-2-

4651 คำ
สอง เลี้ยงลูกชายโดยไม่ให้การศึกษา ก็เหมือนเลี้ยงลา เลี้ยงลูกสาวโดยไม่ให้การศึกษา ก็เหมือนเลี้ยงหมู ประตูเมืองทางทิศตะวันตกเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย พอเหล่าพ่อค้าจากต่างเมืองเห็นชาวบ้านจำนวนมากยืนมุงรอบประตูเมืองก็พานหยุดชะงัก ห่างไปไม่ไกลมีขบวนขุนนางท้องที่เดินทางออกมาต้อนรับ ชายวัยกลางคนในชุดผ้าไหมสีเขียวอ่อนก้าวลงจากเกี้ยว โดยมีบ่าวรับใช้คอยเปิดม่านให้ หวังเยี่ยฟง เจ้าเมืองไคเฟิงกับบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ตั้งใจจะมายืนรอขบวนทัพที่หน้าประตูเมือง สภาพของขุนนางในท้องที่นั้นมีความเป็นอยู่สุขสบาย ร่างกายที่เต็มไปด้วยไขมันทั้งหลายราวกับก้อนเนื้อห่อหุ้มด้วยแพรพรรณชั้นดี ด้านข้างกลุ่มขุนนางคือ บรรดาคนในจวนตระกูลจ้าวที่มาคอยต้อนรับ เพียงชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผู้คนทั้งหลายก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าจำนวนนับไม่ถ้วนใกล้เข้ามา ชาวบ้านเริ่มพูดคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ “ท่านแม่ทัพจ้าวและคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าว ครานี้ชนะศึกจากหังโจวมารวดเร็วราวกับพลิกเบี้ยในกระดาน ได้ข่าวว่าเดินทางไปรายงานจักรพรรดิจนได้รับรางวัลมากมาย ขุนนางทั้งหลายคงอิจฉาไม่น้อยกระมัง” คนผู้หนึ่งพูดขึ้น พลางปรายตามองไปยังก้อนเนื้อเดินได้ที่ยืนรอรับด้วยสีหน้าดูแคลน อีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กันจึงเอ่ยสำทับ “คุณชายรองจ้าวก็เกือบได้เป็นราชองครักษ์ส่วนตัวขององค์ชายสี่ เพียงแต่ขุนนางหลายคนคัดค้านการรับตำแหน่ง สุดท้ายเลยต้องให้คุณชายรองสอบจอหงวนให้ผ่านจึงจะมีสิทธิ์รับราชการ” หากบุตรชายคนรองได้เป็นราชองครักษ์เต็มตัว จวนตระกูลจ้าวรุ่นนี้ก็ย่อมเจริญรุ่งเรืองไม่ต่างจากรุ่นก่อนๆ ที่ได้สร้างชื่อเสียงเอาไว้นัก ยังไม่นับรวมคุณชายสามกับคุณหนูสี่ที่โดดเด่นไม่เป็นรองใคร หากทายาทอีกสองคนเจริญรอยตาม จวนตระกูลจ้าวก็ดุจพยัคฆ์ติดปีกอย่างแน่นอน “ไม่ทราบว่าบุตรสาวตระกูลใดที่จะโชคดีได้แต่งเข้าตระกูลจ้าว ดูท่าแล้วต่อไปบรรดาสตรีทั้งหลายในเมืองไคเฟิงคงได้แต่ชายตาให้บุรุษตระกูลจ้าวแล้ว ช่างเป็นคราวร้ายของบุรุษอื่นในเมืองไคเฟิงจริงๆ” ชายวัยกลางคนที่แต่งตัวราวกับพ่อค้าเอ่ยขึ้น เรียกเสียงถกเถียงจากอีกหลายคนจนเป็นวงกว้าง ชายฉกรรจ์คนหนึ่งโอดครวญกับพรรคพวกว่า “แค่คุณสมบัติที่กล่าวไปก็เพียงพอที่บรรดาหญิงสาวซึ่งยังไม่ออกเรือนจะสนใจแล้ว หากเป็นหนุ่มรูปงามอีก พวกข้าคงไม่ได้แต่งงานกันสิคราวนี้” บรรดาชายฉกรรจ์ได้ยินก็พลันมีสีหน้าเศร้าหมอง เรื่องราวของคุณชายใหญ่กับคุณชายรองโด่งดังไปทั่วทั้งเมืองไคเฟิง ตั้งแต่ที่พวกเขาลงจากเขาซูซันมาได้ไม่นานก็รีบร้อนจากไปทันที จึงไม่ค่อยมีผู้ใดพบเห็นโฉมหน้าของคุณชายทั้งสอง นอกจากคนในบ้านตระกูลจ้าวและข่าวลือจากคนใน จะมีก็เพียงคุณชายสามกับคุณหนูสี่ที่รั้งอยู่ไคเฟิงนานที่สุด แต่พอคนทั้งหลายคิดถึงเรื่องราวเกือบปีที่ผ่านมา ก็พากันถอนหายใจ บุตรชายกับบุตรสาวคนสุดท้องล้วนแต่เป็นผู้มีความสามารถ อีกทั้งหน้าตาล้วนงดงามโดดเด่น เช่นนี้คุณชายใหญ่กับคุณชายรองคงไม่ห่างชั้นนัก “กองทัพตระกูลจ้าวมาถึงแล้ว!” เสียงคนตะโกนดังมาจากหน้าประตูเมือง ผู้คนทั้งหลายต่างก็เร่งแต่งตัวให้เรียบร้อย ในมือถือของขวัญต้อนรับไว้แนบอก ตั้งใจจะนำมาให้ท่านแม่ทัพที่พวกเขาเคารพรัก หญิงสาวทั้งหลายรีบผัดแป้งเติมปากสีชาด หวังเพียงให้สบโอกาสได้พบหน้ากับยอดขุนพล ดีไม่ดีอาจตกถังข้าวสาร ถูกใจคุณชายทั้งสองแล้วแต่งเข้าจวนแม่ทัพ แม้จะเป็นเพียงอนุก็ถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วเช่นกัน กองทัพตระกูลจ้าวถือได้ว่าเป็นกองกำลังที่มีชื่อเสียงที่สุดกองหนึ่งในอาณาจักรต้าถัง รบที่ใดไม่เคยแพ้พ่าย มีประวัติความเป็นมาหลายร้อยปี ท่านเจ้าเมืองไคเฟิงให้ความเกรงใจเป็นอันมาก แม้แต่จักรพรรดิยังไว้หน้าเสียสี่ส่วน จึงไม่มีผู้ใดกล้าดูถูก ทั้งยังอยากผูกสัมพันธ์กับตระกูลจ้าวเพื่อหวังผลในอนาคต กองทัพเคลื่อนพลใกล้เข้ามา ธงของต้าถังและของกองทัพตระกูลจ้าวโบกสะบัดเด่นชัด ด้านหน้าคือแม่ทัพจ้าวซึ่งเป็นชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบ สวมชุดเกราะเต็มยศ หน้าตายังคงความหล่อเหลาสง่างามเช่นวัยหนุ่ม ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือหนวดสีดำซึ่งจัดแต่งทรงอย่างดีเหนือริมฝีปากหนา ดูน่าเกรงขามยิ่ง เนื่องจากออกรบแถบชายทะเล ผิวของเขาจึงเปลี่ยนเป็นคล้ำแดดราวกับมนุษย์ทองแดง เบื้องหลังแม่ทัพจ้าวคือชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดเกราะสีขาวสง่างามดูราวกับเทพเอ้อหลาง[1] บนสวรรค์ เครื่องหน้าหล่อเหลาคมเข้ม ผิวกายไม่ขาวสะดุดตาเหมือนคุณชายทั่วไป ด้วยออกรบกับบิดาตั้งแต่ยังเยาว์ ภายใต้เสื้อเกราะก็คือกล้ามเนื้อแข็งแกร่งของบุรุษเพศ หญิงสาวทั้งหลายจดจ้องด้วยใบหน้าเคลิบเคลิ้มหลงใหล ผู้นี้คือ คุณชายจ้าวจิ่นลี่ แม่ทัพหนุ่มอนาคตไกลนั่นเอง อีกผู้หนึ่งคือคุณชายรอง จ้าวจิ่นติ้ง โครงหน้าหล่อเหลาราวหยกสลัก ดวงตาคมเข้มมีประกายอ่อนหวานเหมือนฮูหยินเยี่ยผู้เป็นมารดา ใบหน้าจึงดูงดงามกว่าคุณชายใหญ่อยู่สามส่วน อีกทั้งเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์ลึกล้ำ ร่างกายผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี เมื่อโตเป็นบุรุษหนุ่มจึงดูสูงเพรียวและมีสง่าราศียิ่ง เขาอยู่ในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มปักลวดลายน้ำไหล และเนื่องด้วยเขาศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาหมื่นอักษร จึงคล้ายขุนนางหนุ่มอนาคตไกลผู้หนึ่ง เพียงเหล่าสตรีมากมายสบตาคุณชายรองก็ระทดระทวย อยากจะถลาเข้าไปในอ้อมอก มองเมินทหารกล้าทั้งหลายที่เดินตามมาด้านหลังเสียสิ้น ครั้นแม่ทัพใหญ่ลงจากม้าก็ตรงดิ่งมาด้านหน้า ปรายตามองบรรดาขุนนางที่มาต้อนรับแล้วพยักหน้ายิ้มให้อย่างสุภาพ ก่อนจะแค่นเสียงในลำคอแล้วเปลี่ยนเป้าหมาย ท่านจ้าวเมืองกำลังจะยกมือคารวะต้อนรับก็เป็นอันนิ่งอึ้งไป เมื่อแม่ทัพจ้าวไม่ได้มองหวังเยี่ยฟงผู้เป็นเจ้าเมือง กลับจ้องเขม็งไปยังจ้าวเสวี่ยเฟิงผู้เป็นบุตรสาว