด้านมาแต่ไหนแต่ไรมิเคยอยู่ใต้บังคับใครแม้เเต่ฮ่องเต้เช่นพระองค์ก็ตาม "เจ้ามาช้ากว่าที่ข้าคิด" "เหยียนเป่าถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ" "ลุกขึ้นเถิด มีเรื่องใดมารายงานข้าอีกหรือ" หากมิใช่เรื่องใหญ่โตนางคงมิยอมก้าวเท้าออกจากจวนเป็นแน่ การปรากฏตัวของนางครั้งนี้สั่นคลอนความมั่นใจในตัวขุนนางใหญ่หลายคนมิน้อย ครั้งสุดท้ายที่นางเข้ามาเหยียบท้องพระโรงก็เมื่อสามปีที่แล้ว หลังจากนั้นมาก็ได้แอบช่วยงานอยู่เบื้องหลังโดยมิขอเข้าร่วมประชุมในท้องพระโรง ในเวลานั้นข่าวลือเรื่องนางทอดทิ้งงานในราชสำนักจึงแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งหลังนางหย่าขาดกับแม่ทัพใหญ่จ้าวหย่งสือทั้งยังแสร้งแกล้งประพฤติตนเป็นสตรีไร้อายนั้นก็ยิ่งทำให้ข่าวลือที่เคยแพร่สะพัดทวีคูณเป็นไฟลามทุ่งอย่างรวดเร็ว จนพวกขุนนางทนมิให้ทูลขอให้พระองค์สั่งลดตำแหน่งพระธิดาคนโปรดจากเจิ้นกั๋วเหลือเพียงกงจู่เทียบเท่าองค์หญิงทั่วไปโดยมิให้นางเข้ามามีบทบาทในราชสำนักอีก "ไม่มีเพคะ ลูกเพียงมาเยี่ยมเยียนเท่านั้น" องค์ฮ่องเต้แปลกพระทัยเป็นอย่างมาก นางเดินเข้ามาเพียงเพื่อเยี่ยมเยียนมิได้มีข่าวคราวเช่นทุกครั้งช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกยิ่งนัก "เอาเถิดๆเพียงเจ้ากลับมาข้าก็ดีใจนัก พวกขุนนางส่งเสียงเซ็งแซ่ทุกวันน่ารำคาญเหลือทน" เหยียนเป่ายิ้มขำ ผ่านไปกี่ปีเสด็จพ่อของนางก็ยังคงตรัสจิกกัดขุนนางรักทั้งหลายให้นางฟังทุกครั้งที่เจอกัน "เจ้ามิได้มีเรื่องอยากบอกข้า?" "ตอนนี้ไม่มี แต่ภายภาคหน้ามีแน่นอนเพคะ" องค์ฮ่องเต้ทรงสลวลอย่างอารมณ์ดีตรัสขึ้น "ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะเชือดสกุลใดเซ่นสังเวยการกลับมาในราชสำนักในครั้งนี้" "เหตุผลนี้มิเพียงพอให้ลูกคิดล้มล้างผู้ใดหรอกเพคะ" นางเอ่ยตอบตามตรง ต่อให้ถูกเสนาบดีสวี่ชี้หน้าด่าหรือกลั่นแกล้งรังแก นางก็มิโกรธมากพอที่จะทำลายเขาเท่ากับการที่เขาคิดทำร้ายคนรอบข้างนาง "ช่างเถิด มิว่าเหตุผลใดข้าก็อยู่ข้างเจ้าเสมอเพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำล้วนเพื่อแผ่นดินทั้งสิ้น" ด้านเสี่ยวอี้ได้ส่งสาส์นไปยังสำนักวรยุทธสืออู่ที่เมืองกุ้ยโจวขอความช่วยเหลือจากสองศิษย์น้องตามคำสั่งองค์หญิงสาม หลังส่งสาส์นไปกับพิราบขาวสืออู่ เสี่ยวอี้ได้ตรงเข้ามาในเรือนสามเพื่อปรึกษาหารือกับฮุ่ยซิ่ว "ข้าร้อนใจเป็นห่วงบิดาและน้องสาวเหลือเกิน" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาน้ำเสียงอิดโรยมือหนากำจดหมายที่ถูกส่งมาจากสวี่ซิ่วแน่น อีกสิบวันหากเขาสังหารองค์หญิงมิได้น้องสาวผู้งดงามของเขาคงมิอาจรอดเงื้อมมือคุณชายใหญ่สกุลสวี่และบิดาเขาคงมิอาจยืดยื้อชีวิตไว้ได้เช่นกัน สองปีที่ผ่านมานี้องค์หญิงมิเคยระเเวดระวังเขาเลยแม้แต่น้อย นางไว้ใจเขา ให้อิสระที่เขาโหยหามาทั้งชีวิต หลายครั้งนางมักกล่าวแฝงความนัยเพราะนางอยากช่วยเหลือเขามาตลอดแต่เป็นเขาเองที่ปิดกั้นมิยอมรับความปรารถนาดีที่นางมอบให้ น้องสาวที่โตขึ้นสวยสะพรั่งขึ้นทำให้ฮุ่ยซิ่วกังวลว่านางจะตกอยู่ในอันตรายทั้งจากสวี่ซิ่วผู้มักมากในกามารมณ์และฮูหยินทั้งหลายที่หึงหวงสามีจนอาจทำร้ายน้องสาวเขา ทั้งยังมีบิดาที่เป็นพ่อบ้านต้องคอยรองรับอารมณ์คนสกุลสวี่โดนทำร้ายตั้งแต่ยังหนุ่มกระทั่งเข้าวัยชราจนสุขภาพทรุดโทรมลงทุกวัน ทุกความเลวร้ายที่ครอบครัวเขาต้องเผชิญ ผู้เดียวที่จะช่วยเหลือปลดปล่อยมันได้มีเพียงองค์หญิงสามเหยียนเป่าผู้เดียวเท่านั้น... เสี่ยวอี้ตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่รีบอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ก่อนเร่งควบม้าไปยังตลาดเช้าเพื่อดักรอบ่าวรับใช้จากจวนสกุลสวี่ที่ออกมาจับจ่ายสินค้าอาหารเป็นประจำทุกวัน หญิงสาวนั่งสังเกตุการณ์อยู่ริมระเบียงในโรงน้ำชา ไม่นานเด็กสาวทั้งสามก็ปรากฏตัวด้านล่าง เสี่ยวอี้มิรอช้ารีบชำระเงินเดินตามห่างๆรอจังหวะพวกนางแยกย้าย จึงรีบเข้าประชิดตัว เด็กสาวอาภรณ์ฟ้าหม่นเมื่อถูกฉุดลากเข้ามายังตรอกเล็กก็ตั้งท่าจะโวยวายแต่ถูกหญิงสาวปิดปากไว้เสียก่อน "มิต้องกลัวเเม่นางน้อย ข้าเป็นนางกำนัลรับใช้เชื้อพระวงศ์" เด็กสาวใบหน้าซีดเผือดแข้งขาคล้ายจะอ่อนแรงจนเสี่ยวอี้ต้องประคองเอาไว้ "เจ้าเป็นบ่าวรับใช้สกุลสวี่มานานเท่าใดแล้ว?" นางเอ่ยถาม "หะ ห้าปีแล้ว จะ เจ้าค่ะ" "มารดาเจ้าล้มป่วยแต่สกุลสวี่มิยอมจ่ายเบี้ยเลี้ยง เจ้าจึงมิมีเงินไปรักษานาง" เด็กสาวเบิกตาโพลงครู่หนึ่งก่อนสีหน้าเศร้าสลดลง "ท่านรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ?" "มิสำคัญว่าข้ารู้ได้อย่างไร ข้าสามารถช่วยเหลือมารดาเจ้าได้ เเต่ย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยน" เด็กสาวสีหน้างุนงงเอ่ยถาม "ข้อแลกเปลี่ยนอะไรหรือเจ้าคะ?" เสี่ยวอี้กระซิบกระซาบพลางยัดถุงเงินลงบนมือบ่าวรับใช้สาวตัวน้อยที่มีสีหน้าตกตะลึง นางตั้งท่าจะปฏิเสธแต่เสี่ยวอี้รีบผละหนีไปเสียก่อน เด็กสาวก้มมองถุงเงินในมือนึกถึงหน้ามารดาก็มีใจฮึดสู้ขึ้นมาตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อช่วยเหลือหลายชีวิตที่ต้องทุกข์ทน... หลังซื้อตัวบ่าวรับใช้ในจวนสกุลสวี่เพื่อให้นางคอยส่งข่าวได้แล้ว เสี่ยวอี้ก็ได้ส่งองค์รักษ์เงาขององค์หญิงบางส่วนกระจายตัวรอบจวนเสนาบดีกรมคลังสืบหาความเคลื่อนไหวผิดปกติ ด้านเหยียนเป่าที่อาศัยอยู่ในวังมาสองวันก็มิได้นิ่งนอนใจ เข้าตรวจท้องพระคลังด้วยตนเองโดยมีขุนนางขั้นสี่ผู้หนึ่งคอยให้ความช่วยเหลือในการเปิดคลัง โดยครั้งนี้เหยียนเป่าได้ทูลขอให้องค์ฮ่องเต้เข้าร่วมตรวจทรัพย์สินด้วย ซึ่งพระองค์ก็ให้ความร่วมมือเพราะเชื่อมั่นในตัวพระธิดาคนโปรด สมุดบัญชีจดรายการทรัพย์สินเข้าพระคลังว่างเว้นมาสองปีมิมีการเปลี่ยนแปลงทั้งที่ต้าไห่ได้รับบรรณาการจากแคว้นข้างเคียงทุกปี อีกทั้งแคว้นต้าไห่ถูกล้อมรอบไปด้วยทะเลจึงต้องมีเบี้ยที่ได้จากการส่งออกสัตว์ทะเลไปขายยังแดนไกลอีกมากโขแต่สมุดบัญชีกลับว่างร้างไร้การจดบันทึก "บังอาจนัก!" องค์ฮ่องเต้ตบโต๊ะดังปัง!ทำขันทีและขุนนางที่เข้าร่วมการตรวจสอบถึงกับสะดุ้งก้มหน้างุด "ขุนนางชั่วช้าโกงกินบ้านเมือง แค่โทษประหารยังน้อยไป!" เหยียนเป่าพลิกหน้ากระดาษไปมาก่อนเอ่ยขึ้น "เสด็จพ่อเพคะ ลูกขอเวลาสามวันตรวจสอบให้แน่ชัดหาหลักฐานมัดตัวผู้กระทำผิด" นางกวาดตามองทรัพย์สินบรรณาการรูปทรงแปลกตามูลค่ามหาศาลมากมายพร้อมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง "ลูกคิดว่าทรัพย์สินที่ถูกยักยอกส่วนใหญ่ล้วนเป็นของบรรณาการจากชนเผ่าชายแดนทั้งสิ้น ด้วยรูปทรงแปลกสะดุดตาจึงทำให้เป็นที่ต้องการแลกเปลี่ยนกันได้ง่าย แต่ลูกเชื่อว่ายามนี้ของเหล่านั้นต้องยังถูกเก็บไว้เพื่อส่งต่อแก่พ่อค้าแดนไกลอีกฝากฝั่งของโพ้นทะเลเพื่อทำลายหลักฐานเป็นแน่เพคะ" หากขายให้แก่พ่อค้าในแคว้นหรือแคว้นข้างเคียงโอกาสผิดพลาดถูกจับได้ย่อมต้องมีมากกว่าการรอคอยขายสินค้าแก่พ่อค้าแดนไกลนัก "เจ้ามีแผนการอะไรหรือ?" "เพื่อมิให้ถูกครหาว่ารังแกขุนนาง เราจึงต้องหาหลักฐานให้แน่นหนา อีกสองวันจะมีพ่อค้าต่างแดนเดินทางมาเพื่อทำการค้ากับเรา ลูกเชื่อว่าขุนนางชั่วผู้นั้นต้องเคลื่อนไหวแน่นอนเพคะ" ตกเย็นเสี่ยวอี้เข้ามาพบองค์หญิงสามที่ตำหนักรายงานความคืบหน้าของแผนการ "บ่าวรับใช้นางนั้นตกลงช่วยเหลือท่าน ส่วนศิษย์น้องทั้งสองได้แฝงตัวเข้าไปเป็นบ่าวรับใช้คอยช่วยเหลือพ่อบ้านฉีและฉีฮุ่ยน่าแล้ว" เหยียนเป่าพยักหน้าเอ่ยถามขึ้น "ฮุ่ยซิ่วเป็นเช่นไรบ้าง?" "สองวันมานี้เขากล่าวโทษตนเองเรื่องท่านอยู่ตลอดเวลา" "เขามิอาจหักใจลงมือสังหารข้าได้ลงจนตนเองและครอบครัวต้องเดือดร้อน" ฟังดูแล้วคล้ายเป็นความผิดนางแต่มิใช่ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความตัองการของสวี่เสียนเฟยทั้งสิ้นที่คิดกำจัดนางให้พ้นทางเพื่อผลักดันองค์หญิงแปดเหยียนซูเม่ยพระธิดาที่แสนโง่งมเอาแต่ใจเพียงหนึ่งเดียวให้ขึ้นแทนที่โดยหวังจะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทได้มีอำนาจลอยเหนือผู้ใด "ศิษย์พี่ท่านมิผิดหรอก เป็นสวี่เสียนเฟยที่มิยอมอยู่อย่างสงบในที่ของตนคิดล้ำเส้นท้าทายท่านสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว สมควรถูกสั่งสอนเสียบ้าง" สตรีนางนี้กระทำการก่อกวนองค์หญิงของนางมาเนิ่นนาน แต่สามปีก่อนได้ส่งฮุ่ยซิ่วให้ได้พบเจอกับองค์หญิงใช้จุดอ่อนของเขาแทรกซึมจนองค์หญิงใจอ่อนยอมพาเขาเข้ามาอยู่ในจวนสกุลหานในยามนั้น คล้ายนางสงสารเห็นใจแต่แท้จริงเป็นความต้องการที่จะเก็บศัตรูไว้ใกล้ตัวเพื่อสืบสาวหาผู้อยู่เบื้องหลังต่างหาก "คนสกุลสวี่เลวร้ายป่าเถื่อนมิสมควรได้เสวยสุขบนทุกข์ผู้อื่น เสนาบดีสวี่ยักยอกทรัพย์สินหลวงมานานข้าเองก็รู้มาโดยตลอด เพียงแต่ต้องการให้ความผิดเขาเท่าภูเขาเสียก่อน โทษทัณฑ์ที่เขาได้รับถึงจะคุ้มค่ากับการที่ข้ายอมออกหน้าด้วยตัวเอง" สองวันต่อมาเรือสำเภาพ่อค้าต่างแดนได้เข้าเทียบท่ายังท่าเรือใหญ่ บ่าวรับใช้สาวที่เสี่ยวอี้ซื้อตัวไว้ประจำอยู่เรือนใหญ่จึงสามารถสังเกตุเห็นความเคลื่อนไหวในเรือนได้อยู่ตลอดเวลา ระหว่างที่นางกำลังถือถาดน้ำชาเพื่อนำเข้าไปสับเปลี่ยนนั้นก็บังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างเสนาบดีสวี่และคุณชายสวี่ซิ่วเข้าจึงแอบฟัง "ท่านปู่ สินค้าทั้งหมดถูกเก็บไว้ที่หอสุราใกล้ท่าเรือแล้ว" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น "คืนนี้รีบขนย้ายขึ้นเรือไปเสีย เก็บเอาไว้รังแต่จะทำให้ข้าร้อนใจ ประเดี๋ยวข้าก็ไปพบพ่อค้าผู้นั้นเพื่อเจรจาต่อรอง เจ้าก็จัดการในส่วนของเจ้าให้ดีอย่าให้มีสิ่งใดผิดพลาด" ชายวัยกลางคนเอ่ยพลางคำนวณรายได้ที่จะเข้าจวนอยู่ภายในใจ เด็กสาวรีบเดินกลับไปทางครัวก่อนเข้าไปกระซิบแจ้งข่าวคราวแก่สองชาวยุทธ์สาวให้พวกนางนำความส่งให้แก่องค์หญิงสาม "ท่านเสนาบดีเก็บสินค้าไว้ที่หอสุราใกล้ท่าเรือคืนนี้จะขนย้ายแล้วเจ้าค่ะ" สองสาวชาวยุทธ์มิรอช้ารีบเดินทางออกจากจวนพร้อมพาเด็กสาวบ่าวรับใช้ไปด้วยทำทีคล้ายออกไปจับจ่ายสินค้าที่ตลาดตามปกติ ณ ตำหนักองค์หญิงสาม หลังเสี่ยวอี้ได้ฟังข่าวคราวความเคลื่อนไหวในจวนสกุลสวี่จากเด็กสาวแล้ว นางก็ได้ให้เด็กสาวหลบอยู่ในจวนองค์หญิงก่อนรีบเดินทางเข้าวังทูลถวายความแก่องค์ฮ่องเต้ที่ประทับนั่งอยู่กลางโถงตำหนักองค์หญิงสาม "ทูลฝ่าบาท วันนี้เสนาบดีสวี่ได้นัดแนะพูดคุยกับพ่อค้าต่างแดนที่หอสุราใกล้ท่าเรือ ส่วนคุณชายใหญ่สวี่ซิ่วจะเคลื่อนย้ายทรัพย์สินบรรณาการขึ้นเรือสำเภาในคืนนี้เพคะ" องค์ฮ่องเต้สีพระพักตร์เรียบตึงคุกรุ่นอยู่ในพระทัย "รวดเร็วกว่าที่ข้าคิด เขาคงร้อนใจมานานถึงได้รีบร้อนเช่นนี้" พระองค์ตรัสน้ำเสียงค่อนขอด คาดโทษหนักแก่ตระกูลขุนนางชั่วผู้นี้เอาไว้แล้ว โทษสถานเดียวของการยักยอกทรัพย์หลวงคือประหารสถานเดียว "เสนาบดีสวี่กระทำการโดยมิเกรงกลัวอาญาบ้านเมืองเช่นนี้ ลูกเกรงว่าคงมิพ้นมีคนในเชื้อพระวงศ์สนับสนุนใช้อำนาจปกปิดให้" เหยียนเป่าเอ่ยขึ้นเป็นนัยพลางเหลือบสายตามองพระพักตร์พระบิดาที่เคร่งเครียดขึ้นมาหลายส่วน พระองค์นิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนตรัสขึ้นสุรเสียงหนักแน่น "หากสวี่เสียนเฟยและเหยียนซูเม่ยมีส่วนรู้เห็นจริง ข้าก็มิอาจละเว้นพวกนางได้เช่นกัน!"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม