เวลาผ่านไปหลายวันจนเกือบเดือนที่เจ้าเอยทำงานอยู่ในวังน้ำเขียว เธอเริ่มที่จะปรับตัวได้แล้วแถมยังเป็นผู้ช่วยรับสมัครพนักงานร่วมกับเจ้าของรีสอร์ตอีกด้วย แต่คงมีอยู่หนึ่งเรื่องที่ยังคงไม่ชินคือการได้เห็นวิญญาณในชุดสไบลอยไปลอยมาตามติดชายหนุ่ม
คนตัวเล็กหมั่นสวดมนต์แผ่เมตตาตลอดทุกคืนก่อนนอนเพื่อหวังจะให้ผีสาวได้บุญกุศลบ้างก็ชวนคุณมังกรและคุณชัยชนะไปตักบาตรถวายสังฆทานที่วัด
“อย่าเอาเชียวหนา แม่หญิงคนนี้ขี้คร้านตัวเป็นขน”
เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครั้งเมื่อผู้หญิงร่างเล็กเดินเข้ามาสัมภาษณ์งาน หญิงสาวไม่ได้ฟันธงหรือทำตามที่ผีในชุดสไบเฉียงสีแดงเลือดหมูกระซิบบอกทว่ากลับผายมือเชิญคนตรงหน้านั่ง
“ชื่ออะไรคะ”
“เปรี้ยวค่ะ”
“คุณเปรี้ยวมีประสบการณ์ทำงานในรีสอร์ตมาบ้างไหมคะ”
เจ้าเอยเริ่มถามประโยคเพื่อเปิดประเด็นการสัมภาษณ์ แอบหรี่ตามองเด็กสาวนั่งไขว่ห้างจ้องร่างสูงข้างกายไม่วางตาโดยไม่ได้คิดที่จะสนใจตัวเธอเลยแม้แต่น้อย
“เห็นรึไม่” เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหู
“ไม่ผ่านค่ะ”
“คะ? แต่ฉันยังไม่สัมภาษณ์เลยนะ!”
“ฉันสัมภาษณ์แล้วค่ะ คุณไม่ผ่าน”
เด็กสาวชื่อเปรี้ยวรีบหันขวับมามองด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินกระแทกเท้าออกไปจากห้องด้วยกิริยามารยาทที่แทบเรียกว่ามีอยู่น้อยนิด
“วันนี้พอก่อน”
มังกรเงยหน้าจากแฟ้มงานกองสูงบนโต๊ะพร้อมหันไปพูดกับผู้จัดการรีสอร์ต กวักมือเรียกชัยชนะที่อยู่ๆ ก็โผล่ตัวมาโดยที่เขาไม่ต้องเรียกให้เหนื่อย
“มีอะไรหรือเปล่าครับเจ้านาย”
“ช่วยไปติดต่อช่างที่จะเข้ามาสร้างซูเปอร์มาเก็ตหน่อย”
“ได้ครับ”
“หิวหรือยัง”
มือขวาคนสนิทเดินออกไปถึงได้หันมาคุยกับหญิงสาว ทั้งเธอและเขาสัมภาษณ์คนที่จะเข้ามาทำงานตั้งแต่เช้าจนลากยาวมาถึงบ่าย ชายหนุ่มไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะมีคนสนใจที่จะเข้ามาทำงานมากถึงเพียงนี้
“นิดหน่อยค่ะ”
“งั้นไปหาอะไรทานกันก่อนดีกว่า”
“ค่ะคุณมังกร”
“ข้ารู้ว่าแม่เจ้าเอยมองเห็น”
ลมหวิวๆ พัดลอยมาจนขนแขนลุก เจ้าเอยพยายามเบียดร่างกายเข้าไปใกล้เจ้าของรีสอร์ตจนเขาก้มมองมาด้วยความสงสัย ถึงอย่างนั้นไม่อาจเรียกความสนใจของเจ้าเอยที่มองเห็นผีสาวตรงหน้า ใบหน้าขาวซีดไร้คราบเลือดแต่ทว่าสไบยังคงเก่าและขาดวิ่น
“ข้าได้รับผลบุญแล้วหนา”
เป็นอีกครั้งที่วิญญาณอัธยาศัยดียังชวนคุยต่อ แถมยังตามติดชายหนุ่มและเธอมาจนถึงโรงอาหารที่คนงานนั่งรับประทานกันอย่างเนืองแน่น
“ผมอยากลองมาทานอาหารที่นี่ดู”
“ค่ะคุณมังกร”
เจ้าเอยรับหน้าที่เดินไปหยิบข้าวและสำรับอาหารให้เจ้านายหนุ่ม วางถาดลงบนโต๊ะตรงหน้าคุณมังกรจากนั้นเดินไปกดน้ำสะอาดเย็นๆ ใส่แก้ว แอบเห็นชายฉกรรจ์หลายคนขยิบตาส่งให้อย่างมีเลิศนัย บ้างผิวปากแซวเพื่อหยอกล้อ
ดวงตาคู่สวยมองวิญญาณสาวลอยไปที่ชายหนุ่มคนดังกล่าว ก่อนจะใช้หลังมือตบเข้าใส่ศีรษะจนหน้าคะมำเข้ากับจานข้าว ตอนนี้ทุกคนในโรงอาหารพากันหัวเราะดังลั่น
“ใครตบกูวะ!”
“ผมเปล่านะลูกพี่” ทั้งโต๊ะรีบโบกมือปฏิเสธ
หญิงสาวแอบลอบยิ้มเดินกลับมาที่โต๊ะเป็นจังหวะที่ขาสะดุดเข้ากับอากาศจนล้มลงบนหน้าตักเจ้าของรีสอร์ตพอดิบพอดี เจ้าเอยเบิกตากว้างตกใจเมื่อน้ำในแก้วหกใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวจนเปียกชุ่มแนบลำตัว
“เอยขอโทษค่ะ”
คนตัวเล็กพยายามจะลุกขึ้นจากชายหนุ่มทว่าตัวเธอกลับแข็งทื่อไม่สามารถขยับได้ เสียงคนงานดังขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเห็นหญิงสาวนั่งบนหน้าตักอย่างแนบชิดกับเจ้านาย
“เอยลุกไม่ได้ค่ะคุณมังกร”
“ว่าอะไรนะ?”
เจ้าเอยพยายามดันตัวขึ้นก็ไม่สามารถทำได้เพราะในตอนนี้ผีสาวล็อกตัวของเธอเอาไว้แน่นอย่างกับคีมเหล็ก เสียงหัวเราะคิกคักชอบใจดังผสมผสานกับลมเย็นๆ
มังกรหน้าแดงก่ำเมื่อสาวเจ้าขยับตัวไปมาบนหน้าตักของเขา แถมยังนั่งทับเจ้าลูกชายภายในกางเกงจนจุกแทบขาดใจ คราแรกนึกว่าคนตัวเล็กจงใจที่จะใกล้ชิดแต่เมื่อเห็นใบหน้าสวยตื่นตระหนกก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่
นานหลายนาทีกว่าวิญญาณตรงหน้าจะยอมปล่อย หญิงสาวรีบลุกขึ้นจากหน้าตักของร่างสูงอย่างไวก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดบนเสื้อเชิ้ตให้เขาด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร ผมเช็ดเอง”
ชายหนุ่มปลดกระดุมเสื้อออกจนเกือบหมด แผงอกขาวกำยำสะท้อนเข้าสู่สายตาจนเจ้าเอยหน้าแดงก่ำ อดไม่ได้ที่จะแอบลอบมองเขาอย่างลืมตัว
“ผมว่าน่าจะต้องเข้าไปเปลี่ยนชุดที่ห้องใหม่”
“ค่ะ”
คนตัวเล็กเดินตามหลังเจ้านายออกมาจากโรงอาหารผ่านเสียงกระซิบกระซาบของบรรดาลูกน้องในรีสอร์ต ยิ่งเพิ่มความโกรธเคืองผีสาวเป็นไหนๆ ที่กล้ามาแกล้งเธอ
“ว้าย!”
หญิงสาวถลาล้มใส่คุณมังกรอีกครั้งทว่ารอบนี้ใบหน้าหวานฝังลึกลงบนหน้าอกบึกบึน สองมือหนาโอบกอดพร้อมรับร่างบอบบางไว้แน่นด้วยความตกใจ
“แม่เจ้าเอยโกรธข้ารึ”
เสียงหัวเราะแหบพร่าดังขึ้นใกล้หูอย่างถูกอกถูกใจ เจ้าเอยแทบร้องกรี๊ดออกมาด้วยความอับอายเหลือเกิน นึกแล้วก็แค้นคุณเธอผีสไบเป็นที่สุด
“เป็นอะไรหรือเปล่า หรือหน้ามืด”
“เอยไม่เป็นไรค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”
คนตัวเล็กรีบผละตัวออกห่างพร้อมวิ่งหนีออกไปด้วยความรวดเร็ว มือเรียวเท้ายันเข้ากับตัวอาคารพรางหอบหายใจเหนื่อยเมื่อขยับขาวิ่งสุดพลัง
“ฉันจะโกรธเธอจริงๆ แล้วนะ”
“ยอมรับแล้วรึว่าแม่เจ้าเอยเห็นข้า”
กลิ่นน้ำอบไทยและดอกจำปีลอยมาแตะจมูกก่อนจะเห็นร่างอรชรของวิญญาณสาวมาหยุดตรงหน้า รอบนี้สีสไบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ใบหน้ามีรอยแผลและเศษดินติดอยู่ทำเอาเจ้าเอยยกมือขึ้นหยุดคุณเธอเอาไว้
“ถ้าจะมาสภาพนี้ฉันขอไม่คุย”
“มิสวยรึ หรือแม่เจ้าเอยมิชอบสีสไบของข้า”
ช่างหัวสีสไบเถอะแม่คุณ!
“หน้าเธอ ฉันกลัวหน้าเธอ”
“แม่เจ้าเอยรอข้าประเดี๋ยวหนา”
ไม่นานผีสาวที่หายลับไปก็ปรากฏตัวขึ้นมาด้วยรูปโฉมพอใช้ได้ ทว่ารอบนี้ใบหน้าขาวซีดถึงกระนั้นดวงตายังมีแต่สีขาวจนน่าผวาเสียเหลือเกิน
“แม่เจ้าเอยยังกลัวรึ”
“ไม่กลัวก็บ้าแล้ว ตาดำเธอไปไหนล่ะ”
“มิรู้สิ สงสัยข้าทำตกไว้ที่ไหนสักแห่ง”
“งั้นเอาสไบปิดหน้าไว้”
เจ้าเอยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แอบโล่งอกเมื่อคุณเธอยกผ้าสไบสีซีดของตัวเองขึ้นมาปิดหน้าตามคำสั่ง ก่อนจะค่อยๆ พาตัวไปนั่งทอดขาอยู่บนหน้าต่างโล่งตรงหน้าเพื่อพูดคุย
“แม่เจ้าเอยเห็นหน้าคาตาข้ามานานแค่ไหนแล้ว” ถามอย่างตื่นเต้น
“ก็ตั้งแต่วันแรกที่มา”
“แล้วเหตุใดถึงยอมบอกว่าเห็นข้าแล้ว”
“เพราะอยากจะคุยกับเธอให้รู้เรื่อง มีอย่างที่ไหนมาผลักฉันชนคนอื่นไปทั่ว”
หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอกเพื่อชำระความกับผี ถึงแม้จะหวาดระแวงกลัวใครมาเห็นเธอยืนพูดคนเดียวอย่างกับคนบ้า
“ข้ามีนามว่าจำปีมิใช่เธอเสียหน่อย”
ผีสาวแนะนำตัวเองให้ฟังเพื่อเปลี่ยนเรื่อง เธอดีใจเหลือเกินที่นานๆ จะมีคนมองเห็นและอยู่พูดคุยไม่หนีหายหรือหวาดกลัวไปไหน
“ค่ะคุณจำปี ต่อไปฉันขอสั่งห้ามเลิกมายุ่งวุ่นวายได้แล้วรวมไปถึงคุณมังกรด้วย”
“ข้ามิได้วุ่นวายหนาแม่เจ้าเอย แต่กำลังช่วยพ่อคนนั้นอยู่”
“ช่วยจากอะไร?”
“ข้าบอกแม่เจ้าเอยมิได้”
จำปีหน้าสลดลงเมื่อไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำนั้นออกมาได้ ลำพังแค่เธอตามวนเวียนใกล้ๆ ตัวชายหนุ่มก็แทบจะหมดพลังทุกครั้งเมื่อต้องคอยช่วยเหลือเขา แต่ทว่าหญิงสาวตรงหน้ากลับเป็นแสงสว่างที่มักจะคอยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นไปจนหมด
และนี่คงเป็นเหตุที่เธอมักจะหาทางเรียกแม่เจ้าเอยให้มาอยู่ใกล้ๆ ชายคนนั้น
“แม่เจ้าเอยต้องพยายามอยู่ใกล้ๆ พ่อคนนั้นหนา”
“แล้วเธอมาตามช่วยคุณมังกรเขาทำไม”
วิญญาณสาวทำท่าจะอ้าปากบอกก่อนจะสำลักเลือดสีแดงออกมาไม่หยุดทำเอาเจ้าเอยตกใจกลัวขึ้นมา ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังแอบมีความรู้สึกเป็นห่วงคุณเธอไม่ใช่น้อย
“เกิดอะไรขึ้นจำปี”
“ฮึก! ข้าไปแล้วหนาแม่เจ้าเอย ไว้จักมาคุยเล่นด้วยกันใหม่”
พูดตอบกลับรัวเร็วพร้อมร่างสลายหายวับไป หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาด้วยความหนักอึ้งและสงสัยเป็นทวีคูณถึงประโยคเมื่อครู่ เป็นจังหวะเดียวกันที่คุณชัยชนะจะเดินเข้ามาหา
“ผมเดินหาคุณเจ้าเอยไปทั่วเลยครับ”
“มีอะไรหรือเปล่าคุณชัยชนะ”
“เจ้านายให้ผมมาตามคุณเจ้าเอยไปกินข้าวครับ”
เจ้าเอยมองไปรอบๆ บริเวณอีกครั้งเพื่อมองหาคุณจำปี ทว่ากลับพบแต่ความว่างเปล่าเธอทำได้เพียงถอดใจแล้วเดินตามคุณชัยชนะไปที่บ้านพักตากอากาศ
.
.
.