ที่พักอาศัยของคุณยายฝ้ายคำเป็นเรือนไม้ทรงไทย อยู่ในบริเวณเดียวกับคฤหาสน์ของลูกสาว เพียงแค่มีรั้วไม้กั้นเขตไว้ เดิมที่ดินเป็นผืนเดียวกัน หลังจากแพรพรรณแต่งงานกับสมเกียรติได้ขอให้มารดาแบ่งแปลงที่ดินออกเป็นสองแปลง เซ็นยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง คุณยายฝ้ายคำจึงสั่งให้คนงานมาทำรั้วไม้กั้นฝั่งเรือนไทยของตัวเองไว้ และที่ดินฝั่งเรือนไทยผืนนี้ตั้งใจจะมอบให้ไหมพิมพ์ลูกสาวคนเล็ก แต่ไหมพิมพ์แต่งงานกับไมเคิลก็ย้ายออกไปอยู่กับสามี และได้เสียชีวิตไปทิ้งลูกสาวคนเดียวคือมัสลินไว้ให้ท่านดูแล การโอนกรรมสิทธิ์ให้หลานสาวยังไม่ได้ทำคุณยายฝ้ายคำก็ประสบอุบัติเหตุป่วยเป็นอัมพาตขยับไม่ได้ ที่ดินบ้านเรือนไทยจึงกลายเป็นมรดกส่วนกลาง
มัสลินเดินออกจากตึกหลังใหญ่หิ้วถุงขนมติดมือมาด้วยถุงหนึ่ง เปิดประตูรั้วเข้ามาบริเวณเรือนไทย หากบ้านหลังใหญ่ของคุณแพรพรรณคือนรก ที่นี่คงเปรียบดั่งสวรรค์ ความสงบเงียบร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที หญิงสาวเดินขึ้นไปบนเรือน ตรงไปยังห้องนอนของผู้เป็นยาย เปิดประตูห้องเข้าไปก็พบเด็กอาหมี่กำลังทำความสะอาดอยู่ ส่วนคุณยายนอนดูทีวีเงียบตามประสาท่าน อาการโรคอัมพาตของคุณยายฝ้ายคำเป็นตั้งแต่บั้นเอวลงมาทำให้เดินไม่ได้ ส่วนท่อนบนยังพอใช้งานได้แต่ก็อ่อนแรงไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
“คุณยายคะ ป้าเปรมฝากขนมถ้วยมาให้ค่ะ มัสจำได้ว่าคุณยายชอบทาน”
คนเป็นหลานวางถุงขนมบนโต๊ะเล็ก แล้วมานั่งข้างขอบเตียง จับมือเหี่ยวย่นมาแนบแก้มส่งยิ้มสดใสให้คนแก่
“ยายอยากกินอยู่พอดี มัสก็ชอบกินเหมือนกันนี่ลูก เดี๋ยวเรามากินด้วยกัน”
คุณยายฝ้ายคำมองดูหลานสาวด้วยแววตารักใคร่เอ็นดู มัสลินคอยดูแลท่านตั้งแต่ป่วย ไม่ว่าจะอาบน้ำ เช็ดตัว ป้อนข้าว ป้อนยา มานอนเฝ้าหน้าเตียงทุกคืน อีกทั้งยังต้องทำงานอื่นๆ อีกมากมาย เหนื่อยแสนสาหัสแค่ไหนมัสลินก็ไม่เคยปริปากบอกสักคำ คนเป็นยายรับรู้เรื่องราวของหลานสาวจากคำบอกเล่าของนางแววและเด็กอาหมี่มาโดยตลอด แต่ท่านก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย เพราะเซ็นยกอำนาจการจัดการทรัพย์สินให้แพรพรรณไปแล้ว ด้วยคิดว่าลูกสาวคนโตจะมีจิตใจเมตตาหลานกำพร้าบ้าง
ทว่า... เป็นความผิดพลาดที่สุดในชีวิตที่ท่านทำลงไป แพรพรรณไม่เพียงฮุบอำนาจการบริหารเงินทั้งหมดไป ยังใช้อำนาจข่มเหงรังแกมัสลินอย่างไร้ความเมตตา ท่านไม่คิดว่าแพรพรรณจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไม่รู้จักชั่วดีถึงเพียงนี้ ในอดีตท่านเมตตารับเลี้ยงแพรพรรณซึ่งเป็นลูกของแม่บ้านเก่าแก่ของท่านไว้ และจดทะเบียนรับเป็นลูกบุญธรรมในเวลาต่อมา พอท่านมีลูกของตัวเองคือไหมพิมพ์ แพรพรรณก็แสดงท่าทีเหมือนจะน้อยใจที่มีคนแย่งความรักไป ทั้งที่ท่านก็เมตตาให้ความรักไม่ต่างจากลูกแท้ๆ แพรพรรณเริ่มแสดงธาตุแท้ของตัวเองออกมาเรื่อยๆ โดยการบังคับให้ท่านเปลี่ยนข้อความในพินัยกรรมแต่ท่านไม่ยอม แพรพรรณจึงหันไปเล่นงานมัสลินหนักขึ้น ทั้งใช้ทำงานบ้าน และไม่ยอมส่งเสียให้เรียนต่อหลังจบชั้นมัธยมปลาย ข่มขู่ท่านสารพัดว่าหากท่านไม่ยอมทำตามคำสั่ง จะไล่มัสลินออกไปจากบ้าน แต่ท่านก็ใช้พินัยกรรมขู่กลับว่าจะไม่ยกสมบัติให้แพรพรรณหากกล้าทำกับมัสลินแบบนั้น อีกฝ่ายจึงทำได้แค่กลั่นแกล้งข่มเหงหลานสาวนอกไส้ ให้ทำงานหนัก ไม่ให้เงินใช้จนมัสลินต้องหาทางออกด้วยการทำขนมขายหาเงินมาเลี้ยงตัวเอง
“เดี๋ยวมัสจะอาบน้ำให้คุณยายนะคะ อาหมี่จ๊ะมาช่วยมัสหน่อย”
มัสลินบอกคุณยาย แล้วหันไปบอกอาหมี่ให้มาช่วยพาคุณยายลงจากเตียง อาหมี่เข็นรถเข็นมารอข้างเตียงแล้วเข้าไปช่วยอุ้มคนป่วยลงมานั่ง จากนั้นสองสาวก็พาท่านไปยังห้องน้ำจัดการช่วยกันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วพาคนป่วยมานั่งที่โต๊ะริมระเบียงห้อง
ช่วงเย็นอากาศดีลมพัดเย็นสบาย ดอกไม้ที่ปลูกไว้ก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้งลอยมาตามลมให้รู้สึกสดชื่น มัสลินฝากอาหมี่ช่วยดูแลคุณยายตัวเธอไปเตรียมสำรับมือเย็นมาป้อนคนป่วย
“มัสแบ่งขนมให้อาหมี่ไว้ในครัวนะจ๊ะ อาหมี่กลับไปตึกใหญ่ได้เลย เดี๋ยวป้าแพรจะเรียกใช้ ขอบคุณมากที่มาช่วยมัสอาบน้ำให้คุณยาย”
มัสลินอนุญาตให้อาหมี่กลับไปตึกใหญ่ ส่วนตัวเองก็จัดการป้อนอาหารให้คนป่วย หลังจากป้อนยามื้อค่ำก็นั่งนวดขาทำกายภาพบำบัดเบาๆ ให้ท่านก่อนนอน
“มัสเหนื่อยมาทั้งวัน ไม่ต้องนวดให้ยายหรอก นวดไปก็เมื่อยมือเปล่าๆ ยายไม่มีวันหายหรอกลูก”
คนเป็นยายจับมือหลานสาวไว้ เอ่ยห้ามไม่ให้นวดต่อ สงสารมือน้อยๆ ที่ต้องทำงานหนักจนหยาบกร้าน
“มัสยินดีทำให้คุณยายนะคะ หมอบอกว่าให้นวดฟื้นฟูกล้ามเนื้อ คุณยายจะได้ไม่กล้ามเนื้อลีบ ถ้าไม่นวดคุณยายอาจจะอาการแย่ลงได้นะคะ”
มัสลินยังคงนวดต่อไป พร้อมกับอธิบายให้ท่านฟัง
“ถ้ายายตายไป มัสคงไม่ลำบากแบบนี้” มือเหี่ยวย่นลูบศีรษะหลานอย่างเวทนา
“โถ... คุณยายคะ อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ถ้าคุณยายตายไปมัสจะอยู่กับใคร มัสมีคุณยายคนเดียวนะคะ”
มัสลินน้ำตาคลอ พยายามกลั้นสะอื้นไม่ให้น้ำตาไหล ใจดวงน้อยไหววูบเมื่อคิดถึงวันที่ไม่มีคุณยาย เธอมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ อดทนทำทุกอย่างได้ ก็เพราะมีท่านเป็นเสาหลักในชีวิต หากขาดท่านไปเธอจะทำยังไง จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร แค่คิดก็จุกแน่นในอกลำคอตีบตันไปหมด
“มัส เอ๊ย ยายผิดเอง ที่ไม่มีปัญญาดูแลหนู ทำให้หนูต้องลำบากแบบนี้”
คนแก่รำพึงด้วยความคับแค้นใจ หากท่านไม่หลงเชื่อคำพูดของแพรพรรณ ไม่ไว้ใจคนผิด มัสลินคงไม่ลำบากขนาดนี้ ท่านจะแก้ไขความผิดพลาดนี้ได้อย่างไร
“มัสไม่ได้ลำบากอะไร มัสยินดีดูแลคุณยายนะคะ”
มัสลินขยับลุกมากอดร่างผอมบางของคุณยายฝ้ายคำไว้ ซบหน้ากับอกอุ่นของท่าน แขนเล็กเหี่ยวย่นตามวัยกอดรัดหลานสาวไว้อย่างห่วงใย
“มัส ยายรู้ว่าตลอดหลายปีนี้ มัสต้องอดทนมากแค่ไหน ยายแพรมันใจดำนัก ทำกับมัสเหมือนกับเป็นทาส”
ดวงตาฝ้าฟางคลอคลองด้วยหยาดน้ำตาแห่งความเสียใจและเจ็บช้ำ น้ำเสียงยิ่งสั่นเครือเมื่อท่านไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้
“คุณยายรู้...”
มัสลินอุทานเสียงแผ่ว เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นยาย เห็นท่านพยักหน้าให้ น้ำตาที่กลั้นไว้ก็ไหลออกมาทันที
“โถ่ คุณยาย มัส... มัสไม่เป็นอะไร มัสทนได้”
“อย่าทนอีกเลยลูก ปล่อยยายทิ้งไว้ที่นี่ แล้วหนูออกไปอยู่ข้างนอก ไปใช้ชีวิตของตัวเองให้มีความสุขเถอะ”
ศีรษะได้รูปส่ายปฏิเสธทันที “ไม่ค่ะ มัสไม่มีวันทิ้งคุณยาย คุณยายอยู่ที่ไหนมัสก็จะอยู่ด้วย” น้ำตาไหลอาบแก้มนวล ใจร้าวรานไปหมด
มัสลินนึกเวทนาตัวเอง ที่หลงคิดว่าปกปิดเรื่องทุกอย่างไม่ให้คนเป็นยายรู้ ที่แท้ท่านรู้มาโดยตลอดว่าเกิดอะไรขึ้น เธอไม่อยากให้ท่านต้องคิดมาก ไม่อยากให้อาการของท่านทรุดหนัก พยายามรักษาจิตใจของท่านไว้ให้มากที่สุด แต่เรื่องร้ายๆ มันก็ปิดไม่มิด
“ยายขอโทษที่ช่วยอะไรหนูไม่ได้เลยลูก ซ้ำยังเป็นภาระให้หนูอีก”
เสียงรำพึงแหบพร่าเจือเสียงสะอื้น มือสั่นเทาประคองใบหน้าของหลานรักไว้ ซบหน้าผากแนบกันน้ำตาไหลอาบแก้มไม่ต่างกันทั้งยายหลาน
“คุณยายขา... คุณยายไม่ต้องขอโทษมัส คุณยายไม่ใช่ภาระ คุณยายคือทุกสิ่งในชีวิตของมัส หากมัสไม่มีคุณยาย มัสคงไม่มีสิ่งใดให้ยึดเหนี่ยวหัวใจ”
“ความดีของมัส จะเป็นเหมือนเกราะแก้ว นำพามัสของยายให้ผ่านพ้นความทุกข์นี้ไป สักวันหนึ่งความดีจะตอบแทนมัส ยายขออวยพรนะลูก”
คำอวยพรของผู้เป็นยาย ดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มหยดลงเป็นหยดเล็กที่ปลายคางตกลงพื้น เหมือนกลั่นความเจ็บปวดหัวใจของคนทั้งคู่ออกมา ใจอ่อนล้าเจียนหมดแรง แต่หัวใจต้องเข้มแข็งหยัดยืนต่อไป ท่ามกลางความเจ็บปวดและทรมานใจอย่างสาหัส หวังเพียงสักวันหนึ่งข้างหน้าจะมีวันที่ความเจ็บปวดและความทุกข์นี้จะผ่านพ้นไป