“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เมื่อคืนนายเมามาก และนั่งดื่มจนร้านปิด เด็กในร้านนึกว่าฉันรู้จักกับนายเลยขอร้องฉันให้ช่วยพานายกลับ ฉันฉันพยายามถามหาบ้านนายแต่จะเค้นเอาอะไรกับคนเมาก็ไม่ได้ ฉันเองก็รอให้นายสร่างเมาแล้วค่อยบอกฉันก็ไม่ได้ ฉันเลยพานายกลับมาที่คอนโดของฉัน”
“แล้ว... เอ่อ...” ถ้ามันเป็นแค่ที่หญิงสาวเล่า แล้วทั้งคู่มาอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร
“ฉันบอกแล้วไงว่านายเมามาก เมาจนคิดว่าฉันเป็นคนรักของนาย ฉันพยายามห้ามนายและขัดขืนนายแต่ก็สู้แรงของนายไม่ได้ สุดท้ายก็เลยตามเลย” ท่าทางที่หญิงสาวพูดเหมือนกับเล่าเรื่องลมฟ้าอากาศ แม้จะไม่เอ่ยถึงรายละเอียด แต่พชรก็พอเดาได้ ความรู้สึกผิดจึงเกิดขึ้นในใจของชายหนุ่ม
“ผมขอโทษ” หน้าของเขาแสดงถึงความรู้สึกผิดและเสียใจอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เป็นไรหรอก สุดท้ายฉันเองก็สมยอมไปกับนายเอง” แม้จะพูดด้วยท่าทีไม่แยแส แต่ในอกของสินีนั้นเอ่อท้นไปด้วยน้ำตา หล่อนเองก็ใช้เขาเป็นตัวแทนของคนที่หล่อนรัก แม้เขาจะเมาแต่กลับแสดงความรักได้อ่อนโยนอย่างเหลือเชื่อ ช่างน่าอิจฉาผู้หญิงคนนั้นจริงๆ
“ผม... เอ่อ...” ท่าทางที่ดูเหมือนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่สำคัญของหญิงสาวตรงหน้าทำให้พชรพูดไม่ออก เขาควรจะดีใจสิที่หล่อนไม่เรียกร้อง แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่ชอบใจกับท่าทางเช่นนี้ของหล่อน
“นายไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันเองก็ไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ที่จะเรียกร้องให้นายรับผิดชอบ ดังนั้นนายเองก็ลืมมันไปแล้วลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว” หล่อนพูดเหมือนกับหล่อนเป็นหญิงกร้านโลก แต่ทำไมแววตาของหล่อนช่างสวนทางกับคำพูด เขาเห็นแววเจ็บปวดวูบหนึ่งอยู่ในดวงตาคู่สวยตรงหน้า
“ผมขอโทษ” เขาเอ่ยคำของโทษซ้ำอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกเห็นใจหล่อน เขารู้ว่าหล่อนไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ แต่เขากลับไม่รู้สึกว่าหล่อนเป็นสาวกร้านโลกที่มีมีเซ็กส์กับใครโดยไม่เลือกเช่นนั้น ความคิดเช่นนี้ทำให้ความรู้สึกผิดเกาะกุมหัวใจของเขา
“นายจะจมกับความรู้สึกผิดของนายต่อไปฉันก็ไม่ว่าอะไร ฉันขอตัวไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนก็แล้วกัน” บอกเสร็จสินีก็ลุกจากเตียงไปทันที
หล่อนจงใจแสดงบทหญิงกร้านโลกให้เขาเห็นด้วยการที่ไม่หาอะไรมาปกปิดร่างกายขณะที่เดินเข้าห้องน้ำไป ซึ่งพชรเองก็เผลอมองตามเรือนร่างงามเย้ายวนพร้อมด้วยหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะแปลกๆ จนลับตาไปเช่นกัน
สินียืนอยู่หน้าอ่างล้างหน้าภายในห้องน้ำ หล่อนมองตัวเองในกระจกบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า แสงไฟสีขาวนวลสะท้อนร่องรอยบางอย่างบนผิวขาวเนียนของหล่อนจนเด่นชัด มันคือรอยรักสีกุหลาบที่หล่อนไม่เคยได้รับจากพอลเลยสักครั้งเดียว
หล่อนปาดน้ำตาที่ซึมออกมาทางหางตาออก หลับตาลง สูดหายใจเข้าแล้วผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เพื่อเรียกกำลังใจ หล่อนมักจะทำอย่างนี้ในยามที่รู้สึกเหนื่อยหรือท้อแท้ จากนั้นหล่อนก็จัดการธุระของตัวเองจนเสร็จสิ้น
ใช้เวลาเพียงไม่นานร่างบางก็ก้าวออกมาจากห้องน้ำในชุดคลุมอาบน้ำสีขาว ผมของหล่อนถูกห่อด้วยผ้าขนหนูเอาไว้ กลิ่นสบู่หอมสดชื่นโชยเข้าจมูกของชายหนุ่มที่ยังนั่งอยู่บนเตียง
“ฉันว่านายควรจะลุกขึ้นไปอาบน้ำหรือไม่ก็ล้างหน้าล้างตาหน่อยก็ยังดี” สินีใช้สายตามสำรวจสภาพของชายหนุ่มแล้วเอ่ยบอกเขา
พชรพิจารณาตัวเอง สภาพของเขาดูไม่ได้เลยจริงๆ ทั้งกลิ่นเหล้าที่ติดตัว มันทำให้เขารู้สึกสมเพชตัวเอง
“ฉันเตรียมแปรงสีฟันกับผ้าเช็ดตัวไว้ให้นายแล้ว” สินีบอกเสร็จก็เดินไปหยุดยังโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วเริ่มทาครีมบำรุงผิวอย่างที่ทำเป็นกิจวัตรโดยที่ไม่สนใจชายหนุ่มอีก
พชรมองตามร่างบางอีกครั้ง หล่อนทำให้เขาอึดอัดทำอะไรไม่ถูก แต่ไม่รู้ทำไมเขาจึงละสายตาจากหล่อนไปไม่ได้ เขาตัดสินใจทำตามคำแนะนำของหล่อน แต่...
“คุณ...” หญิงสาวคนนี้ทำให้เขาจนคำพูดได้จริงๆ
“มีอะไร” สินีละมือจาการสางผม แล้วหันมาถามชายหนุ่ม
“คุณจะให้ผมเดินเข้าไปห้องน้ำได้ยังงัย”
“นายก็ลุกแล้วเดินไปสิ นายคงไม่ต้องให้ฉันอุ้มนายเข้าไปหรอกมั้ง”
“คุณแน่ใจหรือ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ผมไม่มีเสื้อผ้าติดกายสักชิ้น”
“แล้วทำไม นายเป็นผู้ชายเสียเปล่าจะอายอะไร ฉันยังไม่เห็นอายเลย แล้วฉันก็เตรียมผ้าเช็ดตัวไว้ให้นายในห้องน้ำอยู่แล้ว” สินีเอ่ยอย่างรำคาญแล้วก็ไม่ได้สนใจชายหนุ่มอีก
พชรอ้าปากทำท่าจะพูดอะไรต่อแต่ก็ค้างไว้อย่างนั้น เขาหมดคำจะพูดกับหล่อนจริงๆ คิดตามคำพูดของเจ้าหล่อนแล้วก็เห็นจะจริง เขาเป็นผู้ชายจะอายอะไร เขาจึงตัดสินใจเลิกผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว
สินีที่กำลังง่วนอยู่กับการประทินผิวของตนก็ลอบมองชายหนุ่มผ่านกระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ท่าทางรีบๆ ของเขาที่เดินเข้าห้องน้ำไปทำให้หล่อนหลุดขำ ทำไมหล่อนถึงมีความคิดในหัวว่าเขาช่าง... น่าเอ็นดู