บทที่5

1229 คำ
บทที่5 ยิ่งเปิดอ่านจดหมายไปแต่ละแผ่นดวงตากลมโตก็ยิ่งบวมแดง ในจดหมายไม่ได้เอ่ยหยอกเย้าหรือเกี้ยวพานางเหมือนดั่งเช่นจดหมายช่วงแรก ๆ ที่ส่งมานี่เป็นเพียงจดหมายที่หลิวเหว่ยแค่เพียงตอบในเรื่องต่าง ๆ ที่นางเอ่ยถามออกไปในจดหมายที่ส่งให้ชายหนุ่มก่อนหน้าก็เท่านั้น แม้ทุกอย่างจะถูกตอบกลับมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ดีในทุก ๆ คำถามที่นางเคยได้เขียนถามเขาไป แต่คำตอบเหล่านั้นกลับเป็นเพียงคำตอบห้วน ๆ ราวกับไม่ต้องการจะตอบเสียอย่างนั้น ทุกตัวอักษรแข็งทื่อราวกลับคนเขียนทำเพียงตวัดปลายพู่กันส่ง ๆ มา ลู่จื้อพยายามบอกกับตนเองว่าหลิวเหว่ยไม่มีเวลาจึงได้ทำเช่นนี้ แม้จะไม่อยากน้อยใจอะไรไร้สาระกับเรื่องเล็กน้อย แต่เพราะประโยคที่ไม่เหมือนเคยอีกทั้งระยะทางก็ห่างไกลมันก็มีอยู่บ้างเหมือนกันที่นางคิดว่าอีกหลิวเหว่ยอาจจะมีคนอื่นหรือเปล่า แต่ไม่หรอกนางคงคิดฟุ้งซ่านไปเองเพราะความกังวล นางและเขาเติบโตมาด้วยกันความนึกคิดเขาเป็นเช่นไรนางย่อมรู้ดีกว่าใคร ยังมิเอ่ยปากนางก็เดาได้ว่าเขาต้องการสิ่งใด อีกทั้งเขารักนางขนาดนั้นและยังให้คำมั่นกับนาง นางต้องเชื่อใจหลิวเหว่ยมากกว่านี้ ลู่จื้อลอบโทษตัวเองที่ชั่วขณะหนึ่งคิดว่าเขามีหญิงอื่นมาแทนที่นาง เป็นไปมิได้ ไม่มีวันเสียหรอก ตอนนี้จึงกลายเป็นความกังวลในใจมีทั้งเรื่องที่หลิวเหว่นต้องเผชิญอันตรายมากมายที่ชายแดน และยังรวมถึงเรื่อง...ความรักระหว่างกัน แต่เมื่อคิดแล้วก็พยายามสะบัดหน้ามิคิดมาก พยายามให้ตนเองลืมความคิดแย่ ๆ เหล่านั้น “ต้องเชื่อใจพี่หลิวเหว่ยสิ ไม่มีทางที่พี่เขาจะมีคนอื่น” แม้จะเอ่ยเช่นนั้นแต่ในใจกลับหวิวพิกล “เสี่ยวจื้อ พ่อเข้าไปได้หรือไม่” คนเป็นพ่อเอ่ยถาม “เจ้าค่ะ” หญิงสาวตอบออกไปมือทั้งสอบปาดน้ำตาของตนทิ้ง “หากต้องเสียน้ำตาให้เขาถึงเพียงนี้ หรือเจ้าจะให้พ่อยกเลิกสัญญาหมั้นหมายดี” ที่เอ่ยออกไปเช่นนั้นเป็นเพราะบุตรสาวยึดติดกับความสัมพันธ์ครั้งนี้จนเกินไป มากไปจนลืมนึกถึงตนเอง เขาเองด้วยอายุอานามขนาดนี้ก็พอจะเข้าใจหนุ่มสาว ยามรักก็มักจะหลงทางใช้หัวใจนำทางมากว่าสมอง ลู่จื้อไม่ได้ตอบบิดา นางทำเพียงแค่ร้องไห้ออกมา และพยายามคิดว่าเรื่องที่มันเป็นเช่นนี้ เพราะนางนั้นหวั่นไหวจนคิดมากไปเอง หรือแท้จริงแล้วคำหวานความสัมพันธ์ราวกับดอกไม้กับหมู่ภมรของนางและคู่หมายกำลังจะเปลี่ยนไป แม้เชื่อมั่นว่าหลิวเหว่ยจะไม่มีทางเปลี่ยนใจไปจากตนเองได้ง่าย ๆ แต่คำของชาวบ้านก่อนหน้านี้ก็ทำให้นางคิด เพราะถึงจะบอกว่าไปอยู่ด่านหน้าไปอยู่ชายแดน แต่ที่นั้นก็เป็นเมือง ๆ หนึ่ง มีหลายคู่ไปที่เลิกราหรือยกเลิกสัญญาหมั้นหมายที่มีเพียงเพราะเจอคนที่จริงใจที่นั่น ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันจึงเอนเอียงไปหาคนใกล้ตัว คงด้วยเหตุนี้กระมั้งที่ทำให้ลู่จื้อแอบวิตกกังวลอยู่ตลอด “ที่จริงพ่อก็ไม่อยากเอ่ยแต่ในเมื่อมันทำให้เจ้าเศร้าโศกถึงเพียงนี้ก็ยกเลิกการหมั้นหมายเสียแล้วหาคนที่เหมาะสม