อีกทั้งคุณชายใหญ่กับคุณชายรองก็แข่งกันเหินลงจากหลังม้ามาหาคุณหนูสี่ด้วยความรวดเร็ว เสนาธิการชิงหลงที่ขี่ม้าตามมาทีหลังได้แต่ทอดถอนใจ เดินมาคารวะท่านเจ้าเมืองพร้อมกล่าวขออภัย “ท่านเจ้าเมืองโปรดให้อภัยท่านแม่ทัพที่เสียมารยาทด้วยขอรับ ด้วยคิดถึงคุณหนูสี่เป็นสิบปี บัดนี้ได้เจอกันครั้งแรกจึงตื่นเต้นเป็นธรรมดา” แม้เสนาธิการวัยกลางคนจะพูดเช่นนั้น แต่ก็รู้ดีกว่าใครว่าท่านแม่ทัพไม่ชอบขุนนางบุ๋นหน้าบางพวกนี้สักเท่าใด อีกทั้งด้วยนิสัยปากกับใจตรงกัน แล้วยิ่งไม่ชื่นชอบงานสังคม เมื่อพบเจอคนพวกนี้คราวใดก็เป็นอันต้องให้เสนาธิการคู่ใจรับหน้าแทนทุกครั้ง ท่านเจ้าเมืองพอจะเข้าใจกิตติศัพท์ของจวนตระกูลจ้าว ที่ทั้งรักทั้งหวงคุณหนูเพียงคนเดียว จึงไม่ได้โกรธเคืองอันใด ได้แต่ยิ้มเก้อแล้วประสานมือให้เสนาธิการชิงหลง “ท่านเสนาธิการไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ถือสาอันใดหรอก รีบพากองทัพเข้าเมืองเถิด เห็นทีต้องจัดงานเฉลิมฉลองสักหน่อยกระมัง” เมื่อเสนาธิการชิงหลงได้ยินดังนั้นก็พลอยโล่งใจ แม้จะรู้ว่าพวกก้อนเนื้อเดินได้เหล่านี้อยากผลาญงบหลวงใจจะขาด แต่เขาก็ยกมือเป็นคำสั่งให้เคลื่อนทัพเข้าเมือง นึกถึงตอนรบที่หังโจวแล้วก็อกสั่นขวัญแขวนไม่หาย เสนาธิการผู้มากประสบการณ์ได้แต่ทอดถอนใจ…บุรุษตระกูลจ้าวมิอาจดูแคลนได้แม้เพียงสักคน “ท่านแม่ทัพขอรับ ทางไคเฟิงส่งข่าวบอกว่าคุณชายสามกับคุณหนูสี่กลับมาแล้วขอรับ” จ้าวจิ่นอ้านได้ยินดังนั้นก็ดีใจจนหนวดกระดิก แต่ต่อหน้าเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาจึงพยายามเก็บอาการ มีเพียงคุณชายใหญ่ที่เป็นรองแม่ทัพเท่านั้นที่สีหน้ายังไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าหลังจากนั้นสามวันคุณชายใหญ่ผู้ที่เกลียดการออกหน้ากลับเสนอแผนการอันล้ำลึกต่อหน้าองค์ประชุม ยิงนกทีเดียวปราบโจรได้ทั้งคาบสมุทร ย่นระยะเวลาการศึกที่อาจจะดำเนินไปหลายปีให้เหลือไม่ถึงหนึ่งปี ปราบเหล่าโจรสลัดที่บุกน่านน้ำให้แตกพ่ายจนยากจะกลับมา ลดความสูญเสียกำลังพลได้เป็นจำนวนมาก จักรพรรดิทราบข่าวก็เลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นแม่ทัพขั้นสาม สมญานามแม่ทัพกำราบบูรพาด้วยวัยเพียงยี่สิบปี ด้วยเหตุนี้เสนาธิการชิงหลงจึงรู้ซึ้งถึงอิทธิพลของจ้าวเสวี่ยเฟิงที่มีต่อบุรุษตระกูลจ้าวอย่างล้นเหลือ แม่ทัพจ้าวกอดบุตรสาวแน่นจนคนในอ้อมกอดหน้าดำหน้าแดงเพราะหายใจไม่ออก มือเล็กพยายามดันแผงอกกำยำของบิดา ทว่านางถูกรัดแน่นเหลือเกิน จนต้องทุบอกบิดาอยู่เป็นนานกว่าเขาจะยอมคลายอ้อมกอดอันอบอุ่นจนร้อนออก ท่ามกลางสายตาสอดรู้สอดเห็นของชาวเมืองทั้งหลาย นางอับอายจนแทบสิ้นสติทั้งยังไม่คุ้น จ้าวเสวี่ยเฟิงหน้าม้านพลางมองค้อนบิดา ท่าทางเช่นนี้กลับน่ารักน่าชังยิ่งในสายตาแม่ทัพผู้ห่างจากบุตรสาวเพียงคนเดียวเป็นสิบปี “ท่านพ่อ กอดข้าแบบนี้จะฆ่าข้าให้ตายใช่หรือไม่” จ้าวเสวี่ยเฟิงบ่นอุบอิบ แม่ทัพจ้าวเห็นบุตรสาวทำท่าแง่งอนก็ใจอ่อน รีบพูดปะเหลาะ ลักษณะท่าทางแตกต่างจากตอนนำทัพจนเหล่าลูกน้องด้านหลังต้องเบือนหน้าหนี “โถ เฟิงเอ๋อร์ลูกพ่อ ไม่ได้พบกันเป็นสิบปี เจ้าเติบโตขึ้นมางดงามถึงเพียงนี้ จะให้ข้าเก็บความคิดถึงทุกวันทุกคืนได้อย่างไร” ลูกน้องคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับหน้ามืด ราวกับจะขย้อนของเก่าออกมาต่อหน้าชาวเมือง จำใจต้องแอบแทรกกายหนีหายไปในฝูงชน บุตรชายทั้งสองแม้จะตื่นเต้น แต่เมื่อเห็นท่าทีของบิดาแล้วก็เอือมระอายิ่ง หมดกันซึ่งบารมีแม่ทัพใหญ่แห่งต้าถัง “ท่านพ่อพูดกับน้องเล็กจบหรือยัง? ถึงตาข้าบ้างเถอะ” จ้าวจิ่นลี่ท้วงบิดาเสียงดัง ด้วยความที่อายุสิบห้าก็ติดตามบิดาออกรบ ชีวิตอยู่แต่กองทัพกับเหล่าบุรุษหยาบกระด้าง เมื่อพูดกันมากเข้าก็ย่อมส่งเสียงดังจนติดเป็นนิสัย เผลอตะเบ็งเสียงดังจนแก้วหูสั่นสะเทือน ครั้นพอเห็นชาวเมืองตกอกตกใจก็หน้าแดงก่ำ นึกได้ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในกองทัพแล้ว แม่ทัพจ้าวได้ยินเสียงบุตรชายคนโตก็หันไปถลึงตาใส่ พลางโต้กลับว่า “เจ้านับว่าได้เจอเฟิงเอ๋อร์นานกว่าบิดาถึงห้าปี คราวนี้ถึงคราวบิดาคุยกับน้องสาวของเจ้าให้หายคิดถึงบ้าง เพียงเท่านี้ก็ทนไม่ได้ เฮอะ เจ้าลูกอกตัญญู” พูดจบผู้เป็นบิดาก็หนวดกระดิก จ้าวจิ่นลี่ได้ยินเช่นนั้นก็แทบกระอักเลือด เขาสู้อุตส่าห์ไปช่วยบิดาบังเกิดเกล้าออกรบตั้งแต่ยังเยาว์ อาศัยความสามารถทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อสร้างชื่อให้กองทัพของตระกูลจ้าว บิดาของเขาเมาเรือจนเลอะเลือนไปแล้วหรือ? จ้าวจิ่นติ้งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกยุ่งยากใจเป็นอันมาก บิดาคว้าน้องเล็กไปครอบครองแต่เพียงผู้เดียว ทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เขากำลังจะเถียงกลับ แต่มือเล็กบอบบางคู่หนึ่งก็จับแขนเขาไว้แน่น “อันใดกัน? บุรุษตระกูลจ้าว เห็นเฟิงเอ๋อร์เป็นตุ๊กตาหรืออย่างไร ไม่อายชาวบ้านชาวเมืองบ้าง กลับไปจวนค่อยว่ากันดีหรือไม่ ท่านพี่! ท่านแก่ที่สุดแต่ยังทำตัวเป็นเด็กเล็กๆ กลับบ้านเดี๋ยวนี้!” สิ้นเสียงราวกับอสนีบาตของผู้เป็นใหญ่ตัวจริงในจวนตระกูลจ้าว ชาวเมืองก็ลอบหัวเราะ เกาะกลุ่มกันหนาแน่นยิ่งขึ้นเพื่อชมฉากสำคัญ “ฮูหยิน! / ท่านแม่!” ทั้งสามคนสะดุ้งโหยง ภายนอกเหมือนแม่ทัพจ้าวมีอำนาจล้นฟ้า แต่หารู้ไม่ว่าฮูหยินแม่ทัพคือผู้กุมอำนาจอย่างแท้จริง พอแม่ทัพจ้าวถูกฮูหยินตวาดก็ทำตัวลื่นไหลราวกับปลา เดินไปกระแซะทำท่าออดอ้อนผู้เป็นภรรยา แล้วดึงแขนนางเพื่อเดินกลับจวน ต่อหน้าผู้คนเขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก ได้แต่เก็บเขี้ยวเล็บทำตาหวานเชื่อมส่งให้ฮูหยิน ทว่าเมื่อหันกลับมาด้านหลังแล้วเห็นบุตรชายทั้งสามรุมล้อมบุตรีคนงาม ก็เปลี่ยนใบหน้าเป็นถมึงทึงดุร้าย เตรียมคิดบัญชีเรียงตัว จ้าวจิ่นลี่กับจ้าวจิ่นติ้งเห็นเป็นโอกาสเหมาะ ก็เข้าไปขนาบซ้ายขวาของน้องเล็ก สอบถามสารทุกข์สุกดิบตลอดทางกลับจวน จ้าวเสวี่ยเฟิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จำต้องเออออตามพี่ใหญ่และพี่รองอย่างเสียไม่ได้ จ้าวจิ่นกวางที่เดินตามหลังยกพัดขึ้นมาปิดปากพลางหัวเราะในลำคอ ‘หึๆ แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพราะน้องเล็กอยู่กับเขานานที่สุด’ คนทั้งหมดเคลื่อนย้ายไปยังจวนแม่ทัพ ทิ้งให้ท่านเจ้าเมืองและบรรดาขุนนางพูดคุยสอบถามกับเสนาธิการชิงหลง ท่านเจ้าเมืองพอได้ฟังเรื่องราวศึกที่หังโจวก็ตื่นเต้นเป็นยิ่งนัก เรื่องราวเหมาะแก่การเขียนรายงานเพื่อของบประมาณเฉลิมฉลอง ทิ้งชาวเมืองและพ่อค้าทั้งหลายให้พูดคุยกันสนุกปาก เรื่องราวของบุรุษตระกูลจ้าวผู้มีนิสัยแปลกประหลาด ยอดบุรุษภายนอกยิ่งใหญ่น่าเกรงขามราวกับพยัคฆ์ พอกลับบ้านมาก็เป็นดังเสือถอดเล็บ สิ้นฤทธิ์ภายใต้น้ำมือสตรีตระกูลจ้าว บิดากลัวฮูหยินยิ่งกว่าสิ่งใด อีกทั้งยังหวงแหนบุตรสาวมากกว่าใคร ก็ใครใช้ให้บุรุษตระกูลจ้าวไม่มีน้ำยาเล่า ผลิตออกมาแต่บุรุษหลายชั่วคน คุณหนูจ้าวเสวี่ยเฟิงถือเป็นบุตรีและทายาทหญิงคนแรกของตระกูลนี้ก็ว่าได้ “พี่ใหญ่ หังโจวเป็นอย่างไรบ้าง ทิวทัศน์งดงามสมคำเล่าลือหรือไม่” “แน่นอนว่างดงามยิ่ง ชายทะเลเต็มไปด้วยหาดทรายขาว มีกุ้งหอยปูปลาเต็มไปหมด หากมีโอกาสข้าจะพาเจ้าไปท่องเที่ยวแถบนั้น” จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มตาหยี เมื่อรู้สึกว่าแขนเสื้อด้านซ้ายของตนถูกกระตุก จึงหันไปมอง พบว่าพี่รองกำลังเรียกร้องความสนใจอยู่ จ้าวจิ่นติ้งเห็นน้องสาวหันมาทางตนก็ดีใจ ก่อนจะกล่าวว่า “เฟิงเอ๋อร์น้องเล็กของพี่ อยู่บนเขากับเจ้าสามเหนื่อยหรือไม่ อาหารการกินเป็นอย่างไรบ้าง” จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ “อาหารการกินล้วนได้ศิษย์น้องเล็กรับผิดชอบ หนึ่งปีหลังจากพี่รองลงจากเขา ท่านอาจารย์ก็รับศิษย์ใหม่หนึ่งคน ฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยม ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าได้เป็นศิษย์พี่แล้วนะ!” นางพูดด้วยความตื่นเต้น ตั้งใจจะคุยโม้เต็มที่ “มันเป็นใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย!” “ย่อมเป็นผู้ชายอยู่แล้ว สตรีที่ไหนจะผ่านด่านที่ข้ากับพี่สามวางไว้” จาวเสวี่ยเฟิงยังคุยจ้อไม่หยุด หาได้รับรู้ถึงรังสีอำมหิตรอบตัว จ้าวจิ่นกวางที่เดินตามหลังมาสะดุ้งโหยง พี่ใหญ่กับพี่รองคงไม่โทษเขาหรอกกระมัง ทว่าสายตาพิฆาตของพี่ใหญ่มาเร็วกว่าที่คาดการณ์ “จิ่นกวางน้องรัก เหตุใดจึงปล่อยบุรุษไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาใกล้ชิดน้องเล็กของพวกเรา เจ้าคงไร้น้ำยายิ่งกระมัง” จ้าวจิ่นกวางหาได้ถือสาพี่ใหญ่ที่พูดจาดูถูกเขา เพียงแต่โบกพัดไปมาพลางยิ้มขืนๆ ให้เหมือนจนใจ “คนผู้นั้นนับว่ามีวาสนากับตระกูลจ้าว ท่านอาจารย์ได้บอกไว้ ในอนาคตเขาจะเป็นผู้มีพระคุณต่อตระกูลเรา ตัวข้าจิ่นกวางไหนเลยจะกล้าขัดคำสั่งอาจารย์ จำต้องยอมรับอย่างเสียมิได้” พูดจบก็แสร้งไม่พอใจพลางพร่ำรำพันและตีอกชกหัวตัวเอง จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินก็กลอกตา เจ้ามารยาที่สุดก็คือนิสัยของพี่สาม หลอกคนซื่อบื้อแบบพี่ใหญ่อย่างง่ายดายกว่าพลิกฝ่ามือ “พี่ใหญ่พี่รองเข้าบ้านเถิดเจ้าค่ะ ท่านปู่ท่านย่ารออยู่นานแล้ว วันนี้ท่านปู่กับท่านย่าทำอาหารด้วยตัวเองนะเจ้าคะ” เสียงของน้องเล็กประหนึ่งระฆังสวรรค์ นานๆ นายท่านกับฮูหยินผู้เฒ่าจะออกโรงทำอาหาร บรรดาหลานๆ ที่อดอยากปากแห้งมานานก็น้ำลายสอไปตามๆ กัน โดยเฉพาะจ้าวจิ่นลี่ที่ตลอดทั้งการทำศึก ทหารกินอะไรเขาก็กินแบบนั้นโดยไม่บ่น นับเป็นลาภปากที่ได้ท่านปู่ท่านย่าแสดงฝีมือทำอาหาร ท้ายสุดก็ลืมเลือนเรื่องราวของศิษย์น้องเล็กบนเขาซูซันไปอย่างง่ายดาย หลานทั้งสี่คนมีเพียงจ้าวจิ่นติ้งที่สืบทอดพรสวรรค์ในการปรุงรส นับว่าน่าเสียดายนัก “ท่านปู่ท่านย่า ข้ากลับมาแล้วขอรับ คารวะท่านอารอง ท่านอาสาม อาสะใภ้รอง อาสะใภ้สาม” จ้าวจิ่นลี่ผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ยนำน้องๆ ทำความเคารพผู้อาวุโสที่สุดของบ้าน เมื่อถึงห้องโถงรวมของจวนตระกูลจ้าว หลังจากนั้นก็ทักทายญาติผู้ใหญ่ที่เดินทางมาจากต่างเมือง ท่านอารองเป็นหัวหน้าหน่วยทหารประจำการอยู่เฉิงตู ส่วนท่านอาสามเดินทางมาจากซีอาน นับว่านานนักที่ไม่ได้พบเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา “มาๆ นั่งประจำที่กันได้แล้ว” นายท่านผู้เฒ่าจ้าวเรียกทุกคนนั่งประจำที่ตรงโต๊ะอาหาร จ้าวเสวี่ยเฟิงไม่ทราบมาก่อนว่าท่านอารองกับท่านอาสามจะเดินทางมาที่เมืองไคเฟิงด้วย จึงก้มหน้าก้มตาทำความเคารพญาติผู้ใหญ่ทั้งหลายด้วยกริยานุ่มนวลแช่มช้อย ด้วยที่ประจำการอยู่ติดชายแดนพวกเขาจึงไม่ค่อยสะดวกมาพบกันมากนัก ประกอบกับท่านพ่อส่งพวกนางขึ้นเขา นางเลยพบเจอพวกเขาเพียงไม่กี่ครั้ง ใบหน้าของญาติผู้ใหญ่เหล่านี้จึงพร่าเลือนในความทรงจำและไม่ค่อยคุ้นเท่าใด ท่านอารอง จ้าวหงเยี่ยน อายุห่างจากแม่ทัพจ้าวเพียงสองปี ท่าทางองอาจสง่างามน่าเกรงขาม ข้างๆ เขาคือสะใภ้รอง หน้าตางดงามอ่อนหวาน กิริยามารยาทดูก็รู้ว่ามาจากตระกูลผู้มีการศึกษา หยิบจับอะไรก็ทำด้วยความละมุนละม่อม ท่านอาสาม จ้าวเหยียน มีรูปร่างสูงโปร่ง ไม่บึกบึนเหมือนท่านพ่อกับท่านอารอง ทว่าแววตามีประกายเฉลียวฉลาดดูคล้ายกับพี่สามถึงสี่ส่วน หากไม่ได้เติบโตมาด้วยกันกับพี่สาม นางคงคิดว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกันแน่ๆ อาสะใภ้สามหน้าตาหมดจดงดงาม มีรูปร่างกะทัดรัด สดใสร่าเริงตลอดเวลา นางสวมชุดทะมัดทะแมงเหมือนหญิงสาวจากเผ่าทางเหนือ เห็นแล้วรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก “หลานเสวี่ยเฟิงหน้าตางดงาม โตขึ้นน่าจะเป็นโฉมสะคราญที่หาตัวจับยาก พี่ใหญ่คงจะหวงน่าดูกระมัง” อาสะใภ้รองเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนหวาน จ้าวเสวี่ยเฟิงเพียงยิ้มแก้เขินและกล่าวเบาๆ “ขอบคุณอาสะใภ้รอง ท่านก็งดงามและอ่อนหวานยิ่งนัก” ผู้อาวุโสของบ้านที่เห็นอากัปกิริยาของจ้าวเสวี่ยเฟิงก็ต้องหลุดหัวเราะออกมา เมื่อหลานสาวทะโมนเจอไม้อ่อนเข้าไปก็ถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว ใบหน้าอ่อนหวานของอาสะใภ้รองเศร้าสลดลงเล็กน้อย นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ว่า “เสียดายเยี่ยนเอ๋อร์อายุยังน้อย ไม่อย่างนั้นอาจะพามารู้จักกับพวกเจ้าทั้งสี่คน” เยี่ยนเอ๋อร์หรือจ้าวเยี่ยน บุตรชายของอารอง ซึ่งมีอายุเพียงสิบขวบ ร่างกายอ่อนแอจึงยังเดินทางไกลไม่ได้ ไม่เหมือนกับจ้าวเสวี่ยเฟิงที่แข็งแรงบึกบึนมาตั้งแต่ยังเล็ก ขึ้นเขาซูซันที่ทั้งสูงทั้งหนาวก็ไม่เป็นไร ว่าแต่จะเป็นไรได้ล่ะ ท่านอาจารย์แบกนางขึ้นเขาตลอดทางนี่นา “เอาไว้มีโอกาสค่อยไปเยี่ยมน้องเยี่ยนก็ยังไม่สายขอรับอาสะใภ้รอง” จ้าวจิ่นกวางพูดยิ้มๆ นายท่านจ้าวเห็นคนมาพร้อมหน้าพร้อมตา ก็เรียกบรรดาสาวใช้ให้ยกอาหารออกมา จ้าวเสวี่ยเฟิงเห็นอาหารมากมายก็ต้องเบิ่งตามองจนน้ำลายสอ นางกลับมาที่จวนตระกูลจ้าวสองปี ยังไม่มีโอกาสได้ชิมรสมือของท่านปู่กับท่านย่า เห็นทีจะต้องจัดหนักเสียแล้ว ทุกคนเห็นอาหารเลิศรสก็พลอยน้ำลายสอ พอนายท่านจ้าวเอ่ยปากอนุญาต ทุกคนก็พากันกินอาหารราวกับอดๆ อยากๆ มานานปี โดยเฉพาะท่านแม่ทัพและจ้าวจิ่นลี่ ทั้งสองกินแต่เสบียงกองทัพ อาหารรสเลิศนั้นแทบไม่ได้แตะ ต่างจากจ้าวจิ่นติ้งที่รสมือเป็นเลิศ อีกทั้งยังอยู่ในเมืองหลวง อยากกินอะไรก็สะดวกสบายยิ่ง ทั้งหมดจึงกินไปพลางเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบกันไปพลาง บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงเต็มไปด้วยความอบอุ่น ว่ากันว่าลูกหลานจวนตระกูลจ้าวรักใคร่กลมเกลียว บ่าวไพร่ซื่อสัตย์สุจริต ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมจนน่าอิจฉายิ่งนัก หลังจากกินอาหารกันอิ่มหนำสำราญ นายท่านจ้าวก็ปั้นสีหน้าเคร่งขรึม บรรยากาศรอบโต๊ะอาหารพลันเต็มไปด้วยความกดดัน “กวางเอ๋อร์ เฟิงเอ๋อร์” นายท่านจ้าวเรียกหลานรักด้วยสีหน้าสงบนิ่ง จ้าวจิ่นกวางและจ้าวเสวี่ยเฟิงได้ฟังดังนั้น ขนที่ต้นคอก็พลันลุกชัน นั่งสงบเสงี่ยมมองไปทางท่านปู่ เห็นทุกคนเผลอตึงเครียด จึงสบตากันเป็นเชิงรู้กันแค่สองคน...เรื่องตระกูลเหยาแน่นอน “มีอะไรหรือเจ้าคะท่านปู่” จ้าวเสวี่ยเฟิงยิ้มปะเหลาะ จ้องมองท่านปู่ด้วยดวงตาใสซื่อ นายท่านจ้าวเห็นดังนั้นก็กลัวใจอ่อน จึงเสไปมองตัวปัญหาอีกคนแทน จ้าวจิ่นกวางอดทอดถอนใจไม่ได้ ใครใช้ให้หลานชายตระกูลจ้าวเป็นหลานชังกันล่ะ “นายท่านเหยาเขียนจดหมายมาหาปู่ หลานคงรู้กระมังว่าเพราะเหตุใด” นายท่านจ้าวพูดเปรยๆ จ้าวเสวี่ยเฟิงได้ยินก็ย่นจมูก พูดเสียงอ่อยว่า “ท่านปู่ไม่ทันสืบความก็จะมาลงโทษหลานหรือเจ้าคะ” นายท่านผู้เฒ่าจ้าวถลึงตาใส่หลานชายแทนที่จะเป็นหลานสาวซึ่งกำลังต่อปากต่อคำ พุ่งความหงุดหงิดทั้งหมดลงที่จ้าวจิ่นกวางผู้เคราะห์ร้าย คนรอบโต๊ะอาหารได้แต่กลั้นเสียงหัวเราะเพื่อไม่ให้คุณชายสามกดดันจนเกินไป “เพ้ย! ไม่ใช่ปู่ไม่สืบความ แต่ปู่รู้สึกว่าคราวนี้พวกเจ้าล้ำเส้นกันเกินไป ท่านเหยาเสียหายหลายพันตำลึง บุตรชายก็เดินเหินไม่สะดวก นับเป็นเรื่องร้ายแรงยิ่ง รู้หรือไม่ว่าค่าเสียหายของพวกเขาจุนเจือครอบครัวลูกจ้างได้กี่ร้อยคน” “แต่…” “เงียบก่อน รอให้ข้าพูดจบก่อน ในเมื่อพวกเจ้าเห็นความอยุติธรรมก็ทนไม่ได้ อาศัยวิธีการของตัวเองในการตัดสิน บ้านเมืองมีกฎหมาย...จะมาตั้งศาลเตี้ยไม่ได้ ปู่จะส่งพวกเจ้าไปอยู่กับท่านตาที่ลั่วหยาง[2] เข้าเรียนที่สำนักศึกษาหมื่นอักษรตามรอยติ้งเอ๋อร์ซะ ให้อาจารย์ผู้มากความสามารถขัดเกลานิสัยพวกเจ้าเสียบ้าง อีกอย่าง นายท่านผู้เฒ่าเยี่ยกับฮูหยินเยี่ยก็อยากเจอพวกเจ้ามานานแล้ว ใช้โอกาสนี้ตอบแทนบุญคุณแทนสะใภ้ใหญ่ด้วย นับว่าเป็นเรื่องสมควร “ส่วนเรื่องออกเดินทางค่อยหารือกันอีกครั้ง” นายท่านผู้เฒ่าพ่นลมหายใจ “ดังคำกล่าวว่า ‘เลี้ยงลูกชายโดยไม่ให้การศึกษาก็เหมือนเลี้ยงลา เลี้ยงลูกสาวโดยไม่ให้การศึกษาก็เหมือนเลี้ยงหมู’ ถึงแม้พวกเจ้าจะร่ำเรียนมาจากปรมาจารย์จิวซื่อ แต่ก็ยังเด็กนัก จงไปขัดเกลาตัวเองที่สำนักศึกษาหมื่นอักษรเถิด ลูกหลานตระกูลจ้าวไม่ประสบความสำเร็จไม่กลับบ้านเกิด จำเอาไว้!” นายท่านจ้าวพูดรัวจนหอบ หลังพูดจบก็วางตะเกียบเสียงดัง แล้วลุกขึ้นยืนพลางทำหน้าตาขึงขัง สุดท้ายก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าและบ่าวรับใช้พยุงออกจากห้องอาหารไป ปล่อยให้จ้าวจิ่นกวางกับจ้าวเสวี่ยเฟิงนั่งอึ้งอยู่เป็นนาน แม่ทัพจ้าวเห็นบุตรสาวและบุตรชายหน้าซีดก็ร้อนใจ พอคล้อยหลังบิดาก็นึกกังวลใจอยู่บ้าง “ฮ่าๆๆ ข้าเป็นลา” “ฮ่าๆๆ ข้าเป็นหมู” สองเสียงหัวเราะประสานกันโดยไม่ได้นัดหมาย คนทั้งห้องอาหารต่างนิ่งอึ้ง คิดว่าทั้งสองคนเป็นบ้าไปแล้ว แม่ทัพจ้าวเห็นดังนั้นก็ไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง “กวางเอ๋อร์ เฟิงเอ๋อร์ พวกเจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ” จ้าวจิ่นกวางหัวเราะเสร็จก็จิบชาแก้กระหาย พลางกล่าวกับบิดาด้วยน้ำเสียงยินดียิ่ง “พวกข้าไม่ได้เป็นบ้า เพียงแต่พวกข้าคาดการณ์ไว้แล้ว ไม่นึกว่าท่านปู่จะถึงกับหอบหายใจ นับว่าคุ้มค่าแก่การก่อเรื่อง” จ้าวจิ่นกวางพูดจบก็โบกพัดด้วยความสบายใจ กว่าแผนการถูกถีบหัวส่งออกจากจวนจะประสบความสำเร็จ ก็ล่วงเลยมาเกือบปีที่สาม ไม่เสียแรงที่เขากับน้องเล็กสร้างเรื่องราวไว้มากมาย แม่ทัพจ้าวกับฮูหยินได้ยินดังนั้นก็แทบจะเป็นลมสิ้นสติ บุตรชายกับบุตรสาวคนเล็กถึงกับวางแผนมาเป็นปีเพื่อหาเรื่องให้ถูกไล่ออกจากบ้านหรอกหรือ นับว่าน้องรอง น้องสาม และน้องสะใภ้ของเขาได้รับการเปิดหูเปิดตาแล้ว ใครว่าบุตรหลานตระกูลจ้าวล้วนแต่เป็นยอดคน ดูท่าแล้วน่าจะเป็นยอดตัวป่วนเสียมากกว่า เหตุใดเผือกร้อนสองหัวนี้กลับยินดีถูกโยนไปเมืองหลวง ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งปวดหัวจริงๆ มีเพียงจ้าวจิ่นลี่และจ้าวจิ่นติ้งที่ลอบหัวเราะกันสองคน ผลัดกันเหยียบเท้าเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหลุดหัวเราะเสียงดังจนเปิดโปงแผนการของน้องๆ ท่านอาสามที่นิ่งเงียบมาตั้งนานถึงกับหัวเราะจนตัวงอ กล่าวกับแม่ทัพจ้าวว่า “พี่ใหญ่ นับว่าพวกเรามาคราวนี้ไม่เสียเที่ยว พวกข้าได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง ฮ่าๆๆ” [1] เทพเอ้อหลาง เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งสวรรค์ มีเซียนฝีมือดี 1,200 องค์ มี 3 ตา สำหรับปางนั่งมักจะถืออิฐทองคำรูปทรงพีระมิด มีอาวุธวิเศษเป็นมีดสามปลายและกระจกส่องวิญญาณ สามารถรู้ชาติกำเนิดเดิมของผู้ที่ถูกส่องได้ สามารถแปลงกายได้ 72 อย่าง [2] ลั่วหยางเป็นเมืองหนึ่งในประเทศจีน ปัจจุบันตั้งอยู่ทางตะวันตกของมณฑลเหอหนาน เคยเป็นเมืองหลวงของหลายราชวงศ์ เช่น ราชวงศ์โจวตะวันออก ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และราชวงศ์ถัง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม