ต้าซ่ง

3407 คำ
1     วันที่สิบเดือนสาม ณ วังหลวงแคว้นซ่ง ขบวนเสด็จองค์หญิงเหยียนซ่านแห่งต้าไห่ผ่านเข้าประตูเมืองชิงเถาตรงไปยังวังหลวงเข้าเฝ้าซ่งหยางหลงฮ่องเต้พระเชษฐาว่าที่พระสวามี       ท้องพระโรงกว้างใหญ่โอ่อ่าประดับไปด้วยทองคำสว่างไสว เหล่าขุนนางเชื้อพระวงศ์ต่างเข้าร่วมงานต้อนรับองค์หญิงต่างแคว้นว่าที่พระชายาในสืออ๋องซ่งหยางเฉินครบทุกรำดับขั้น เหตุเพราะแคว้นต้าไห่เป็นดินแดนใหญ่มากอำนาจและมั่งคั่งเคยช่วยเหลือเกื้อกูลซ่งมาก่อน จึงต้องต้อนรับองค์หญิงใหญ่อย่างสมเกียรติ       "องค์หญิงเหยียนซ่านเสด็จ!" ทุกชีวิตหันหน้ามองประตูบานใหญ่ที่เปิดออกอย่างพร้อมเพรียง เหยียนซ่านย่างกรายเข้ามาด้วยกิริยาท่าทางเรียบร้อยนุ่มนวล ใบหน้างดงามประดับรอยยิ้มอ่อนโยน รูปร่างที่สูงโปร่งกว่าสตรีแคว้นซ่งเป็นที่สะดุดตา มิใช่เพียงนางเท่านั้นที่ถูกจ้องมอง องค์รักษ์หญิงและนางกำนัลที่ติดตามมาด้วยต่างได้รับความสนใจไปถ้วนทั่ว     "หม่อมฉันเหยียนซ่านถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ" น้ำเสียงนางหวานรื่นหูทำคนฟังเกือบเคลิบเคลิ้ม อี้ฮองเฮาที่ประทับนั่งข้างกายจำต้องสะกิดเตือน "เอ่อ...องค์หญิงเหยียนซ่าน ลุกขึ้นเถิด"       ในพระทัยมังกรพลันนึกเสียดาย เพราะแรกเริ่มเดิมทีฮ่องเต้องค์ก่อนและฮ่องเต้ต้าไห่คาดหวังให้พระองค์และเหยียนซ่านได้ครองคู่กัน แต่ทว่าไทเฮาผู้เป็นพระมารดากลับมิเห็นด้วย หันไปสนับสนุนสืออ๋องให้ได้พบเจอเหยียนซ่านสานสัมพันธ์จนก่อเกิดเป็นรักดังเช่นทุกวันนี้     สืออ๋องส่งยิ้มให้ว่าที่พระชายาเอก สายตาเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยรัก สร้างความริษยาแก่ชายารองและอนุชายาทั้งหลายยิ่งนัก "องค์หญิงเหยียนซ่าน พระบิดาท่านสบายดีหรือ?" เสียงนุ่มทุ้มตรัสถาม "เสด็จพ่อทรงแข็งแรง ร่ายรำกระบี่เป็นประจำเพคะ" เหยียนซ่านเอ่ยตอบเสียงหวานพลางเหลือบมององค์รักษ์หญิงข้างกายเป็นระยะ     องค์หญิงเหยียนเป่าในคราบองค์รักษ์หญิงยืนประจำกายพี่สาวสอดส่องสายตาไปทั่วพลันเห็นที่ประทับหนึ่งในฝั่งอ๋องว่างเว้น ในหัวจินตนาการเรื่องพิลึกพิเรนท์ก่อนหัวเราะคิกคักคนเดียวในใจ     "น้องสาม!" เหยียนซ่านกระซิบปรามน้องสาวเมื่อเห็นสีหน้าจิ้งจอกปรากฏขึ้นมาวูบหนึ่งบนใบหน้างามของนาง "ข้าหาได้คิดทำสิ่งใด พี่หญิงคิดมากไปแล้ว"     นางเอ่ยตอบทำหน้าตาทะลึ่งทะเล้นมิสนสายตาทั่วทั้งท้องพระโรงที่จ้องมองอยู่ ซ่งหยางหลงฮ่องเต้เห็นสีหน้าอ่อนเพลียของอดีตพระคู่หมั้นก็รีบรับสั่งให้นางไปพักผ่อน "เหยียนซ่านเจ้าเดินทางมาไกล คงเหนื่อยและอ่อนเพลีย เช่นนั้นสืออ๋อง เจ้าพาว่าที่พระชายาไปพักผ่อนเสียเถิด"     "ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันทูลลาเพคะ" เหยียนซ่านย่อกายเล็กน้อยก่อนเดินเคียงข้างว่าที่พระสวามีออกไปตามด้วยเหยียนเป่าในคราบองค์รักษ์หญิงและนางกำนัลที่ตามหลังด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม "องค์รักษ์หญิงนางนั้น ท่าทางแปลกเหลือเกินเพคะ" ลี่กุ้ยเฟยที่ประทับอยู่ด้านซ้ายเอ่ยขึ้น แม้นางจะเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่แต่เคยเป็นองค์รักษ์หญิงให้ไทเฮานานหลายปี พอได้พบเจอองค์รักษ์ที่เป็นสตรีจึงให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ "แปลกเช่นไรหรือ?"     "ทูลฝ่าบาท องค์รักษ์หญิงนางนั้นแม้ปิดบังใบหน้าแต่ยังดูออกว่างดงาม ผิวพรรณเรียบเนียนราวกับหยกขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา แตททุกท่วงท่าก้าวเดินนางเอื่อยเฉื่อยมิแข็งแรงมิมั่นคงมิคล้ายคนที่ต้องดูแลปกป้องผู้อื่นเลยเพคะ" นางอธิบายพลางทอดสายตามองร่างระหงส์ในชุดดำรัดกุมที่เดินเหวี่ยงแขนไปมามีนางกำนัลคอยประจบไม่ห่าง "นางดูแปลกก็จริง แต่คงมิมีสิ่งใดน่าสนใจหรอก" ซ่งหยางหลงตัดบทสนทนาหันไปจับจูงมืออี้ฮองเฮาเดินออกไปจากท้องพระโรงทิ้งสนมอื่นจ้องมองด้วยสายตาริษยาแต่ก็ยังมีสนมเพียงน้อยนิดที่มิได้สนใจใยดีโดยเฉพาะลี่กุ้ยเฟยที่ยังคงนั่งดื่มชากินขนมสบายใจ...     ณ เรือนรับรอง เพราะสืออ๋องต้องการพูดคุยกับเหยียนซ่านตามลำพังเหล่านางกำนัลจึงพากันไปพักผ่อน มีเพียงเหยียนเป่าที่ออกมาเดินเล่นในสวนใกล้เรือนรับรอง นางทิ้งตัวนั่งลงใต้ต้นไม้ริมบ่อน้ำก่อนปลดผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นรูปโฉมงดงาม ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสะท้อนภาพระลอกคลื่นบนผืนน้ำ     แววตาพลันหมองหม่นเมื่อจู่ๆดันนึกถึงอดีตสามีที่เพิ่งหย่าขาดจากกันไปไม่นานขึ้นมา "เจ้าบ้าหย่งสือ! เจ้าคนชั่วช้า!" เหยียนเป่าเด็ดกิ่งไม้ฟาดไปมาลงบนหญ้า "เจ้าบ้า! เจ้าบ้า!"      เดิมทีนางนั้นเป็นฮูหยินแม่ทัพต้าไห่จ้าวหย่งสือ แต่งกันมาหนึ่งปีความรักหวานชื่นไร้อุปสรรค ก่อนหย่าขาดกันสองสามเดือนเขาเริ่มหายหน้าหายตานอนค้างในกองทัพมิยอมกลับจวน สองเดือนต่อมาเขากลับมาจวนพร้อมบุตรสาวกุนซือหนิวทั้งยังแนะนำให้นางรู้จักในฐานะฮูหยินรอง นางยังจำความรู้สึกเหล่านั้นได้ ความรู้สึกเสียใจ เจ็บปวดใจ อ้างว้างเงียบเหงา นางผ่านมันมาหมดแล้วในจวนตระกูลจ้าวแห่งนั้น      ค่ำคืนนั้นหลังส่งองค์หญิงเหยียนซ่านเข้านอน เหยียนเป่าก็แอบออกมาเที่ยวหอชายงามกับนางกำนัลคนสนิทนามเสี่ยวอี้ "เสี่ยวอี้เจ้าว่าข้าควรมีความสัมพันธ์กับหนุ่มงามดีหรือไม่?" หลังหย่ากับแม่ทัพใหญ่รูปงามอดีตสามี เหยียนเป่าก็มิเคยปล่อยให้ตัวเองเงียบเหงายังคงเสาะหาบุรุษรูปงามมาไว้ข้างกายแต่กลับมิเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงขั้นอุ่นเตียง เพราะยังคงมีความรู้สึกบางอย่างตีรวนในใจ "หม่อมฉันมิเห็นด้วยเพคะ!" นางกำนัลคนสนิทคัดค้านเสียงแข็ง "มิเห็นด้วยอย่างไร?"     "มิเห็นด้วยที่องค์หญิงยอมแพ้ท่านแม่ทัพเพคะ!" นางกล่าวเสียงจริงจังเสียจนเหยียนเป่าอดขำมิได้ "แปลว่าเจ้าเห็นด้วยที่ข้าจะมีความสัมพันธ์กับบุรุษอื่นบ้าง" นางย้ำถามเพื่อความแน่ใจและคำตอบของเสี่ยวอี้ก็ทำให้นางฮึกเหิมอย่างยิ่ง "ถูกต้องแล้วเพคะ!"     สองนายบ่าวจับจูงกันเดินเข้าหอชายงามเลื่องชื่อแห่งชิงเถา ความผิดหวังคือสิ่งใดยามนี้พวกนางหารู้จักไม่ ชายงามที่นี่งามจริงแท้แน่นอน งามเสียจนสองสตรีต้าไห่ถึงกับเคลิบเคลิ้มรู้ตัวอีกทีก็ถูกพามานั่งในห้องชั้นสองแล้ว "แม่นางทั้งสองเชิญนั่งขอรับ" ชายหนุ่มเปลือยท่อนบนเผยร่างกำยำราวผู้ฝึกยุทธรินน้ำชาแก่สตรีทั้งสองที่จ้องมองตนสายตาเป็นประกาย นานทีปีหนจะมีสาวงามเช่นนี้มาเยือนเมื่อถูกจดจ้องนานเข้าก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา "แม่นางทั้งสองจะรับชายงามกี่คนขอรับ"     "ไม่รับ!" เสียงหวานกราดเกรี้ยวคุ้นหูดังขัดขึ้น เหยียนเป่าลุกพรวดหมายเอาเรื่อง แต่ทว่าใบหน้านั้นหากมิคล้ายเหยียนซ่านนางคงทุบศรีษะด้วยไหสุราไปแล้ว "พะ พี่หญิง!"     ณ เรือนรับรอง สืออ๋องที่นั่งอยู่ด้วยภายในโถงมององค์หญิงสองพี่น้องถกเถียงกันด้วยความขบขัน คนหนึ่งเรียบร้อยอ่อนหวานแม้ยามดุดันยังคงดูนุ่มนิ่ม อีกคนปากคอเลาะร้ายแต่ถ้อยคำแฝงความเฉลียวฉลาด "เจ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไรน้องสาม!" เหยียนซ่านต่อว่าน้องสาวด้วยความโมโห หากนางกำนัลของนางมิบังเอิญพบเห็นเหยียนเป่าและเสี่ยวอี้แอบออกไปนอกเรือนรับรองกลางดึกยามนี้เหยียนเป่าคงจะกระทำเรื่องมิสมควรไปแล้ว "บ้าหรือ?! ที่ต้าไห่ข้าก็มีชายงามมากมายในจวน ยามนี้ตัวข้าอยู่ซ่งย่อมต้องมีชายงามข้างกายเหมือนกัน!"     สองพี่น้องจ้องหน้ากันมิมีใครยอมใคร เหยียนเป่าสะบัดหน้าหนีเอ่ยขึ้นยาวเหยียด "ข้าถูกสามีบีบให้ออกจากจวน ตัวเขายามนี้ก็คงมีสาวงามมากมายล้อมรอบ เช่นนั้นแล้วข้าจะยอมแพ้ได้อย่างไร!" เหยียนซ่านถอนใจยาวลุกขึ้นโอบกอดน้องสาว "ข้ารู้เจ้าเสียใจแต่อย่าทำลายตัวเองเช่นนี้ หากมิเห็นแก่ตัวเองก็เห็นแก่เสด็จพ่อและหรงซูเฟยมารดาเจ้าบ้าง" เหยียนเป่าสีหน้าสลดลงเงยหน้ามองพี่สาวต่างมารดา "ได้ ข้ารับปากว่าจะมิแวะเวียนไปหอชายงามอีก..." แม้จะรับปากแต่สายตากลับเหลือบไปด้านหลังสืออ๋องอยู่ตลอดเวลา     "พี่หญิง องค์รักษ์พี่เขยผู้นั้นมีนามว่าอะไรหรือ?"            กว่าสามวันแล้วที่เหยียนเป่าปลอมตัวเป็นองค์รักษ์หญิงข้างกายเหยียนซ่าน นอกจากนางกำนัลและองค์รักษ์จากต้าไห่แล้วก็มีเพียงสืออ๋องที่ทราบว่านางคือองค์หญิงสามแห่งราชวงศ์เหยียน     "...เสี่ยวอี้ข้าเบื่อ" เหยียนเป่าคร่ำครวญกับนางกำนัลคนสนิท หลังจากวันนั้นที่ถูกลากกลับจากหอชายงามเหยียนซ่านก็มิอนุญาติให้นางออกนอกวังหลวงอีกทั้งยังสั่งองค์รักษ์และนางกำนัลให้จับตาดูนางแทบทุกย่างก้าว "องค์หญิงใหญ่สั่งห้ามพวกเราออกนอกวังเพคะ" เสี่ยวอี้เอ่ยเสียงเนิบเนือยเบื่อหน่ายมาหลายวันเช่นกัน "บุรุษชายงามมีทั่วทุกหนแห่ง วังหลวงใหญ่โตโอ่อ่าจะมิมีงั้นหรือ?" วังหลวงแห่งนี้มีองค์รักษ์รูปงามมากมาย แม้แต่บุรุษครึ่งๆกลางๆอย่างขันทีก็ยังน่าดูชมไม่น้อย "คนในห้ามออกแต่คนนอกมิได้ห้ามเข้า เช่นนั้นจะรอช้าอยู่ทำไม รีบไปตามพวกขันทีมา..."     "แต่องค์หญิง..." เสี่ยวอี้คิดค้าน แม้ขันทีจะเป็นบุรุษแต่ก็มิสามารถทำหน้าที่บุรุษได้เช่นนั้นจะทำให้นางผ่อนคลายได้อย่างไร "ในรั้วในวังมิอาจทำเรื่องบัดสี เพียงเรียกพวกเขามาพูดคุยร่วมดื่มชาก็เพียงพอแล้ว" เหยียนเป่ากล่าวน้ำเสียงผ่อนคลาย ตัวนางแม้เกี้ยวบุรุษมานับร้อยนับพันนับตั้งแต่ต้าไห่จนถึงซ่ง แต่นางก็ยังมิเคยร่วมเตียงกับบุรุษใด ต่างจากเสี่ยวอี้ที่เลี้ยงชายยาใจไว้มากมายล้นเรือนวันดีคืนดีก็ตีกันแย่งความโปรดปรานดั่งสตรีมิมีผิด     งานเลี้ยงน้ำชาเล็กๆถูกจัดขึ้น ณ ศาลาริมน้ำใกล้เรือนรับรอง ขันทีรูปงามที่ถูกคัดสรรส่งตรงมาจากสืออ๋องสร้างความพอใจให้กับสองสตรีนายบ่าวเป็นอย่างยิ่ง "แม่นางทั้งสองขอข้ารินน้ำชาให้เถิด" ขันทีหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวพลางรินน้ำยกป้อนเหยียนเป่า ทำองค์รักษ์หญิงกำมะลอเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง นางหันสบตานางกำนัลคนสนิทเป็นนัยน์ "โอ๊ย! เสี่ยวอี้เจ้าผลักข้าทำไม?" ร่างบางเอนเอียงตามเเรงผลักของนางกำนัลคนสนิทโผซบอกแกร่งขันทีหนุ่มข้างกาย พลันรู้สึกแปลกใจกับรูปร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามราวกับผู้ฝึกยุทธ์จนเผลอนำมือขึ้นลูบไล้หน้าท้องเขาด้วยความเคลิบเคลิ้ม "มะ แม่นาง"     เหยียนเป่าได้สติรีบผละตัวออก "อะ เอ่อ ข้าขออภัย" นางยิ้มเจื่อนใบหน้างามซับสีแดงระเรื่อ ช่างน่ารักในสายตาขันทีหนุ่มยิ่งนัก "เอ่อ เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ?" นางถามขึ้นกลบเกลื่อนความเขินอาย     "เรียกข้าว่าอาเฮ่าเถิด" ขันทีหนุ่มกล่าวพลางยกยิ้มขบขันกับท่าทางเขินอายของนาง "เจ้าอาเฮ่า ข้าอาเป่า ข้าว่าเราสองนั้นต้องมีวาสนาต่อกันเป็นแน่ ขนาดชื่อยังคล้องจองกันเลย" เหยียนเป่ากล่าวพลางหัวเราะร่วนอารมณ์ดีทำคนรอบข้างพลอยมีความสุขไปด้วย     สองชั่วยามผ่านไปเมื่องานเลี้ยงจบลง เหล่าขันทีก็แยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ตน ส่วนสองสตรีนายบ่าวยามนี้อิ่มเอมใจนอนกลิ้งไปมาในห้องนอน "อาเฮ่ารูปงามผู้นี้แม้สวมชุดขันทีก็มิอาจปกปิดตัวตนจากสายตาข้าได้ ข้ามั่นใจว่าเขาต้องเป็นคนในเชื้อพระวงศ์แน่" เหยียนเป่าโพล่งขึ้นน้ำเสียงจริงจัง "เชืัอพระวงศ์หรือเพคะ?!" เสี่ยวอี้อุทานเสียงหลง หากเป็นเช่นนั้นจริงเมื่อครู่ที่นางเผลอตีเขาทั้งยังแอบแกล้งเขา นางจะต้องถูกประหารข้อหาทำร้ายเชื้อพระวงศ์หรือไม่?!     "เขาลงทุนปลอมตัวเป็นขันทีเพื่อมาสร้างความสำราญให้เรา ฉะนั้นข้าคิดว่าเขาคงมิถือสาหรอก" เหยียนเป่าเอ่ยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ บุรุษผู้นั้นเป็นใครก็ช่างแต่ท่าทางเขาเมื่อครู่นั้นมิได้ฝืดฝืดใจในการปรนนิบัติพวกนางแม้แต่น้อย เช่นนั้นแสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเต็มใจปลอมตัวเองโดยมิได้ถูกบังคับมาแน่นอน "ช่างเป็นบุรุษที่น่าสนใจยิ่งนัก"     ในที่สุดวันงานสมรสระหว่างองค์หญิงเหยียนซ่านและสืออ๋องก็มาถึง ทั่วทั้งตำหนักหนานเปียนประดับประดาไปด้วยข้าวของสีแดงมงคล เมื่อขบวนเจ้าสาวเดินทางมาถึงหน้าตำหนักก็พบว่าสืออ๋องนั้นได้ยืนรออยู่แล้ว ใบหน้าหมดจดอิ่มเอมเปรมใจมองว่าที่พระชายาในอาภรณ์สีแดงด้วยสายตาอ่อนโยน "สายตาพี่เขยที่มองท่านเมื่อครู่ ช่างหวานหยาดเยิ้มราวน้ำผึ้ง...โอ๊ย!" เหยียนเป่ายกมือลูบศรีษะหลังโดนกำปั้นเล็กโขกเข้าให้เต็มแรง "พูดเพ้อเจ้ออะไรของเจ้า น้องสาม" เหยียนซ่านยามนี้เขินอายจนใบหน้าร้อนผ่าวๆ ยิ่งถูกน้องสาวหยอกล้อเข้าหน่อยก็ยิ่งเขินอายทวีคูณจำต้องใช้กำลังเล็กน้อยเพื่อหยุดคนพูดมากเหยียนเป่า     ในงานพิธีซ่งหยางหลงฮ่องเต้ได้เสด็จมาร่วมอวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาวถึงตำหนักหนานเปียน ทั้งยังมีองค์รัชทายาทเหยียนเริ่นพระอนุชาร่วมอุทรองค์หญิงเหยียนซ่านเสด็จมาร่วมงานด้วยเช่นกัน แต่เพราะองค์หญิงเหยียนเป่ามิค่อยถูกชะตากับพี่ชายต่างพระมารดาผู้นี้เท่าใดนัก อีกทั้งการเสด็จมาของเหยียนเริ่นครั้งนี้มีแม่ทัพจ้าวหย่งสืออดีตสามีของนางติดตามมาคุ้มกันด้วย นางจึงรีบหลบเลี่ยงออกมาจากงานพร้อมเสี่ยวอี้ "ไปไหนกันดีล่ะเสี่ยวอี้ ไปเที่ยวตลาดดีหรือไม่?" นางเอ่ยถามความเห็นนางกำนัลคนสนิทพลางชมนกชมไม้ไปพลางๆ     "แม่นางทั้งสอง จะไปไหนกันหรือ?" เสียงคุ้นหูดังขัดขึ้น ทำให้สองสตรีนายบ่าวรีบหันมองพร้อมเพรียงกัน "อ้าว! อาเฮ่าเจ้ามิได้อยู่ในงานหรอกหรือ?" อ๋องหนุ่มในคราบขันทีส่ายหน้ามององค์หญิงผู้แสนซุกซนในคราบองค์รักษ์หญิงอย่างพิจารณา จากคำบอกเล่าของพระเชษฐา องค์หญิงเหยียนเป่าผู้นี้แม้ดูเสเพล เจ้าสำราญ แต่ทว่ากลับมีตำแหน่งเป็นถึงเจิ้นกั๋วเพียงหนึ่งเดียวในราชวงศ์เหยียน ทั้งยังมีอำนาจและบทบาทในราชสำนักเทียบเท่าอ๋องและขุนนางเลยทีเดียว "ตกลงพวกเจ้าจะไปที่ใด ข้าขอไปด้วยได้หรือไม่?" เหยียนเป่าพยักหน้าคว้ากุมมือหนาไว้แน่น "ข้าจะไปตลาด อาเฮ่า เจ้าพาข้าไปได้หรือไม่?" นางเอ่ยน้ำเสียงอ้อนออดกระพริบตาปริบๆ "ย่อมได้ เช่นนั้นเดินไปก็แล้วกัน จะได้สนทนากันยาวๆ"     ในงานพิธี จ้าวหย่งสือกวาดสายตามองหาอดีตฮูหยินแต่มิเห็นแม้แต่เงาของนาง "นางคงไปไล่เกี้ยวบุรุษอยู่ที่ไหนสักแห่งเจ้าอย่าได้สนใจไปเลยหย่งสือ" เหยียนเริ่นกล่าวกระซิบกับสหายหนุ่ม จ้าวหย่งสือตวัดสายตามองมิค่อยพอใจนัก แม้เขาจะเคยเห็นกับตาว่านางเคยทำอย่างเช่นที่เหยียนเริ่นกล่าว แต่ที่นางเป็นเช่นนี้ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดเขาทั้งสิ้น     "แม้ข้าจะไม่ชอบน้องสามมากนักแต่เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็อดสงสารมิได้ พฤติกรรมนางในตอนนี้เลื่องลือไปไกลข้ามแคว้นข้ามเมือง พวกขุนนางก็ท้วงติงเรียกร้องให้เสด็จพ่อปลดนางออกจากตำแหน่งเจิ้นกั๋วอยู่ทุกวัน" เหยียนเริ่น กล่าวเสียงเนิบนาบ เหยียนเป่าเดิมทีปากร้ายซุกซนชื่นชอบกลั่นแกล้งขุนนางใหญ่ หลังหย่าขาดสามีก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในตำหนักมิยอมปรากฏกายร่วมสามเดือน หลังจากนั้นมินานนางก็เริ่มเข้าหอชายงามร่ำสุราเกี้ยวบุรุษ ก่อนขอพระราชทานจวนนอกวังหลวงเป็นของตนเองเลี้ยงดูบุรุษรูปงามมากมาย     ฮ่องเต้ต้าไห่และหลิวซูเฟยทรงหนักใจกับพฤติกรรมเสเพลของพระธิดาเป็นอย่างมาก จึงมีพระบัญชาให้เหยียนเป่าปลอมตัวเป็นองค์รักษ์หญิงคุ้มกันเหยียนซ่านเดินทางมายังซ่ง เพราะหากนางยังคงอยู่ในต้าไห่เกรงว่านางจะทำให้จวนองค์หญิงกลายเป็นหอชายงามไปเสีย     "เจ้ายังมีใจต่อนางอยู่หรือ?" เหยียนเริ่นเอ่ยถามและมิได้คาดหวังได้คำตอบ เพราะตลอดหลายเดือนตัวเขานั้นเฝ้าถามความในใจสหายอยู่เสมอแต่จ้าวหย่งสือก็มิเคยปริปากอะไรออกมา "ทุกการกระทำไม่ว่าชั่วดีย่อมมีเหตุผลเสมอพะย่ะค่ะ" แม่ทัพหนุ่มกล่าวก่อนเดินเลี่ยงออกไป ทิ้งให้เหยียนเริ่นมองตามด้วยความคลางแคลงใจ     ตลาดเมืองชิงเถาครึกครื้นผู้คนพลุกพล่านหนึ่งบุรุษสองสตรีพากันกันเดินแวะร้านนู้นออกร้านนี้มิรู้จักเหน็ดเหนื่อย "อาเป่า เสี่ยวอี้ เจ้าลองกินนี่ดู อาหารขึ้นชื่อของแคว้นซ่ง แพะตุ๋นสมุนไพร" อ๋องหนุ่มคีบเนื้อเเพะใส่ถ้วยสองสตรี เหยียนเป่ายกยิ้มคีบเนื้อตุ๋นเข้าปาก ในขณะที่เสี่ยวอี้ยังคงจดๆจ้องๆเขาและชิ้นเนื้อในถ้วยสลับไปมา "มีอะไรหรือแม่นางเสี่ยวอี้?"     "ท่าน! เอ่อ ขอบคุณเจ้าค่ะ" เหยียนเป่ารู้ดีว่านางกำนัลคนสนิทผู้นี้คิดถามเรื่องฐานะอาเฮ่า นางจึงถลึงตาดุใส่ "ขอโทษนะอาเฮ่า เสี่ยวอี้เสียงดังใส่เจ้าคงตกใจมิน้อย" ขันทีหนุ่มกำมะลอเพียงยกยิ้มมิเอ่ยคำใด เขาพอรู้ว่าเสี่ยวอี้คิดจะพูดสิ่งใดเพียงแต่นางถูกเหยียนเป่าขัดขวางเสียก่อนเท่านั้นเอง     ค่ำคืนของบ่าวสาวผ่านไป บัดนี้องค์หญิงเหยียนซ่านได้กลายเป็นเหยียนหวางเฟยแล้ว "พี่หญิงคงกำลังเหน็ดเหนื่อย เช่นนั้นวันนี้เราอาจมิเจอนาง" เหยียนเป่าเอ่ยขึ้นขณะนั่งส่องคันฉ่องมีเสี่ยวอี้เกล้าผมปักปิ่นให้อยู่ด้านหลัง "เสี่ยวอี้ปีนี้เจ้าเองก็อายุสิบเเปดแล้วใยมิสู้หาสามีดีๆสักคนมาเคียงข้าง" นางกำนัลร่างบางส่ายหน้ารัว "หม่อมฉันมิใช่บริสุทธิ์แล้ว ชายใดจะอยากข้องแวะเพคะ" เหยียนเป่ากระตุกยิ้มส่งสายตาล้อเลียนนางกำนัลคนสนิท "มิใช่กลัวว่าหากมีสามีแล้วหนุ่มงามของเจ้าจะเสียใจหรือ"      "องค์หญิงทรงรู้ความในใจหม่อมฉันแล้ว" เสี่ยวอี้ถอนหายใจยาว "เดิมทีหม่อมฉันมิได้อยากมีบุตรจึงมิได้เดือดร้อนเรื่องคู่ครอง" นางมิเคยสนใจบุรุษใดอย่างจริงจังมาก่อน ชีวิตที่เกิดมาในตระกูลที่มีแต่บุตรชาย บุตรสาวเช่นนางจึงรู้สึกกดดันเป็นอย่างยิ่ง ญาติพี่น้องพากันกลั่นแกล้งรังแกเพราะเห็นว่าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงอ่อนแอ เมื่ออายุได้สิบปีนางได้หลบหนีออกจากจวนตระกูลชิวขึ้นเขาตามสตรีผู้หนึ่งไปจนถึงสำนักวรยุทธ์สืออู่ และได้ฝากตัวเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับองค์หญิงเหยียนเป่านับแต่นั้นมา       "ชิวชงอวี้ ใต้หล้านี้มีสตรีมากมายถูกกดขี่ข่มเหง ข้าเองแม้เป็นถึงองค์หญิงบางครั้งบางคราวก็ถูกพวกขุนนางดูถูกอย่างมิเกรงกลัวเช่นกัน" เหยียนเป่าจับมือสตรีผู้เป็นทั้งคนรับใช้ สหายและศิษย์น้องร่วมสำนัก "ข้ามิได้หวังให้เจ้าเปลี่ยนความคิด ขอเพียงอย่าหวนนึกถึงคนพวกนั้นให้ใจเจ้าต้องเจ็บปวดอีก"    
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม