Chapter 6

1132 คำ
ส่วนโซรีน... ถึงแม้ว่าผมจะชอบเธอมาก แต่ ณ เวลานี้ ครอบครัวของผมสำคัญที่สุด อีกอย่างเธอคงคิดว่าผมเป็นไอ้โรคจิตไปแล้ว “ผมจะพาพ่อไปผ่าตัดที่อเมริกาเองครับแม่ แม่ไม่ต้องห่วงนะ”ผมพยายามพูดปลอบให้แม่สบายใจ ซึ่งจริงๆ แล้วผมไม่มีความมั่นใจเลยว่าพ่อจะหาย พวกเรายื้อพ่อมานานเกือบปีแล้ว ซึ่งอาการพ่อก็ทรงตัวแต่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจตลอด บอกตามตรงถ้าบ้านไม่มีฐานะผมคิดว่าพ่ออาจจะเสียไปนานแล้ว “ลูกแน่ใจเหรอว่าจะไปอเมริกา แล้วเรื่องเรียนของลูกที่เมืองไทยล่ะ” “ไม่เป็นไรครับแม่ ผมจะย้ายไปเรียนต่อที่นั้นเลย ที่เมืองไทยผมเองไม่มีอะไรคาใจแล้ว”ใช่เหมือนมันไม่มีอะไรคาใจ ในเมื่อโซรีนพูดกับผมแบบนั้น ผมคิดว่าตัวเองคงไม่มีหน้าพอไปโรงเรียนได้หรอก นักเรียนคนอื่นคงโจษจันถึงความทุเรศของผม ทั้งที่ไม่ได้ทำแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าผมเป็นโจษของสังคมในโรงเรียนซะอย่างนั้น แม่จับไหล่ผมทั้งน้ำตา เหมือนท่านยินดีที่ผมยอมเสียสละในครั้งนี้ แต่ผมคิดว่าชีวิตพ่อสำคัญกว่ามาก ผมไม่อยากเห็นใครในครอบครัวต้องจากไปหรอก “ขอบใจลูกมากนะเคเซย์” “แม่เลิกพูดแบบนี้เถอะครับ ทำอย่างกับว่าพ่อไม่ใช่พ่อผมอย่างนั้นแหละ”ผมย้อนแม่ทันที ดูแม่ทำหน้าราวกับผมเป็นคนอื่นทั้งที่ผมจะพาพ่อตัวเองเข้ารับการรักษาแท้ๆ แม่ไม่ได้พูดอะไรอีก แค่กอดผมไว้แบบนั้นเข้าใจความรู้สึกแม่ เพราะผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ไม่มีใครอยากสูญเสียคนที่ตัวเองรักหรอก ผมก็เหมือนกันแต่ว่าโชคชะตาเราไม่สามารถกำหนดได้ ผมถึงได้สูญเสียเธอยังไงล่ะ สนามบิน... ผมถอนหายใจออกมาหลายครั้ง เห็นหมอและพยาบาลกำลังเข็นรถผู้ป่วยพ่อเข้าไปด้านใน เราใช้เงินจำนวนมากในการพาพ่อไปรักษาตัวแต่มันไม่ได้ทำให้ขนหน้าแข้งของแม่ร่วงลงมาหรอก ไม่นานนักสายการบินประกาศถึงเที่ยวบินเยือนอเมริกา ใจผมรู้สึกประหลาดเหมือนว่าตัวเองต้องจากบ้านเกิด ลาก่อน... ประเทศไทย และผู้หญิงที่ผมหลงรัก โซรีน โซรีน... โต๊ะนั่งด้านหลังห้องเรียนเป็นที่ประจำ ฉันมักมาอ่านหนังสือและทำการบ้านกับเพื่อนในกลุ่มตรงนี้เสมอ ฉันถอนใจออกมาหลายครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับเคเซย์ เวลาผ่านไปเกือบอาทิตย์เขาไม่มาโรงเรียนอีกเลย ได้ข่าวแว่วมาว่าเขาลาออกไปแล้ว และไม่รู้ว่าไปเรียนต่อที่ไหนด้วยซ้ำ ทำเกินไปหรือเปล่า... ฉันเฝ้าถามตัวเอง ถึงขนาดที่เขาจะต้องลาออกเลยหรือ วันนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจจะตบเขา ไม่ได้ตั้งใจประจานให้คนอื่นรู้ น่าจะถามเพื่อให้ได้คำตอบว่าทำจริงหรือเปล่า แต่ว่า... เพราะอารมณ์ทำให้ฉันทำเรื่องแบบนั้นลงไป เสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านหลัง ฉันหันไปมองเห็นเพื่อนในกลุ่มชื่อเพลินพิมกำลังเดินมาหา แววตาไหวระริกเหมือนคนกำลังรู้สึกผิด “โซรีน”เพลินพิมเรียกฉันเสียงแผ่วเบา นั่งลงใกล้กัน “พิมมีอะไรเหรอ?”หันไปถามเพื่อน เห็นสีหน้าเศร้าเลยไม่เข้าใจ แววตาของเพื่อนทำเอาฉันนึกกลัว เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น “คือว่า... กล่องของขวัญที่มีถุงยางวันนั้นไม่ใช่ฝีมือเคเซย์หรอกนะ เราเห็นทุกอย่างแต่ไม่กล้าพูด”เพลินพิมเอาแต่ก้มหน้า “หมายความว่าไงเหรอพิม เราไม่เข้าใจเลย”ย้อนถามไปด้วยความสงสัย เริ่มสับสนแล้วกับท่าทางเพื่อน มือของเพลินพิมจับกันไปมา น้ำตาเริ่มคลอ ทำไม... ถึงได้ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ รู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล “โซรีนเราเห็น... ปีแอร์เป็นคนเปลี่ยนของขวัญในกล่องนั้น แต่ไม่กล้าบอกเพราะเราชอบปีแอร์มาก เขาขอร้องให้อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร แต่ว่า... เคเซย์ลาออกไปแล้วมันทำให้เรารู้สึกผิด โซรีน... อย่าเข้าใจเคเซย์ผิดอีกเลยนะ เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” “จะ...จริงเหรอ”น้ำเสียงฉันเบาบางราวกับละเมอ ถามออกไปไม่ได้ต้องการคำตอบแต่เหมือนโลกทั้งใบมันกำลังพังทลายลงมา เพลินพิมพยักหน้าช้าๆ ให้ เมื่อได้รับรู้ความจริงในสมองมันสับสนไปหมด มือข้างหนึ่งยกขึ้นปิดปากไว้เพื่อเก็บกลั้นบางอย่างน้ำตามันไหลออกมา นึกโทษตัวเองทำไม... ฉันไม่ถามเขาก่อนที่จะต่อว่าไปแบบนั้น ตอนนี้อยากขอโทษเขาเหลือเกิน แต่รู้ดีว่ามันสายเกินแก้... เคเซย์นายอยู่ที่ไหนกัน ถ้าหากได้พบเจอกันอีกครั้งฉันอยากจะขอแก้ตัวในสิ่งที่ทำผิดพลาดลงไปจริงๆ เพลินพิมโอบกอดฉันไว้แน่น สะอื้นออกมาพร้อมกัน เพื่อนฉันก็คงรู้สึกผิดที่ปิกปากเงียบจนทำให้เคเซย์ต้องออกจากโรงเรียน พวกเราผิดกันหมดที่โทษเขาส่วนตัวต้นเหตุยังเดินลอยชายตีสีหน้ามีความสุขอยู่จนถึงทุกวันนี้ ท่าทางฉันเหมือนคนซังกะตาย หัวสมองมันเบลอวันๆ เอาแต่คิดเรื่องเคเซย์วนเวียนอยู่อย่างนั้น ฉันเรียนแทบไม่รู้เรื่องเลย จบคาบเรียนสุดท้ายนักเรียนเริ่มแยกย้ายกันกลับบ้าน วันนี้ฉันมีเวรตอนเย็นเลยต้องกลับไปที่ห้องเรียน ระหว่างทางฉันสวนกลับปีแอร์เข้าพอดี หมอนั่นหันมาหา “โซรีน!”ปีแอร์เรียกฉันไว้ เสียงเรียกของปีแอร์ผ่านหู แต่ว่าฉันไม่ได้ใส่ใจมันเลย บอกตามตรงว่าตอนนี้กำลังโกรธเขามากไม่อยากคุย หรือสุงสิงด้วย  “นี่โซรีน กล้าดียังไงเมินฉัน!”เขากระชากท่อนแขนฉันไว้ลากเข้าห้องเรียน “ปล่อยฉันนะปีแอร์!”ตวาดออกไปด้วยความโมโห “เรียกไม่ได้ยินหรือไง!” คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก มือยกดันเขาออกห่างแต่ร่างกายกลับถูกดันติดกำแพง ท่อนแขนสองข้างถูกกางกั้นเพื่อกักให้ฉันอยู่ภายใต้วงแขน ใบหน้าเรียวสวยเมินหนีหัวใจมันเจ็บช้ำพอแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่าวันเวลาที่ผ่านมาภาพที่เคเซย์เป็นคนมอบของขวัญให้ฉัน หรือแม้แต่กระดาษโน้ตข้อความฉันเก็บมันเอาไว้อย่างดี ลืมไม่ได้เลยจริงๆ มันทำใจได้ยากมากเหลือเกิน เพราะตัวฉันเป็นคนผลักไสเขาออกไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม