คริสต์กางแขนออก เมื่อตอนนี้เขาก้มมองดูตัวเองที่เลอะเทอะไปด้วยน้ำกาแฟเย็น วันนี้มันวันอะไร! ทำไมถึงมีเรื่องแย่ๆได้ตลอดเช้านี้ คริสต์ถอนหายใจออกมาพยายามจะระงับอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเอง และสายตาค่อยๆมองคนตรงหน้า ไล่มาตั้งแต่ปลายเท้า จนถึงใบหน้าที่มองเขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างพร้อมกับปากที่เปิดค้างไว้
“ยายเด็กแว่นหน้าโง่ เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ สถานที่นี่ ไม่ใช่ที่ของเด็กหน้าตาอย่างเธอจะเที่ยวมาเดินเพ่นพ่าน” คริสต์ปล่อยคำที่ส่อถึงความไม่พอใจเมื่อหญิงสาวตรงหน้าเดินชนเขา จนกาแฟเย็นในมือของหญิงสาวหกเลอะเทอะใส่เสื้อผ้าเขา
“ถ้าฉันรู้ว่าเข้ามาสถานที่นี่แล้วต้องมาเจอผู้ชายที่เลี้ยงหมาไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนไว้ในปากมากมายขนาดนี้ ฉันก็ไม่เข้ามาให้เสนียดติดรองเท้าฉันเป็นเด็ดขาด” กอหญ้้าที่ไม่พอใจคำพูดของผู้ชายที่มีดีแต่หน้าตา
“ปากดีนักนะ ยายเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เธอคงไม่รู้สินะว่าฉันเป็นใคร” คริสต์จ้องมองคนตรงหน้าสบตากับดวงตาผ่านแว่นหนาที่มองกลับเขาอย่างไม่เกรงกลัวเช่นกัน คริสต์ละสายตามองหญิงสาวตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้าอีกครั้งและในความคิดเขา ผู้หญิงคนนี้มีรสนิยมการแต่งตัว เอ้าท์สุดๆ (out) ในสายตาเขา
กอหญ้าที่ไม่พอใจสายตาที่หยามเหยีดคนของผู้ชายตรงหน้า เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลบสายตาเขา ถึงแม้เธอจะต้องเงยหน้าสู้สายตาเขาก็ตามทีเหอะ!เพราะผู้ชายคนนี้น่าจะมีความสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตร
“จะเป็นใครก็ช่าง! ฉันไม่อยากรู้ เพราะเซลล์สมองของฉันมันมีค่ามากกว่าจะมารู็จักและจดจำคนอย่างนาย”
“ รปภ.!!!” คริสต์ตะโกนดังลั่น เมื่อความอดทนของเขากำลังจะไม่เหลือ เพราะเขาไม่อยากได้ชื่อว่าทำร้ายผู้หญิง
“ครับ”ลุงชัด รปภ. เฝ้าหน้าประตูวิ่งเข้ามาทันทีเมื่อได้ยินเสียงของเจ้านาย
“เอายายบ้านี่!!! ออกจากที่นี่ เดี๋ยวนี่!!!” คริสต์พูดเพียงแค่นั้นและเดินจากไปโดยที่ไม่หันมามองกอหญ้าที่เบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อว่า นี้คือการ กระทำของคนที่เรียกว่าผู้ชาย แต่ขาดความเป็นสุภาพบุรุษ
เจ้าหน้าที่หน้าเค้าเตอร์ ที่รีบลุกออกมายืนมอง ‘อุบัติเหตุ’ ได้สักพัก แต่เธอไม่กล้าที่จะเข้าไป เพราะที่นี่ไม่มีใครที่จะไม่รู้จัก คริสต์ มาร์ติน เชียร์เลอร์ และอารมณ์ของชายหนุ่มคนนี้ว่าน่ากลัวเพียงใด และนี้ก็เป็นบุญตาที่เธอได้เห็นผู้หญิงคนแรกที่กล้าต่อปากกับเจ้านายหนุ่มเลือดร้อน
“คุณกอหญ้า เจ็บตรงไหนมั้ยคะ?” เจ้าหน้าที่หน้าเค้าเตอร์ ขยับไปหา กอหญ้าทันทีเมื่อคริสต์เดินจากไป
“เอ่อ!...ไม่ค่ะ...หญ้าต้องขอโทษด้วยนะคะ...” กอหญ้าพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาไหว้เจ้าหน้าที่ที่เข้ามาถามเธออย่างห่วงใย และเธอก็ยกมือไหว้แม่บ้านที่รีบเข้ามาเคลียทำความสะอาดพื้นที่ ที่เกิด ‘อุบัติเหตุ’ ทันที ซึ่งทุกคนก็ต่างบอกว่า ไม่เป็นไร มันเป็นอุบัติเหตุ
!!!!…นั้นสิ!!!... มันเป็น ‘อุบัติเหตุ’ ทำไมทุกคนที่นี่ถึงเข้าใจว่าเป็น ‘อุบัติเหตุ’ แต่ทำไม เขาคนนั้นถึงไม่รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ
“อ๊ะ!...คุณเขมิกา มาถึงแล้ว” กอหญ้าหันไปมองตามสายตาของ เจ้าหน้าที่เค้าเตอร์ที่เอ่ยออกมา... “ สวัสดีค่ะคุณเขม...”
“สวัสดีจ๊ะ...” เขมิกาทักทายกลับอย่างเป็นกันเอง
“คุณเขมค่ะ...คุณกอหญ้าค่ะ เธอมาถึงสักพักแล้วค่ะ”
“สวัสดีค่ะ....คุณกอหญ้า?....” เขมิกาทักทาย แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือ...
“สวัสดีค่ะ....เรียกว่ากอหญ้า ตามนามปากกาก็ได้ค่ะ...” เขมิกาพยักหน้าเข้าใจทันที เพราะเธอไม่เคยเห็นตัวจริงเจ้าของบทประพันธ์ ‘พ่ายกลซาตาน’ อายุน้อยกว่าที่คิดไว้อีก
“ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ให้คุณกอหญ้าต้องรอ...” เขมิกา ตอบกลับอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไรค่ะ...หญ้ามาก่อนเวลานัดเองค่ะ...” เขมิกายิ้มและเธอคิดว่า รู้สึกถูกชะตากับนักเขียนคนนี้ซะแล้ว
“…งั้นเราไปคุยกันต่อที่ห้องประชุมกันค่ะ...เรียกผู้เกี่ยวข้องเข้าห้องประชุมได้เลย” ประโยคแรกเขมิกาพูดกับกอหญ้า ประโยคหลังเธอหันไปบอกกับพนักงานของตน
กอหญ้าเดินไปพร้อมกับเขมิกาตามคำเชิญ ลืมเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ที่เรียกมาก่อนหน้านี้ เธอยังไม่ได้หยิบขึ้นมาดูก็เกิด ‘อุบัติเหตุ’ เสียก่อน
‘ ทางด้านคริสต์...ในเวลาเดียวกัน...ณ ห้องทำงานประธานกรรมการใหญ่’
“ตาคริสต์...เกิดอะไรขึ้นเนี๊ยะ!” คุณหญิงศศิธร ทักบุตรชายเพียงคนเดียวที่เดินเข้ามาในห้องทำงานด้วยสภาพเลอะเทอะเปียกปอน
“สวัสดีครับคุณแม่...” คริสต์เดินเข้ามาพร้อมหอมแก้มคุณหญิงศศิธร ตามปกติ “...ผมเจอยายเด็กซุ่มซ่าม เดินมาชนครับ”
“ไปๆ เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านในก่อน...นี้ก็ได้เวลาประชุมแล้ว” คริสต์พยักหน้าและขอตัวเข้าไปในห้องด้านใน ที่ห้องทำงานแห่งนี้ จะมีห้องเล็กอีกหนึ่งห้องที่ไว้สำหรับพักผ่อนของคริสต์ ยามที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ใช่! เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ว่าคริสต์เป็นเจ้าของนโยบายที่ออกมาตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมาในการบริหารสถานีจนขึ้นเป็นอันดับหนึ่งที่ได้รับความนิยมและเรตติ้งสูงมาก นอกจากคุณหญิงศศิธรกับผู้ช่วยคนสำคัญ คือเขมิกา ที่คริสต์รักและนับถือเหมือนพี่สาวสายเลือดเดียวกันเลย
Grrrr Grrrr คุณหญิงศศิธร หยิบโทรศัพท์ของตนเองเมื่อมีเสียงเรียกเข้า
“ว่าไงจ๊ะเขม....ดีๆเดี๋ยวน้าลงไป” คุณหญิงศศิธรยิ้ม เมื่อเขมิกาที่เธอรักเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง โทรมาแจ้งว่า เจ้าของบทประพันธ์มาถึงแล้ว
“คริสต์...เดี๋ยวแม่ลงไปห้องประชุมก่อนนะ...เสร็จแล้วรีบตามมานะ”
“ครับ...” คริสต์ขานรับเสียงของคุณหญิงศศิธรที่ยืนบอกเขาอยู่หน้าประตู และมองตัวเองในเงาสะท้อนของกระจก ที่เขาถอดเสื้อตัวที่ใส่มาเมื่อเช้าออก และเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวที่ยังเลอะคราบกาแฟ
“ยายเด็กบ้า!...” คริสต์พึมพำออกมา เมื่อภาพหญิงสาวที่เป็นสาเหตุให้เขาต้องมาเสียเวลาอยู่ตอนนี้
‘ณ ห้องประชุม’
กอหญ้านั่งฟังผู้กำกับของเรื่องนี้ อธิบายให้ฟังและกดเปิดภาพนักแสดง บนจอขนาดใหญ่ให้เธอได้ดู ว่าการตีความและเอกลักษณ์ของนักแสดงแต่ละคนที่ได้รับเลือกมารับบทบาทนั้นตรงหรือใกล้เคียงกับที่เธอเขียนไว้มั้ย และเมื่อถึง นักแสดงนำฝ่ายหญิง ผู้กำกับขึ้นภาพสองคนให้เธอดูเพราะเนื่องจากเรื่องนี้ นักแสดงนำหญิงเป็นลูกครึ่งไทย-อิตาเลี่ยน จึงสอบถามความเห็นของเธอว่าควรเป็นใครดี...แต่เธอยังไม่ได้ให้คำตอบ....
“ผลั๊ก...” เสียงประตูห้องประชุมถูกผลักเข้ามา พร้อมกับผู้ที่เข้ามาใหม่
“ขอโทษทุกคนที่เข้ามาขัดจังหวะ” คุณหญิงศศิธรกล่าวออกไปอย่างใจดีและสุภาพให้กับทุกคน ที่พร้อมกันลุกขึ้นพร้อมยกมือไหว้ทำความเคารพผู้เข้ามาใหม่
“คุณกอหญ้าค่ะ...” กอหญ้าที่ยืนขึ้นเช่นกัน หันไปทางเขมิกาที่เรียกเธอ เพราะในห้องแห่งนี้ เป็นเธอเพียงคนเดียวที่ยังไม่รู้จักอย่างเป็นทางการผู้ที่เข้ามาใหม่... “ท่านนี้คือคุณหญิงศศิธรค่ะ...ประธานบริหารสถานีค่ะ”
“สวัสดีค่ะ...” กอหญ้ากล่าวทักทายพร้อมยกมือไหว้ทำความเคารพ ผู้อาวุโสกว่า...
“สวัสดีค่ะ...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...คุณกอหญ้าดูอายุน้อยกว่าที่พวกเราคาดไว้...เก่งจังเลยค่ะ” คุณหญิงศศิธรกล่าวออกไปอย่างใจดี เมื่อรับไหว้หญิงสาวตรงหน้าที่ไหว้อย่างสวยงาม
“ขอบคุณค่ะ...” กอหญ้าที่ไม่รู้ว่าจะต้องตอบกลับแบบไหนดี ก็เลือกคำกลางๆที่เธอนึกออกตอบกลับคุณหญิงศศิธรที่ดูแล้วท่านเป็นผู้ใหญ่ใจดี
“คุยกันถึงไหนแล้ว”คุณหญิงศศิธรหันไปถามผู้กำกับที่ทางช่องมอบหมายงานนี้ให้
“ถึงตัวนักแสดงนำฝ่ายหญิงแล้วครับ...” คุณหญิงศศิธรพยักหน้า และบอกให้ทุกคนทำงานต่อได้เลย...
“…ฉันขอนั่งประชุมด้วย” เมื่อทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมกลับลงนั่ง และเริ่มที่ค้างไว้ต่อทันที....
“คุณกอหญ้าคิดว่า...ควรเป็นใครดีครับ” ผู้กำกับหันมาถามต่อทันที เมื่อทุกคนพร้อม กอหญ้าหันไปที่หน้าจอแสดงภาพนักแสดงนำฝ่ายหญิงอีกครั้ง เธอนิ่งและจดจ้องมองตัวเลือกตรงหน้า ทั้งสองคนต่างก็เป็นลูกครึ่ง