"นาเบล!!!" เสียงผู้เป็นแม่ตะโกนเรียกดัง ลูกสุดหัวดื้อคนนี้มักไม่ยอมฟังเหตุผล จู่ๆลุกหนีตอนพูดคุย จนต้องเดินตามมาอธิบายจากในบ้านถึงสวนด้านนอก ฉุดดึงแขนลูกสาวให้นั่งลงบนชิงช้าเพื่อหวังหยุดการกระทำ เธอเองจึงหันไปส่งสายตาต่อสามีขอความช่วยเหลือ
"แม่วาเลิกบังคับเบลเถอะนะคะ" เด็กสาวเองก็เหนื่อยใจเหมือนพยามหาเหตุผลมาโต้แย้ง แต่โนวาไม่ยอมฟังอยู่ดี ใบหน้าอิ่มเอมราวตุ๊กตาเอียงมองไม้ดอกนาๆกำลังผลิบาน จนสกายผู้เป็นพ่อเดินตรงมาลูบศรีษะปลอบประโลมให้ใจเย็นลง แล้วเริ่มไกวชิงช้าเกลี้ยกล่อมเบาๆ
"พ่อก็อยากให้เบลเข้าใจพ่อกับแม่เหมือนกัน การที่รั้นเรียนต่อที่นี่มันอันตรายมากนะ หากไม่มีคนคอยอยู่ดูแลหนู" สกายและโนวาต่างต้องเดินทางไปดูธุระกิจที่ฝรั่งเศสเป็นเวลานาน แทบปักถิ่นฐานอยู่ที่นั้นเสียแล้ว ยิ่งเกิดอาการเป็นห่วงลูกสาว เพราะไม่รู้ว่ามีใครบ้างจ้องคิดมิดีมิร้ายต่อครอบครัว ยิ่งมีผู้ได้ประโยชน์ย่อมมีผู้เสียประโยชน์ตาม เส้นทางแก่งแย่งอำนาจใช่ว่าศัตรูจะเปิดเผยตัวเสมอไป
"แล้วไม่คิดถึงความรู้สึกหนูบ้างหรอคะ หากไปหมั้นกับพี่ต้นไม้แล้วเขาจะดีเหมือนพ่อกับแม่ด้วย" ถึงบรรดาพวกเขาและเธอสนิทสนมเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เกิด ใช่ว่าโตมาแล้วจะเข้ากันได้ ตัวนาเบลเองกำลังเข้าเรียนสู่รั้วมหาวิทยาลัย ตั้งใจอยากเรียนกฎหมายที่ประเทศไทยเสียมากกว่าไปๆมาๆกับฝรั่งเศส ถึงยังไงซะเอเดนแฝดชายของเธอปักหลักอาศัยที่นี่อยู่
"ทางนั้นพวกเขารับปากมาเองนะเบล ว่าจะดูแลหนูให้ดีเหมือนพ่อแม่" โนวาช่วยสามีไกวชิงช้าเบาๆ ลูกสาวคนนี้ดูอ่อนต่อโลกและบอบบางจนเธอนึกเป็นกังวลยามอยู่ไกลสายตา หากไม่ใช่ครอบครัวของเพื่อนรักคงไม่มีทางตกลงปลงใจ บังคับลูกหัวดื้อหมั้นหมายแน่นอน
"แล้วเอเดนล่ะคะ"
"จะเอาอะไรกับเจ้าเอเดน วันๆอยู่บ้านเป็นซะที่ไหน"
"หนูไม่มีทางเลือกแล้วสินะ"
"มีจ๊ะลูก...นั่นคือย้ายไปอยู่ฝรั่งเศสเท่านั้น" ผู้เป็นแม่ยื่นคำขาด แม้ดวงตาใจอ่อนไปแล้วเมื่อสีหน้าเด็กสาวเจื่อนลง เอ่อเต็มไปด้วยน้ำตา สกายบีบไหล่ภรรยาเบาๆยอมใจแข็งวันนี้ ดีกว่าเกิดปัญหาตามหลังมา
"เรื่องนี้ต้องรีบทำก่อนมหาลัยลูกเปิดนะ ไม่งั้นพ่อกับแม่ต้องยอมทิ้งงานที่นู้นแล้วล่ะ" สกายพูดเสริม รู้นิสัยนาเบลดีมักเลือกสิ่งสำคัญก่อนเรื่องส่วนตัว
"เป็นไงเป็นกันเพื่อความฝันของหนู"
บ้านปริปัจน์
"แม่คิดว่าเฮียไม้จะยอมหรอ" ภูเขาคือน้องชายคนเล็กของบ้าน มีนิสัยคาสโนว่าและเจ้าเลห์อย่างเปิดเผย อายุยังอยู่ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ทั้งหมดกำลังพูดคุยกันบนโต๊ะอาหารมื้ออาหารค่ำ ซึ่งคนถูกเอ่ยถึงพึ่งลงจากชั้นบนมา
"ไม่รู้แหละแม่เคยบอกไปแล้วไม่มีสิทธิ์ต่อลอง" มินิทสวมบทจริงจัง แม้แต่ปืนที่เป็นสามียังเงียบกริบ ตักอาหารใส่จานภรรยา
"แล้วไม่คิดหรอว่าเธอจะอยู่ได้ไหม" น้ำเสียงปนความเย็นเยือกเหมือนกำลังเอ่ยปากขู่ ต้นไม้ก้าวขาเดินมาหยุดนั่งลงตรงเก้าอี้ตัวประจำ นิสัยคล้ายผู้เป็นพ่อยิ่งนัก จนมินิทถึงกลับถอนหายใจถลึงตาใส่สามี
"อยากได้อะไร" ปืนเอ่ยถามสั้นๆตัดปัญหา
"เพ้นท์เฮ้าส์ของบริษัท" แล้วนี่คือคำตอบของลูกชายคนโต ชายหนุ่มเองเข้าช่วยบริหารสายการบินตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ จนบัดนี้ถือตำแหน่งรองประธานบริษัท เป็นที่น่าเกรงขามต่อพนักงาน ท่าทีสุขุมนิ่งราวกับไร้ความรู้สึกเอียงหน้ามองคนถาม
"ตกลงถือว่าเป็นของหมั้นให้ลูกกับหนูเบลตามนั้น" มินิทตอบตกลงแทนสามี สมัยแรกรักกับปืนเคยอาศัยอยู่ที่นั้น แต่วันเวลาเปลี่ยนสมาชิกครอบครัวนี้ใหญ่ขึ้น จึงเลือกอยู่บ้านมากกว่า แล้วทางนาเบลยังเป็นเด็กวัยรุ่นคงอยากมีความเป็นส่วนตัว เลยถือโอกาสนี้ยกให้ทั้งคู่
"แล้วเริ่มเมื่อไหร่"
"อาทิตย์หน้า"
"อาทิตย์หน้า?" ต้นไม้ทวนถามซ้ำอีกรอบ แค่เด็กคนเดียวทำไมดูวุ่นวายต่อชีวิตมากนัก
...............................................
กดถูกใจกดคอมเม้นท์ให้กันด้วยเด้อค่า สวัสดีทุกท่านกับเรื่องใหม่นี้นะคะ