ตอนที่ 4 ถ้ำมอง
”ไอ้นายเอ๊ยถ้าไม่รู้เรื่องไก่ก็ไม่ต้องไปจ่น[1]เขาดอกเด้อ” มฤคินทร์หัวเราะแห้ง ๆ พลางหันหน้าไปมองตาของตนเอง
“ครับ” ตาบุญเลิศส่ายหน้าไปมา ใจอยากยกฟาร์มไก่ให้กับหลานชาย แต่ดูหน่วยก้านแล้ว จากไก่ชนคงกลายเป็นกากไก่ชนมากกว่า
แต่กระนั้นคนแก่ก็รู้ดีว่าหลานต้องการช่วย ก็เพราะชอบในการชนไก่ ชอบก็ส่วนชอบ แต่ถึงจะชอบแต่เลี้ยงไม่เป็นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร อีกอย่างอุไรมันก็ไม่ชอบให้ลูกชายมันเล่นไก่
“ถ้าอยากรู้อะไรก็ไปถามอีหนูปรีมัน รายนั้นมันเก่ง” ชายหนุ่มหันไปมองเด็กสาวที่กำลังค่อย ๆ ยกสุ่มไก่ต้อนเข้ากรงช้า ๆ
ครั้นเอาเข้าไปในกรงเสร็จ เธอก็เอาผ้าคลุมที่ตัดทรงให้พอดีกับกรงมาคลุมเอาไว้ จากนั้นก็เดินไปยกสุ่มอื่นไปเรื่อย ๆ แต่จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ เขายังไม่เห็นหญิงสาวจะกลับบ้านตนเองบ้างเลย หรือว่าเธอไม่มีบ้าน
“จริงสิแล้วทำไมเด็กนั่นไม่กลับบ้านกลับช่องล่ะพ่อใหญ่ เธอกินอยู่ที่นี่เลยเหรอ”
“อืม...มันทำงานที่นี่แหละอยู่นี่นอนนี่เลย แต่ไอ้หมีน่ะมันกลับบ้าน แม่มันป่วยเดินไม่ได้ มันมาทำเช้าเย็นกลับ ตอนกลับก็เอากับข้าวไปเผื่อแม่มันด้วย ตอนโรงเรียนยังไม่ปิด มันก็จะแวะมาตอนเย็น ไอ้หมีมันเป็นเด็กเก่งซื่อสัตย์ ถ้าหลานมีอะไรจะใช้ก็ใช้มันเลย ให้เงินมันสิบ ยี่สิบมันก็ดีใจแล้ว”ตอนแรกเขาก็คิดว่าไอ้หมีกับยัยเด็กปรีนั่นเป็นพี่น้องกัน แต่หากตาพูดแบบนี้ก็คงไม่ใช่
“เอ้าอีหนูเอ๊ยเก็บเสร็จแล้วก็มากิ๋นเข่า[2]กันมา ทวดนางทำกับเข่าเสร็จแล้ว”
“จ้าทวดเลิศหนูดูกรงไก่อีกจัก[3]รอบก่อน” ปรียาดาตะโกนตอบออกไป หญิงสาวรีบวิ่งไปดูกรงไก่ปิดล็อกให้เรียบร้อย จากนั้นก็วิ่งไปดูแม่กุญแจจากประตูหลัง เห็นว่าตรวจสอบดูดีแล้ว ก็รีบวิ่งไปล้างมือ และเข้าไปช่วยสไบนางยกกับข้าวมาจากห้องครัว
ทั้งสี่คนนั่งล้อมวงกินข้าวกันที่ใต้ต้นมะขามใหญ่ อาหารบ้าน ๆ กับข้าวบ้าน ๆ แต่รสชาติกลับอร่อยยิ่งกว่าตอนที่เขาอยู่กรุงเทพฯ หลังจากที่กินเสร็จตาบุญเลิศก็เดินไปนั่งสูบยาเส้นที่แคร่ไม้ไผ่ มฤคินทร์ไม่มีอะไรทำจึงเดินตาม ไปพันยาเส้นตาสูบบ้าง
“สูบไม่เป็นก็อย่าหัด” เสียงเข้มบ่นออกมาหลังจากที่เห็นว่าหลานชายไอจนหน้าแดง
“ไม่ใช่สูบไม่เป็น แต่ยาเส้นตาแรงจนแสบคอ” เขาพ่นควันขาว ๆออกจากปาก จากนั้นก็นั่งลงข้าง ๆ ตาตนเอง
ใช่ว่าชายหนุ่มจะเป็นคนรักสุขภาพอะไร ก็ตามธรรมดาของวัยรุ่น เขาเพิ่ง 27 เองนะ ยังมีเรื่องกินเที่ยวตามปกติทั่ว ๆ ไป
แต่สิ่งที่ทำให้ครอบครัวไม่ด่าเขามาก ก็เพราะตอนนี้เขาสามารถหาเงินเลี้ยงดูตนเองได้แล้ว ก็บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่เปิดรวมกันกับไอ้บีม ไอ้ขุนนั่นไง ออฟฟิศใหญ่อยู่ที่กรุงเทพ แต่หากมีคนจ้างไปต่างจังหวัด หากมันคุ้มก็ไปเหมือนกัน
“ยาเส้นตาปลูกเองมันก็แรงอย่างนี้แหละ ไม่ผสมสารเคมี แต่มีมะเร็งเหมือนกัน”บุญเลิศหัวเราะร่วนคนตัวโตกลอกตาขึ้นยื่นมือไปหยิบถุงยาเส้น ซึ่งก็คือถุงแกงธรรมดาแต่เต็มไปด้วยยาเส้นที่ตาบอกว่าปลูกเอง มิน่าล่ะถึงได้ฉุนขนาดนี้
“ที่นี่ไม่มียุงเนอะพ่อใหญ่” ตาบุญเลิศยกคิ้วพลางหันมามองหน้าหล่อ ๆ ของหลานชาย จะว่าไปไอ้สิงห์มันก็หล่อเหมือนกับเขาตอนหนุ่ม ๆ เลยทีเดียว คนแก่ยกมือขึ้นลูบคางตนเองด้วยความภาคภูมิใจ
“มันจะไปมียังไงก็ไอ้นายเล่นพ่นควันยาเส้น
พุ้ย ๆ อยู่นั่น” มฤคินทร์ได้ยินคำตอบของตา ก็ไอจนหน้าเขียว ตาบุญเลิศรีบยกมือไปตบที่แผ่นหลังของหลานชาย ก็บอกแล้วว่าสูบไม่เป็นก็อย่าหัด
“ไปหยุดไอแล้วก็ไปนอนซะไป พรุ่งนี้พ่อใหญ่ไม่อยู่บ้านเด้อไอ้นายดูฟาร์มให้ด้วย”
“พ่อใหญ่จะไปไหนครับ”
“ไปดูโครงการเลี้ยงไก่ชน ของอำเภอด่านขุนทดโคราชนั่นเด่[4]ไอ้นายอยู่ดูแม่ใหญ่นางตะนี่[5]แหละ”ครั้นเห็นว่ามฤคินทร์พยักหน้าแล้ว ตาบุญเลิศก็ดับยาเส้น และเดินหาวเข้าไปนอนในห้องกับยายนาง
มฤคินทร์เอนตัวลงนอนเล่นที่แคร่ หูได้ยินเสียงน้ำจึงได้หันไปมองข้าง ๆ โอ่งน้ำใบใหญ่มีร่างอรชรที่สวมผ้าถุงกำลังตักน้ำจากขันสาดตัว
ภายใต้แสงจันทร์ที่สลัว ๆ เขาเห็นเพียงแค่รูปร่างอ้อนแอ้นเพียงเท่านั้น ชายหนุ่มพลิกตัวคว่ำหน้า มองคนตัวเล็กที่สาดน้ำขันแล้วขันเล่า จากนั้นก็หยิบสบู่ขึ้นมาถูตัว เขามองดูเธอเปิดผ้าถุงจากทางหน้าอก ล้วงมือเข้าไปข้างใน ถูวนไปสักพักก็ตักน้ำราดไปอีก ลูกกระเดือกแหลมขยับขึ้นลงตามแรงกลืนของน้ำลาย ไม่คิดว่ายัยเด็กแก่นนี่จะซ่อนรูปได้ขนาดนี้
ในขณะที่ถ้ำมองกำลังเพลิดเพลินกับวิวสวย ๆ ตรงหน้า ก็เหมือนหญิงสาวจะเห็นแสงไฟวูบเล็ก ๆ ตรงแคร่ไม้ไผ่เช่นกัน เธอเพ่งมองออกไป จึงเห็นว่ามีหนุ่มเมืองกรุงกำลังนอนคว่ำหน้ามองเธออยู่ หญิงสาวขมวดคิ้วขึ้น รีบตักน้ำราดตัวเร็ว ๆ ให้รีบเสร็จ เธอดึงผ้าถุงผืนใหม่ขึ้นมาสวมทับ ปลดผ้าเปียกลงขยี้ด้วยน้ำเปล่า แล้วจึงเอาไปตาก
“อาสิงห์ไม่รีบเข้านอนระวังผีชมก[6]เด้อ”เขายันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ยกมือขึ้นเกาหัว จะมาชวนกินอะไรตอนนี้
“ฉันไม่กินข้าวหมก เธอกินเถอะเพิ่งกินข้าวอิ่มอยู่เลย” ปรียาดาอยากจะหัวเราะออกมา เธอบอกว่าผีชมก แต่เขาได้ยินว่าข้าวหมกไก่ จะบ้าตายรายวัน คุยกับคนกรุงเทพเจ็บกกลิ้นหมดแล้ว มันมีที่ไหนผีข้าวหมก
เช้าวันต่อมาตาบุญเลิศก็ออกไปด่านขุนทดแต่เช้าตรู่ ครั้นมฤคินทร์ตื่นมาก็เห็นว่าปรียาดากำลังต้อนไก่ออกจากเล้า เขาเดินไปล้างหน้าแปรงฟัน เสร็จแล้วก็มานั่งกินข้าวที่ยายเขาเตรียมไว้ให้
ที่ชัยภูมิบ้านยายไม่ได้กินข้าวเหนียวเหมือนภาคอีสานอื่น ๆ ทุกบ้านก็กินข้าวสวยเหมือนกับบ้านเขาที่กรุงเทพ เขาจึงกินได้ไม่ได้ติดขัดอะไร
“จะกินอะไรไหมไอ้นายอีหนูปรีมันตื่นมาทำตั้งแต่เช้า อยากกินอะไรก็บอกหลานมันเอาเด้อ” เขาหันไปมองคนตัวเล็ก ที่เหมือนจะไม่ได้หยุดพักเลยสักวัน วิ่งทำโน่นทำนี่ตลอด นี่ก็เข้าครัวทำอาหารด้วย ตัวแค่นี้เก่งจริง ๆ
“แม่ใหญ่แล้วบ้านยัยปรีนั่นอยู่ที่ไหนเหรอครับ ดูยังเด็กอยู่เลยทำไมพ่อแม่เขาไม่หวงบ้าง”
“เฮ้อ...จะไปหวงอะไร พ่อมันน่ะติดการพนัน ตีไก่ ไฮโล ขอให้บอกมันเอาหมด ขี้เหล้าขี้ยาก็ที่หนึ่ง ก่อนที่พ่อใหญ่จะให้อีหนูปรีมันมาทำงานที่นี่ ก็เพราะว่าพ่อมันเอามันไปขายให้บ่อนไก่ แล้วไก่มันก็มาขโมยของพ่อใหญ่เอ็งนี่แหละ โชคดีของอีหนูมันพ่อใหญ่เลิศไปเจอ เลยจ่ายหนี้ให้ แล้วก็พามาทำงานที่ฟาร์ม” สไบนางถอนหายใจออกมา พ่นน้ำหมากสีแดงลงบนพื้น และเล่าต่อว่า
“แต่พ่อใหญ่แกก็ไม่โง่ดอก แกบอกว่าเงินค่าจ้างไม่ให้เด้อ หักกับค่าไก่ชนที่ไอ้เชนมันขโมยไป แล้วถ้ามันยังมาวุ่นวายกับลูกสาวมัน พ่อใหญ่จะแจ้งความ นั่นเด่มันเลยไม่กล้าอีกน่ะ”
“อ๋อ...น่าสงสารจังเลยนะครับ แต่ทำงานไม่ได้เงินเลย มันท้ออยู่นะ”
“อืมมันน่าสงสาร อีกอย่างเลี้ยงมันไว้แม่ใหญ่ก็ไม่เหงา ไอ้นายไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นดอก เงินค่าจ้างแต่ละเดือนพ่อใหญ่ก็ให้มันไปแหละ ไม่ได้หักเหมือนที่บอกดอก ไอ้หมีนั่นก็ได้เงินเดือนเหมือนกัน มันอยู่ป.5 ป.6 เองมั้ง ไปทำงานที่ไหนเขาก็ไม่รับ นี่ก็ให้มันมาช่วยเฉย ๆ ดอก”
บางทีที่ยายกับตาเขาเลี้ยงเด็กทั้งสองเอาไว้ อาจจะไม่ใช่เพราะต้องการแรงงานอย่างเดียว หากต้องการแรงงานไปจ้างชายหนุ่มในหมู่บ้านมาก็ได้
แต่ที่ตากับยายทำแบบนี้ เขาคิดว่าเพราะทั้งสองเหงาที่ลูกหลานไม่อยู่ด้วย และที่สำคัญคงตั้งใจช่วยเหลือเด็กทั้งสองด้วย
“พี่ปรี!!!...หนู[7]ช่วยงานในฟาร์มเสร็จแล้ว หนูไปบ่อนตามีเด้อ วันนี้บ่อนเปิด” ไอ้หมีไม่ได้คิดจะไปตีไก่อะไร เด็กมันก็แค่ต้องการจะไปหาเงิน โดยการวิ่งซื้อของให้พวกนักเลงไก่ คนพวกนี้เวลาเมาหน้าใหญ่นักละ แต่ละครั้งไอ้หมีได้มาหลายร้อยเลยทีเดียว
ทว่ามฤคินทร์ที่ได้ยินคำว่าบ่อนไก่ หูทั้งสองข้างก็ผึ่งขึ้น เขารีบยกขาลงจากแคร่ สวมรองเท้าแตะและเดินไปหาไอ้หมี ที่กำลังจะวิ่งออกไป
“เดี๋ยว!!!...ไอ้หมีอาไปด้วย”
************************
[1]จ่น แปลว่า ยุ่ง
[2]กิ๋นเข่า ภาษาโคราช แปลว่า กินข้าว
[3]อีกจักรอบ แปลว่า อีกสักรอบ
[4]นั่นเด่ แปลว่า นะ แหละ นั่นแหละ นั่นเอง ความหมายดิ้นได้แล้วแต่ประโยคที่พูด
[5]ตะนี่ แปลว่า ที่นี่
[6]เป็นผีท้องถินของชัยภูมิ คือ ผีของผู้หญิงที่ตายในป่า อ่านว่า (ฉะ-มบ) ในบางพื้นที่เรียกว่า ผีชมบ หรือ ผีทมบ ยกตัวอย่างเช่น ที่โคราชเรียกว่าผีชมก (ชะ-มก)
[7]เด็กบ้าน ๆ ส่วนมากไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายส่วนมากจะเรียกแทนตัวว่าหนู แต่ก็ไม่ทุกบ้านแล้วแต่ถนัด