เสียงดนตรีไทยบรรเลงในยามเช้าอย่างน่าฟัง ไม้ขิมคู่ใจปลายไม้อ่อนไหวที่ถ่วงด้วยตะกั่วกรอตีตวัดสะบัดบนขิมคางหมูเจ็ดหย่องอย่างไพเราะจนคุณย่าพุ่มอดชื่นชมไม่ได้ นารีเด็กสาวที่ชื่นชอบในดนตรีไทย เครื่องสายที่เธอถนัดทำให้เธอได้รับคัดเลือกเป็นตัวแทนไปเผยแพร่ดนตรีไทยให้ชาวต่างชาติได้ดูได้ฟัง ทุกคนต่างชื่นชมในความสามารถของเธอทั้งนั้น จนครูผู้ฝึกสอนเป็นปลื้มยิ้มจนแก้มปริ
“ไพเราะมากเลยลูกหนูนารีย่าชอบ” คุณย่าพุ่มค่อยๆเดินมาลูบผมนิ่มอย่างเอ็นดู นารียกมือไหว้ขอบคุณพร้อมส่งยิ้มหวานๆ ไปให้คุณย่าด้วยดวงตาที่กลมโตสุขใส
“หนูนารีเคยมีแฟนไหมลูก” คำถามของคุณย่าพุ่มทำเอาเด็กสาววัย 19 ปี ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทันทีด้วยความเขินขาย แต่เธอก็เอ่ยปากตอบไปตามตรง เธอนะไม่เคยมีแฟนถึงจะมีคนมาจีบก็ตาม นารีไม่คิดจะรักจะชอบใครอยู่แล้วเพราะในใจดวงน้อยมีใครบางคนที่ชื่อพยัคฆ์อยู่เต็มอก เธอรักนวลสงวนตัวไม่ให้ชายใดมาแตะต้องเธอได้ เธอตั้งใจจะเก็บความสาวไว้ให้เค้าเชยชมแต่เพียงผู้เดียว
แต่เธอก็เกือบเสียความบริสุทธิ์ไปเมื่อหลายปีก่อน นารีเกือบโดนวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงกลัดมันที่ชอบทำตัวเป็นอันธพาลคิดจะข่มขืนเธอ แต่ก็โชคดีที่มีพลเมืองดีมาช่วยไว้ทันไม่งั้นสิ่งที่เธอหวงแหนคงแปดเปื้อนไปแล้ว ฝันร้ายในวันนั้นส่งผลทำให้นารีกลายเป็นโรคซึมเศร้าอย่างน่าสงสาร แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความดี ที่มีคุณหญิงรัศมีคอยพานารีไปรักษาตัวกับหมอเฉพาะทางจนหายดี
“นารีไม่เคยมีแฟนค่ะคุณย่าพุ่ม” ปากบางเล็กก้มหน้าตอบอย่างเขินอาย แก้มอิ่มทั้งสองข้างสุกแดงจนลามไปถึงคอขาวๆ
“ไม่มีแล้วทำไมก้มหน้าก้มตาตอบย่าต้องเขินขนาดนั้นละลูก” คุณย่าพุ่มที่นั่งบนเก้าโยกเอ่ยถามเด็กสาวตรงหน้าอย่างยิ้มขำ ท่าทางไร้เดียงที่ออกมาจากใจไม่ได้ปั้นแต่อย่างใดทำให้เธอดูน่ารักในสายตาผู้ใหญ่
“สงสัยหลานปู่คงมีเจ้าของหัวใจแล้วกระมัง แก้มถึงแดงเหมือนลูกเชอรี่สะขนาดนั้น”
“มะ…ไม่มีจริงๆ นะคะคุณปู่” นารีรีบตอบอย่างละล่ำละลักโบกไม้โบกมือไปมาเพื่อปฏิเสธอย่างเลิ่กลั่ก ใจดวงน้อยแทบหยุดเต้นเมื่อคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน เอ่ยปากแกล้งอย่างถูกจุดในใจจนทำให้เธอเผยอาการออกมาทางหน้าตาไปสะหมด
“มาหาย่าสิลูก” นารีคลานเข่าเข้าไปหาคุณอย่าพุ่มเมื่อท่านเอ่ยปากเรียก สายตาคุณย่าพุ่มที่มองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความเมตตาที่เธอสัมผัสได้
“นารีรักปู่กับย่าไหมลูก รักตารุจรักแม่รัศมีรึเปล่า”
“รักค่ะนารีรักคุณปู่คุณย่ารักคุณท่านทั้งสอง ถ้าไม่มีคุณคุณทั้งหลายคอยช่วยเหลือเมตตานารี ป่านนี้นารีก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน คงไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ คงไม่ได้เข้ามาหาลัยดีๆแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ นารีไม่ลืมพระคุณเลยนะคะ” น้ำตาที่เอ่อซึมในยามที่พูดทำให้คุณย่าพุ่มสงสารยิ่งนัก เด็กสาวที่น่าตาสะสวยเพียบพร้อมงดงามทั้งกิริยาวาจา ทำไมถึงได้บุญน้อยอาภัพไม่มีความครอบครัวที่สมบูรณ์เหมือนคนอื่นเค้า คุณย่าพุ่มได้แต่ขบคิดภายในใจยากที่จะเอ่ยให้ใครได้ฟัง
“แต่งงานกับตาพยัคฆ์นะลูก ถ้าหนูนารีอยากตอบแทนบุญคุณทุกคนในครั้งนี้” นารีที่นั่งพับเพียบอยู่ด้านล่างถึงกับตาโตอ้าปากค้างใจสั่นไปหมด มือทั้งสองที่ประสานบีบกระชับจนเหงื่อซึมชื้นเปียกอุ้งมือนุ่มเต็มไปหมด
“ตะ…แต่…” ประโยคที่อึกอักมันยากที่จะเอื้อนเอ่ยกลับถูกแทรกขึ้นด้วยเสียงโทนนุ่มที่อยู่ด้านหลังของนารี
“ไม่มีแต่คะลูกหนูนารี สิ่งที่หนูได้ยินจากปากคุณย่าพุ่มถูกต้องที่สุดแล้วค่ะ” คุณหญิงรัศมีที่เดินมาจากตัวเรือนใหญ่พร้อมนมวาสและสาวใช้ ถือถาดขนมหวานกับแจกันดอกมะลิหอมๆ เพื่อนำมาให้คุณปู่คุณย่าที่ศาลาริมน้ำ คุณหญิงรัศมีจึงเอ่ยแทรกเพื่อไม่ให้เด็กสาวได้ปฏิเสธในเหตุการณ์ครั้งนี้
“แต่พี่พยัคฆ์ไม่ได้รักนารีแถมยังรู้สึกรังเกียจนารีด้วยซ้ำนะคะ”
“แต่หนูนารีของย่าพุ่มรักพี่พยัคฆ์ใช่ไหมคะ”
“มะ…ใช่นะคะคุณย่า นารีไม่กล้าถึงขนาดใช้หัวใจไปรักคนสูงส่งได้หรอกค่ะ” ดวงตากลมโตฉายแววความเศร้าใบหน้าสวยก็หม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด เธอนะรู้ตัวดีว่ามาจากไหน ควรเจียมตัวเตรียมใจไม่ให้เผลอไผลเผลอใจไปมากกว่านี้เธอรู้ตัวดี
“เรื่องของหัวใจเรื่องของความรู้สึกมันห้ามกันไม่ได้หรอกนะลูกไม่งั้นมันจะมี คำว่ารัก คำว่าอกหัก คำว่าคลั่งรักไว้ทำไมจริงไหมคะ” คุณหญิงรัศมีเอ่ยอธิบายให้นารีได้ฟัง