คนที่ไม่ทำให้เจ้าต้องรอดีหรือไม่” ลู่จื้อส่ายหน้าราวกับถูกบิดาขักใจ ทั้ง ๆ ที่ต้องแต่เกิดมาบิดาหรือมารดาไม่เคยขัดสิ่งที่นางปรารถนาเลยสักอย่าง แต่ลู่จื้อกลับยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา “เสี่ยวจื้อเจ้าเป็นเช่นนี้ไม่เหมาะจะเป็นฮูหยินของทหารหรอกลูก คิดให้ดี บางทีอาจจะมีขุนนางที่อยู่ในเมือง ไม่ต้องออกเดินทางไปไกลให้ใจเจ้าที่รอคอยต้องทุกข์ทน” คำพูดของบิดาคงจะจริง บางทีมันอาจจะผิดที่ตัวนางเองที่คิดมาก ตอนนี้พี่หลิวเหว่ยอาจจะกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด แค่เพียงเจียดเวลาส่งของมายืนยันตนได้นางก็ควรจะดีใจแล้วมิใช่กังวล และคิดไปเองขนาดนี้ “ไม่เจ้าค่ะ ลูกจะแต่งกับท่านพี่หลิวเหว่ยเท่านั้น หากไม่ได้เป็นฮูหยินตระกูลหยุนแล้ว ลูกก็ไม่ต้องการจะแต่งกับใครอีก” ราชครูอยากให้บุตรสาวหายเศร้าใจจึงเอ่ยคำเช่นนั้นออกไป แต่เมื่อนางยังคงยืนยันเช่นเดิมคนเป็นพ่อก็คงทำอะไรไม่ได้ แม้ว่าหลังจากนั้นลู่จื้อจะทำเหมือนกับว่าตนไม่เป็นอะไร แม้จะผ่านไปอีกกี่เดือนจนนานนับปีและไม่มีข่าวอะไรตอบกลับมาอีกเลยแต่หญิงสาวก็ยังมั่นคงที่จะรอ หากมินับหกเดือนที่นางรอชายหนุ่มแล้วมีข่าวบ้างไม่มีข่าวบ้างตอนนี้ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากกว่า เพราะหลังจากจดหมายครั้งสุดท้ายนั่นก็ไม่เคยมีอะไรส่งกลับมาอีก ที่จริงจะบอกว่าชายผ้าของชายหนุ่มและด้ายแดงเป็นสิ่งสุดท้ายที่หลิวเหว่ยส่งมาก็ได้ จวบจนถึงวันนี้ก็ปีกว่าแล้วที่ไร้ข่าวคราว แต่ลู่จื้อก็ไม่ได้โวยวายหรือเศร้าเสียใจมากมายอะไร คงเป็นเพราะนางรอคอยจนชินชาไปแล้ว ข่าวเพียงเล็กน้อย ว่าการศึกเป็นอย่างไรบ้างแล้วแค่นั้นก็เพียงพอให้นางรู้สีกดีขึ้นมาได้บ้าง และถึงจะมีคนรู้บางว่าหญิงสาวหมั้นหมายแล้วกับหยุนหลิวเหว่ยที่ไปชายแดน คนบางคนก็ยังแกล้งทำมึนเข้ามาเกี้ยวพาลู่จื้อ ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ไม่ชายตามองแม้เพียงนิด เพราะคนเดียวที่นางจะตบแต่งด้วยก็มีเพียงหยุนหลิวเหว่ยเพียงเท่านั้น จนเมื่อผ่านไปเกือบสองปีกว่าความหวังในการรอคอยก็เริ่มเลือนราง ท่านราชครูกับฮูหยินปวดใจยิ่งนักที่ได้เห็นบุตรสาววัยแรกแย้มอาจจะต้องเป็นม่ายขันหมาก และด้วยนิสัยของลู่จื้อนางคงไม่ยอมที่จะตบแต่งกับใครต้องอยู่เป็นโสดไปชั่วชีวิตแน่ ๆ การศึกยุติแล้วเหล่าทหารและแม่ทัพทยอยกลับมาเมืองหลวงและหัวเมืองต่าง ๆ แต่ยังคงไร้วี่แววของหยุนหลิวเหว่ยราวกับอีกคนนั้นสิ้นชีพไป แต่ก็มิมีป้ายชื่อใด ๆ ส่งกลับมา แต่ลู่จื้อจึงยังมีความหวัง นางเชื่อว่าคู่หมั้นของนางยังมีชีวิตอยู่ จนวันหนึ่ง เมืองหลวงที่ไม่ได้รื่นเริงเสียนานนับตั้งแต่งานโคมไฟเมื่องสองสามปีก่อนก็มีงานฉลองใหญ่ ขบวนแห่ต้อนรับแม่ทัพใหม่ที่เป็นคนสำคัญที่ทำให้ศึกครั้งนี้ชนะทำให้คนทั้งเมืองหลวงต่างไปดูเพราะแต่ลู่จื้อมิสน มินึกว่า “คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ รีบไปเถอะเจ้าค่ะ คุณชายหยุนกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม