“อ๋อ! ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ พอดีเรามาทำธุระแถวนี้ แล้วรถก็เสีย ผมตามช่างมาแล้วแต่มาช้ากลัวไม่ทันนัดก็เลยลองซ่อมเองครับ แต่บังเอิญผมสะเพร่าไปหน่อยไม่ทันได้เอาของมาวางกั้นบอกให้รู้เอาไว้ว่ารถเราเสียน่ะครับ แต่ก็ขอบคุณครับที่เป็นห่วง”
เขารู้สึกแปลกใจนิดหนึ่งที่ทุกวันนี้ไม่ค่อยได้พบเห็นผู้คนมีความห่วงใยคนอื่น ในเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ แล้วยังมีอารมณ์ถามห่วงใยคู่กรณีว่าได้รับบาดเจ็บมั้ย ตั้งแต่เขากลับมาที่เมืองไทยก็จะเคยเจอแต่ที่ประเภทชนแล้วก็พาลทะเลาะกัน เพื่อแย่งกันเป็นฝ่ายถูกทั้งนั้น
“ขอโทษอีกครั้งนะคะ นั่นเจ้านายคุณใช่มั้ยค่ะ ที่คุยโทรศัพท์อยู่ด้านหน้าน่ะค่ะ” เธอถามเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องเธอก็ได้ยินแต่เสียงของเขาพูดคุยโทรศัพท์อย่างเดียว โดยไม่ได้มาสนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย
“ท่าทางเขาอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย ดิฉันจะโทรเรียกให้คนขับรถมารับไปส่งให้ได้นะคะ เพราะที่ทำงานอยู่แยกหน้าพอดีเลยดิฉันก็รีบไปตามนัดเหมือนกันค่ะ”
เธอมีท่าทีกังวล แต่ไม่ทันเท่าไหร่ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังมาจากรถของเธอ และเธอรีบไปหยิบมาพอมองดูว่าคนโทรมาคือใครเธอก็รีบตอบทันที
“คุณพ่อคะ สงสัยขิมคงต้องเข้าประชุมกับคุณธรรทรช้าสักครึ่งชั่วโมงนะคะ เพราะตอนนี้ขิมขับรถชนท้ายเขาอยู่ค่ะ ให้ใครก็ได้เอารถมารับได้มั้ยคะ”
“อ้าว! เหรอลูก แล้วเราเป็นอะไรหรือเปล่า บาดเจ็บมั้ย” ผู้พ่ออออาการห่วงใย
“ไม่เป็นอะไรค่ะคุณพ่อแค่รถเสียหายนิดหน่อยค่ะ คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ”
“ขิมไม่ต้องรีบก็ได้ เพราะเมื่อกี้คุณอลงกรณ์ลูกน้องคุณธรรทรโทรมาบอกพ่อว่ารถเสียอยู่ใกล้ๆ โรงแรมของเราเหมือนกัน กำลังซ่อมอยู่ แล้วเดี๋ยวพ่อจะให้คนไปรับนะลูก”
“อ้าว! เหรอคะ แล้วรถเขาเสียแถวไหนคะ จะได้ไปรับพร้อมกับขิมเลยค่ะ” คนถามมีท่าทีโล่งใจไม่น้อย
“เขาไม่ได้บอกน่ะลูกแต่เขาบอกว่าจะมาเอง”
“ค่ะๆ งั้นแค่นี้นะคะ ถ้าเขาไปก่อนคุณพ่อก็คุยไปเลยนะคะ ความจริงคุณพ่อไม่ต้องให้ขิมเข้าประชุมด้วยก็ได้ คุณพ่อว่ายังไงขิมก็ตามนั้นล่ะค่ะคุณพ่อคะขิมต้องวางสายแล้วนะคะ” เธอรีบตัดบทเพราะมีคนรออยู่
“ขอโทษนะคะ พอดีคุณพ่อโทรมาตามให้เข้าประชุมน่ะค่ะ”
เธออธิบายให้ชายหนุ่มที่เพิ่งได้ฟังบทสนทนาของเธอกับพ่อไป แล้วเขาก็ยิ้มที่มุมปากกับท่าทางที่น่ารักของอีกฝ่าย เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนกับผู้หญิงหลายๆ คนที่เขาพบมาเลย ดูสะสวย สง่าในที ใบหน้ารูปไข่ แต่งหน้ากำลังดีไม่เข้มมาก ผมยาวสลวยถึงแม้ว่าจะรวบเอาไว้ก็ตามที
“ไม่เป็นไรครับ”
“เป็นไงครับคุณ”
เจ้าของเสียงเดินมาจากด้านหน้ารถหลังจากที่เอาแต่คุยโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ เธอปราดสายตามองชายในสูทสีเข้มที่ในมือถือสูทอีกตัวหนึ่งและอีกข้างก็มีมือถืออยู่ ไม่บอกก็คงพอเดาได้ว่าเป็นนักธุรกิจผู้มีฐานะ เพราะรถที่เธอชนนั้นก็ไม่ใช่ราคาที่ถูกๆ เลย
“ไม่เป็นอะไรมากครับคุณธรรทร” เขาตอบแล้วหันไปหาเจ้าเสียงคำถาม และนั่นยิ่งทำให้คนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้วเข้าหากันกับชื่อนั้น
“คุณธรรทร! ใช่ที่มีนัดกับคุณพ่อดิฉันหรือเปล่าคะ คือ..เอ่อ คุณกรรชัยน่ะค่ะ” เธอรีบชิงถามก่อนที่ชายในชุดสูทจะทันได้ถามอะไรต่อ
“ครับๆ นี่แล่ะครับคุณธรรทรเจ้านายผมไงครับ คุณ! เอ่อ...” เขาเองก็ชิงตอบชายอีกคนเช่นกัน
“ดิฉันเทียมหทัยค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณธรรทร และคุณเอ่อ...” เธอยิ้มด้วยความยินดียิ่ง
“ผมอลงกรณ์ครับ เป็นผู้ช่วยคุณธรรทรครับ” เขาน้ำเสียงต่ำกว่าปกติ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเทียมหทัย ผมธรรทรครับ”
ชายในชุดสูทตอบในที่สุด และก็ปรายตาไปมองกับชายอีกคนที่เขารู้จักมาตลอดชีวิต และก็เพิ่งรู้จักชื่อใหม่ของเขาวันนี้นี่เองว่าชื่อองลงกรณ์ มันชื่อคล้ายๆ กับชื่อของเขาเลย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพราะคิดว่าเจ้านายคงจะมีเหตุผลที่ทำแบบนี้ นี่เธอก็คงจะเข้าใจว่าเขาคงจะเป็นคนขับรถของเจ้านายนี่เอง
“คุณขิมคะๆ มีเรื่องด่วนค่ะ พอดีลูกค้าไม่พอใจบริการของเราค่ะ กำลังต้องการต่อว่ากับผู้บริหาร รออยู่ที่ห้องรับแขกค่ะ”
กานดาเลขาฯ วิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา ทันทีที่เธอและธรรทร กับอลงกรณ์กำมะลอเดินเข้ามาในออฟฟิศเพื่อที่จะรีบไปประชุมกับกรรชัยซึ่งรอในห้องประชุมแล้ว
“แล้วคุณชาญชัยไปไหนคะคุณกานดา”
เธอถามหาผู้ช่วย เพราะปกติเรื่องแบบนี้จะไม่ค่อยถึงเธอเท่าไหร่ เพราะชาญชัยสามารถแก้ไขปัญหาได้หมด
“คุณชาญชัยไปประชุมที่ภูเก็ตค่ะ” กานดายิ้มจางๆ ให้
“เอ่อ! จริงสิขิมลืมไป”
“คุณธรรทรคะงั้นดิฉันต้องขอตัวนะคะ เดี๋ยวจะให้คุณกานดาพาไปที่ห้องประชุมเลยค่ะ คุณพ่อรออยู่ แล้วถ้าเสร็จธุระแล้วดิฉันจะตามเข้าไปค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ” เธอกล่าวพร้อมท่าทางสุภาพ
“ไม่เป็นไรครับ เชิญตามสบาย” อลงกรณ์ในคราบของธรรทรกล่าว
“คุณกานดาคะพาคุณธรรทรและคุณอลงกรณ์ไปหาท่านประทานที่ห้องประชุมเลยค่ะ เดี๋ยวทางนี้ขิมจัดการเอง”
เธอบอกเลขาฯ แล้วก็เดินผละไปยังห้องรับแขก เล่นเอาอลงกรณ์กำมะลอรู้สึกประทับใจพฤติกรรมของเธอในที ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อายุไม่เท่าไหร่คนนี้จะแข็งแกร่งพร้อมรับทุกสถานะการณ์ณ์ได้ขนาดนี้