บทที่1
“อธิฐานสิ่งใดหรือ” หลิวเหว่ยที่กำลังช่วยยกโคมไปลอยที่ลำธารเอ่ยถามหญิงสาวที่เขารัก
“ข้าไม่บอกหรอก ท่านก็ลองเดาดูสิเจ้าคะ”
ชายหนุ่มทำท่าขบคิด “ต้องมีเรื่องที่อยากให้ข้ากลับมาเร็ว ๆ แน่ ๆ”
ลู่จื้อรีบก้มหน้างุด “หลงตัวเองยิ่งนัก” หญิงสาวบ่นออกมาเบา ๆ
แต่ถึงกระนั้นคำของชายหนุ่มก็ถูก นางอธิฐานขอให้ชายหนุ่มได้กลับมาในตำแหน่งที่เจ้าตัวต้องการ ที่บอกเช่นนั้นเพราะไม่ว่าเขาจะเป็นเพียงหัวหน้านายกองเล็กหรือพลทหารสำหรับลู่จื้อนางก็ไม่สนทั้งนั้น ขอเพียงเป็นเขาตำแหน่งใดในกองทัพสำหรับนางนั้นมิสำคัญเลยสักนิด
“ข้าสัญญาว่าจะกลับมาเร็ว ๆ” ดวงตาคมเข้มมองไปยังใบหน้าที่ยังคงไร้เดียงสาแม้เวลาจะผันผ่านไป “จะได้ตำแหน่งที่เหมาะแก่เกียรติของเจ้า และจากนั้นจะขอเจ้ากับท่านราชครูในทันที”
ใบหน้าสวยบูดบึ้งขึ้นมาทันที “ต้องรอนานขนาดนั้น มิมีอะไรแสดงให้ข้าเห็นถึงความจริงใจเลยหรือ แม้จะเชื่อใจท่านแต่หากกลับมาแล้วทำเป็นมิรู้มิเห็น ข้าที่ต้องรอจนอาจจะเกินวัยออกเรือนจะทำเช่นไร”
หลิวเหว่ยยกยิ้มกับคำพูดของนาง “ที่จริงข้าขอเจ้ากับท่านราชครูไปแล้ว แม้จะยังไม่ถือว่ายกให้แต่ก็ให้สัญญาหมั้นหมายเอาไว้ก่อน ยามนี้ชื่อวันเดือนปีเกิดของเจ้าข้าก็เอาติดตัวไปด้วย เจ้าไม่ต้องห่วงนะเสี่ยวจื้อ ข้าจะรักและมั่นคงต่อเจ้าเพียงผู้เดียว”
ใบหน้าสวยแดงระเรื่อเมื่อได้ฟังคำของชายหนุ่ม
“ทางนั้นคนเริ่มจางแล้วเราไปเดินเล่นดีกว่า” ลู่จื้อเอ่ยแก้เก้อไปอย่างนั้น แต่มินึกว่าเมื่อเดินมาถึงตรงที่มีคนตั้งแผงค้าขายจะทำให้นางอายเสียยิ่งกว่าตอนลอยโคมกระดาษ
“ด้ายแดงเชื่อมชะตาไหม ของสำหรับคู่รัก นี่เจ้าทั้งสองด้ายแดงไหม” เสียงของพ่อค้าข้างทางที่เอ่ยเรียกไม่ได้ทำให้หญิงสาวสนใจสักเท่าไร เพราะนาง มั่นใจในชะตาของตนกับหลิวเหว่ยอยู่แล้ว
แต่คนที่กำลังจะต้องเดินทางไกลแล้วมีสิ่งช่วยยึดเหนียวหัวใจในยามที่คิดถึงและโหยหาบ้างก็คงจะดี “เอาให้ข้ากับคู่หมั้นหน่อยสิ”
คำของหลิวเหว่ยไม่ใช่แค่คนขายเท่านั้นที่ได้ยิน บรรดาสาวน้อยใหญ่ที่แอบมาเดินวนไปเวียนมาอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินกันไปไม่น้อย
“ใส่เครื่องรางด้วยไหมขอรับคุณชาย”
หลิวเหว่ยยิ้มมุมปากน้อย ๆ “หากมีอะไรที่บอกว่าเราทั้งสองจะเคียงคู่กันชั่วนิรันดร์ได้ก็ใส่มา”
ใบหน้าของลู่จื้อแดงดั่งผลอิงเถา เมื่อยามนี้คนรอบ ๆ เริ่มพูดกันถึงเรื่องของนางและชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
หลิวเหว่ยก็เหมือนจะรู้ว่าหญิงสาวไม่ชอบคนพลุกพล่านหลังจากได้ด้ายแดงจึงพาลู่จื้อมายืนดูบรรยากาศของงานโคม ลำธารที่เต็มไปด้วยโคมไฟทั้งที่เขียนคำอธิฐานและวาดรูป ไหลตามกระแสน้ำ คนเดินกันกวักไขว้ทั่วทั้งบริเวณ แต่บนสะพานนี้กลับมีเพียงแค่คนทั้งสอง
“ข้าคงคิดถึงบรรยากาศที่นี่มาก ๆ รวมถึงเจ้าด้วย”
ดวงตาคมที่เหม่อมองออกไปด้านหน้าในตอนแรกหันกลับไปมองหญิงสาวที่ยืนอยุ่ข้างกาย
“ข้าจะใช้เวลาให้น้อยที่สุดและจะดูแลตัวเองให้ดีเพื่อเจ้านะ”
ลู่จื้อยิ้ม นางรู้ว่าอีกฝ่ายทำตามที่พูดได้แน่นอน “ต้องไม่มองผู้ใดด้วย”
คำของคนรักทำให้หลิวเหว่ยหัวเราะ
“รักเจ้าขนาดนี้แล้วจะมองใครได้อีก หรือที่ข้าทำยังไม่เพียงพอ เช่นนั้นข้าให้คำมั่นกับเจ้า ไม่ว่าจะมีหญิงสาวเสนอตัวหรือปีนขึ้นเตียงข้า ข้าก็จะสังหารนางเสียดีหรือไม่”
มือเรียวฟาดไปที่บ่ากว้างของชายหนุ่ม “เย้าข้าเช่นนี้ ขอแค่ท่านรักข้ามีเพียงข้าคนเดียวอย่างปากว่าก็เพียงพอแล้ว”
หลิวเหว่ยยิ้มจาง ๆ ดวงตาคมเข้มยังคงจ้องมองไปที่หญิงสาว พลางแบมืออก
“อันใดกันหรือ” ใบหน้าไร้เดียงสาที่ดูกี่ทีก็ทำให้ใจหวั่นไหวเอ่ยถามอย่างสงสัย
“จะผูกด้ายแดงให้กับเจ้า” ลู่จื้อมองชายหนุ่มที่บรรจงผูกด้ายแดงให้นางด้วยใจคนึงหา ยังไม่จากยังรู้สึกคิดถึงถึงเพียงนี้
“กลับเถอะ ถึงเวลาพักผ่อนของเจ้าแล้ว และยามรุ่งข้าก็จะต้องเดินทางแล้ว”
ดวงตาสวยคลอไปด้วยน้ำใส แม้ไม่ได้เอ่ยแต่นางเก็บกลั้นอารมณ์ของตนมาตลอด มิอยากให้เขาจากไปไกล แต่ก็ห้ามไม่ได้
มือที่กอบกุมกันระหว่างเดินกลับไปที่จวน แม้จะดูผิดวิสัยของหลิวเหว่ยไปหน่อยที่แสดงท่าทางเปิดเผยเช่นนี้นอกจวน แต่มือที่สั่นและชื้นน้อย ๆ ของคนที่เดินนำหน้าอยู่หนึ่งก้าวทำให้ลู่จื้อเข้าใจว่ามิใช่นางแค่คนเดียวหรอกที่ไม่อยากแยกจากกัน
“กลับกันมาแล้วหรือ” ยังไม่ทันจะก้าวเข้าจวนดี บิดาของหญิงสาวก็เอ่ยทักชายหนุ่มและบุตรสาวของตน
“ขอรับท่านราชครู”
“ท่านพ่อยังไม่พักผ่อนหรือเจ้าคะ”
คนชรายิ้มหวานให้กับบุตรีที่รักยิ่ง “รอเจ้า เสี่ยวจื้อไปพักเถอะพ่อจะคุยกับพี่เขา”
ลู่จื้อมองคนที่นางกำลังจะผละออกไปด้วยสายตาอาวรณ์ พรุ่งนี้ก็คงแทบจะไม่ได้คุยกันแล้ว แต่รอยยิ้มน้อย ๆ และการพยักหน้าราวกับบอกให้ทำตามคำสั่งบิดานั้นคล้ายจะเป็นการย้ำเตือนให้หญิงสาวเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะเป็นอย่างที่ควรเป็น
“หลิวเหว่ยมาคุยกับลุงหน่อยเถอะ”
หลิวเหว่ยเดินตามชายชราไปด้วยใจที่สั่นรัว แม้จะคุยเรื่องการหมั้นหมายไปแล้ว แต่สินสอดและพิธีการที่สำคัญก็ล้วนยังไม่ได้ทำให้เรียบร้อย มีเพียงแค่การแลกวันเดือนปีเกิดเพื่อยืนยันคำสัญญานี้เท่านั้น