บทที่2.1

1129 คำ
ฉันหมดสติแต่ยังสัมผัสได้ถึงความร้าวระบมของร่างกาย ไม่สิ... แบบนี้ไม่เรียกว่าหมดสติ ฉันแค่หมดแรงจนดิ้นไปไหนไม่ได้ ไร้พละกำลังต่อต้าน นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนี้ในขณะที่ไอ้สารเลวสาละวนกับร่างกายฉันเหมือนอดอยากปากแห้งมานานหลายปี ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเตโชสงสาร สมเพช หรืออะไร เพราะหลังจากที่มันพูดจาน่ากลัว ทำราวกับว่าฉันจะเจอเรื่องแบบนี้ไปตลอดกาล...เขาก็จ้องหน้าฉันอย่างไม่คลาดสายตา ไม่มีวินาทีไหนที่นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นจะเลื่อนไปทางอื่น “สีหน้าเธอเหมือนคนกำลังจะตาย” ฉันยังจำสิ่งที่มันพูดได้ นั่นเป็นประโยคสุดท้ายก่อนทุกอย่างจะยุติลง แต่เชื่อเถอะว่ากว่าเขาจะหยุด...ฉันสำลักความทรมานแทบขาดใจตายหลายต่อหลายครั้ง ฉันเหนื่อยและหลับตาลง เตโชคงคิดว่าฉันหมดสติ... เอาจริง ๆ ฉันอยากหลับไปเลยเพราะทนไม่ไหวแล้ว แต่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน อยู่กับใคร ฉันจึงกัดฟัน บังคับให้ตัวเองมีสติอยู่ตลอดเวลา แม้มันจะเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ฉันก็ทำเท่าที่จะทำได้ เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาที่ฉันแสร้งหลับ จึงรู้ว่าหลังจากนั้นเตโชทำอะไรกับฉันบ้าง เขาเช็ดตัวให้ฉัน นั่งจ้องหน้าฉันอยู่นานสองนาน แล้วก็บ่นบ้าบออะไรสักอย่างเหมือนคนประสาทก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ กัน และใช่ ข้อมือทั้งสองยังถูกล็อกด้วยกุญแจ มันทำเหมือนจะปรานี แต่ยังไงก็ยังเห็นแก่ตัวอยู่วันยันค่ำ... ฉันข่มตัวเองในสภาพนี้อยู่หลายชั่วโมง ไม่ขยับตัว กระทั่งเช้าตรู่...ฉันแอบเห็นเตโชเดินเข้าไปในห้องน้ำ พึ่บ... ฉันลุกขึ้นนั่งอย่างร้อนรน ความรีบทำให้ฉันเบ้หน้าเกือบหลุดเสียงร้องเพราะความเจ็บ ยังดีที่เตือนตัวเองได้ทันจึงกัดฟันข่มกลั้นเอาไว้ จากนั้นก็ค่อย ๆ พยุงร่างกายสะบักสะบอมไปยังประตูห้องด้วยฝีเท้าบางเบาเท่าที่จะทำได้ ยัยเอื้องขวัญ แกต้องใจเย็น แน่นอนว่าฉันไม่ลืมที่จะคว้าผ้าขนหนูซึ่งพาดอยู่บนเก้าอี้ใกล้ ๆ ติดตัวมาเพื่อปิดบังความโป๊เปลือยของตัวเอง แต่ก็อย่างว่า...ตอนนี้ข้อมือฉันถูกล็อกด้วยกุญแจ สิ่งที่ทำได้เลยมีแค่เอามันมาปิดตรงส่วนหน้าเท่านั้น ไม่สามารถพันรอบกายได้อย่างที่ใจหวัง ไม่เป็นไรหรอก ถ้าออกไปข้างนอกได้ก็ต้องมีคนช่วยอยู่แล้ว หรือเปล่านะ... ...อยู่ดี ๆ ก็อยากร้องไห้ แต่เพราะยังกัดริมฝีปากเอาไว้อย่างนี้จึงไม่มีเสียงสะอื้นเล็ดลอดออกไปให้ได้ยิน อีกอย่าง นี่ก็ไม่ใช่เวลาจะมาสำออยด้วย เมื่อมีโอกาสแล้วก็ต้องรีบคว้า อีกนิดเดียวเองยัยเอื้องขวัญ นิดเดียว... เมื่อพาตัวเองมาถึงประตูห้อง ฉันก็รีบใช้สองมือที่ถูกล็อกติดกันด้วยกุญแจเอื้อมสัมผัสตัวล็อกของบานประตูซึ่งออกแบบมาให้คล้ายกับการสับคัตเอาท์ จากนั้นก็ใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีในการเปิดมัน ความจริงมันก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรขนาดนั้น แต่ตอนนี้ลำพังแค่ยืนฉันก็แทบจะไม่ไหวแล้ว แกรก... สิ้นเสียงปลดล็อก ฉันก็รีบพาตัวเองออกไปข้างนอกอย่างไม่ลังเล ยังดีที่ตอนนี้เป็นช่วงเช้าตรู่จึงไม่มีใครเลย แต่ในความโชคดีนั้นก็เหมือนเป็นความโชคร้ายยังไงก็ไม่รู้... มันเงียบมากเสมือนว่ามีแค่ฉัน สับสนชะมัด ฉันอาย ไม่กล้าให้ใครเห็นสภาพของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการให้คนช่วย ยังไงดีล่ะ... ระหว่างคิดฉันก็พยุงตัวเองมาจนถึงชั้นล่าง ปรากฏว่าถนนเส้นนี้เปลี่ยวมาก พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดีส่งผลให้ท้องฟ้ามืดสนิท ฉันหันซ้ายหันขวา วูบนั้นหางตาเห็นรถบรรทุกขนของกำลังตรงมาทางนี้จากที่ไกล ๆ ฉันตั้งใจจะขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อระยะห่างลดลงจนเห็นคนขับ ฉันก็รีบถอยหลังและเข้าไปหลบในพงหญ้าไม่ไกลจากตรงนั้น ท่าทางน่ากลัว... คนขับถือขวดเหล้า ทำตาเยิ้มเหมือนคนไม่มีสติ ให้ตาย...เมาแล้วขับเนี่ยนะ ฉันรอจนกระทั่งรถบรรทุกคันนั้นขับผ่านไป แต่ก็ไม่กล้าก้าวเท้าออกไปอยู่ดี ฉันยังนั่งอยู่ตรงนี้ เอนหลังพิงกับต้นไม้อย่างเหนื่อยล้า อยากหลับเต็มทน แต่ก็กลัวว่าในระหว่างที่ตัวเองหมดสติจะมีบางสิ่งเกิดขึ้น จึงทำได้แค่นั่งหลบมุมอยู่ตรงนี้ ก้มมองสภาพร่างกายตัวเองที่ยับเยินเกินเยียวยา รอยช้ำเต็มตัว...ขยับมากก็เจ็บ ทำยังไงดี “บ้าเอ๊ย...” ฉันสบถอย่างเคียดแค้นใจ “บัดซบ” อีกครั้งที่ฉันสบถอย่างหัวเสีย ก่อนออกมาก็รีบจนลืมว่ายังมีกระเป๋าและโทรศัพท์มือถืออยู่ในนั้น ตึก...ตึก... “จ๊ะเอ๋...” เฮือก... ฉันสะดุ้งและรีบหันกลับไปยังต้นตอของเสียง และนั่นทำให้ฉันได้พบกับเจ้าของร่างสูงโปร่งซึ่งยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ใกล้ ๆ แววตาคู่นั้นทำให้ฉันหนาวสั่นจับขั้วหัวใจ สมองสั่งให้วิ่งหนี แต่เพียงชั่ววินาทีเดียวเขาก็เข้ามาคว้าต้นแขนของฉันไว้... หมับ! “อุตส่าห์ให้เวลาตั้งหลายนาที มาไกลสุดได้แค่นี้เองเหรอ” ไม่ใช่ว่าฉันหนีได้ แต่มันจงใจให้ฉันหนีเพราะรู้ว่าคงไม่มีปัญญาไปได้ไกลกว่านี้ “...อึก” ฉันกลืนน้ำลายลงคอ แค่เสียงของเตโชก็ทำให้ฉันมองเห็นนรก แค่เสียงของมัน... “ป่ะ กลับห้องกัน ออกมาเดินแก้ผ้าตอนเช้าตรู่แบบนี้ไม่ดีนะเด็กน้อย” ว่าพลางกระชากฉันกลับไปทางเดิม จิตใต้สำนึกบอกให้ฉันขัดขืนมันอย่างที่ควรจะทำ แต่ตอนนี้น่ะ หมดแรงเกินไปแล้ว ตาก็พร่า แสบไปทั้งตัว ไม่ได้สิ แกต้องหนีให้ได้ อย่ายอมแพ้นะ บอกตัวเองอย่างนั้น แต่รู้ตัวอีกทีก็ถูกเตโชอุ้มเข้ามาในห้องน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันวางฉันไว้ในอ่างเย็นเฉียบ เปิดฝักบัวเพื่อให้หยดน้ำมากมายไหลชโลมร่างกายของฉัน ฉันสะดุ้ง ราวกับว่าหยดน้ำเย็น ๆ พวกนั้นคือมีดที่ผ่านการลับมาแล้วพันครั้ง ส่วนไหนที่เปียกปอนฉันรู้สึกแสบจนทนไม่ไหวและรีบเงยหน้าขึ้นมองเตโชฝ่าสายน้ำอย่างทุลักทุเล
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม