@Hongkong เขต Kwai Tsing
แฮ่ก แฮ่ก~
ตึก ตึก ตึก
“คุณหนูครับ ไหวมั้ยครับ”
เสียงใคร? เหมือนฉันได้ยินเสียงคนพูดอยู่ข้างๆ หูฉันได้ยิน สมองฉันรับรู้ แต่ทำไมจิตใจฉันมันถึงได้เลื่อนลอยแบบนี้กัน
“เดี๋ยวเรือลำนี้จะพาเราไปที่ท่าเรือประเทศไทย พอถึงที่นั่นผมรับรองคุณหนูต้องปลอดภัย” ปลอดภัยเหรอ? เขาหมายถึงอะไร ปลอดภัยจากอะไร
สองตาที่เลื่อนลอยของตัวเอง หันไปจ้องมองผู้ชายที่เรียกฉันว่าคุณหนูที่กำลังนั่งพื้นที่กำลังโคลงเคลง “คุณเป็นใคร?” ฉันเอ่ยถามคนที่นั่งข้างกาย คนได้ฟังถึงกับเบิกตากว้าง คิ้วขมวดเข้าหากันแลดูยุ่งเหยิง
“คุณหนูจำผมไม่ได้เหรอครับ ผมฉิงเฉา ลูกน้องคนสนิทคุณพ่อคุณหนูไง”
ฉิงเฉา? เหมือนจะคุ้น แต่ก็ไม่เห็นจะจำได้ เมื่อพยายามครุ่นคิดอยู่นานสองนาน แต่กลับไม่พบชื่อนี้ในหัวเลยแม้แต่น้อยจึงได้แต่ส่ายหัวไปมาตอบเขาไป
“ซวยแล้ว!” ฉิงเฉาทำหน้าแตกตื่น เหงื่อแตกพลั่กพร้อมกับสบถออกมาเสียงเบาหวิว “คุณหนูชื่ออะไรจำได้ไหมครับ”
ชื่อฉันเหรอ? ทำไมแม้แต่ชื่อตัวเองฉันก็ต้องคิดมากขนาดนี้นะ
“โอ๊ย! ไม่รู้ ปวดหัว” ฉันใช้สองมือกุมขมับทั้งสองข้าง ก้มหน้างุด วางหน้าผากมนไว้บนเข่าทั้งสองข้าง พร้อมกับส่ายหัวไปมาบนเข่าบางนั้น
“ใจเย็นๆ ครับคุณหนู ไม่ต้องคิดแล้ว เดี๋ยวผมบอกเอง”
ฉิงเฉารีบดึงมือทั้งสองข้างของฉันออก เขาเลื่อนมือหนาใหญ่มาจับไหล่ทั้งสองข้างของฉันเพื่อที่จะหยุดอาการดิ้นให้หยุดลง
“ฉัน ชื่อฉันล่ะ” ปากเอ่ยถามเสียงแหบแห้ง เพราะกลั้นก้อนสะอื้นจากอาการปวดหัวก่อนหน้านี้ สองตาพล่ามัวปรือตามองหน้าคนที่เรียกตัวเองว่าคุณหนูเขม็ง
“คุณหนูชื่อ หลัน ไฉ่หง อายุย่าง 21 พ่อคุณหนูเป็นคนฮ่องกง ส่วนคุณแม่เป็นคนไทย และพวกท่านเป็นคนดี คุณหนูจำไว้เท่านี้ก็พอแล้วครับ”
‘หลัน ไฉ่หง’ ฉันทวนชื่อนี้ในใจ ชื่อเพราะดีนะ แต่ทำไมฉันถึงนึกหน้าตาพ่อแม่หรือแม้แต่เรื่องราวของพวกท่านไม่ได้เลยล่ะ
“แล้วป๊ากับแม่หงส์ล่ะ” นึกเรื่องนี้ได้เลยรีบเอ่ยถามฉิงเฉา
“เรือเทียบท่าแล้วครับ ไว้เดี๋ยวเราหาที่พักที่ไทยก่อน แล้วผมจะเล่าเรื่องคุณท่านทั้งสองให้คุณหนูฟังทีหลัง” ฉิงเฉาตอบปัด
เขาค่อยๆ พยุงตัวฉันขึ้นแล้วพาเดินลงจากเรือขนาดใหญ่ ขอเดาว่าน่าจะเป็นเรือขนส่งสินค้ามากกว่าเรือท่องเที่ยว เพราะมันมีแต่ลังตู้คอนเทนเนอร์ และกล่องไม้ขนาดใหญ่เต็มท้องเรือไปหมด
‘ทำไมภาพพวกนี้มันดูชินตาจัง’
@ประเทศไทย
“เช่าห้องเดียวสงสัยเป็นคู่ผัวเมียมาท่องเที่ยวกันสินะ”
ฉันยืนมองฉิงเฉาที่ยืนคุยกับเจ้าของห้องเช่าหลังเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือที่พวกเราเพิ่งลงมาเมื่อก่อนหน้า
“ไม่ต้องยุ่ง! เท่าไหร่” ฟังจากน้ำเสียงเหมือนฉิงเฉากำลังหงุดหงิดผู้ชายร่างท้วมที่น่าจะเป็นเจ้าของที่นี่
“ได้ห้องแล้วครับคุณหนู เดี๋ยวผมพาคุณหนูไปพักก่อน แล้วจะออกไปหาอะไรมาตุนไว้ให้ เราคงต้องพักที่นี่สักพัก”
ฉันพยักหน้าให้กับฉิงเฉา เดินตามเขามายังห้องที่อยู่ชั้นสองของบ้านเช่าหลังนี้ ที่นี่มีแค่สองชั้น ชั้นละสองห้อง ด้านล่างปูด้วยปูนแต่ด้านบนเป็นไม้ธรรมดา
ฉิงเฉาทิ้งฉันไว้ที่ห้องพักประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง เขาก็กลับมาพร้อมกับถุงสีขาวของร้านสะดวกซื้อ
“ผมมีเงินไทยติดตัวไม่เท่าไหร่ ไว้พรุ่งนี้จะลองเอาเงินไปแลกที่ธนาคารหวังว่าผมจะหาญาติของนายหญิงพบก่อนพวกมันจะมาถึง”
ฉันขมวดคิ้วกับคำพูดประโยคหลังของฉิงเฉา ‘พวกมัน’ ที่เขาพูดหมายถึงใคร ดูเหมือนเขาจะหวาดกลัวกับคนที่เขาเพิ่งเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้มาก ดูจากหน้าที่ถอดสี ร่างกายที่สั่นเทา
‘ทำไมเขาต้องดูเกร็งและเครียดมากขนาดนั้นด้วย’
“นายหมายถึงพวกไหนเหรอ” เพราะความอยากรู้เลยเอ่ยถามเขาออกไป หวังว่าเขาคงจะบอกให้ฉันหายสงสัยบ้าง แต่ไม่เลย...
ฉิงเฉากลับเลี่ยงการตอบคำถามฉัน เดินไปมุมห้อง แกะกระติกน้ำร้อนที่เพิ่งซื้อมา เติมน้ำล้างอยู่สองสามครั้ง จากนั้นจึงเสียบปลั๊กกับเต้าเสียบที่ติดอยู่ข้างผนังไม้ของห้อง และทิ้งตัวนั่งเหม่อลอยอยู่ข้างๆ กระติกน้ำร้อนนั้น
ความสงสัยใคร่รู้ของฉันยิ่งเพิ่มทวีคูณ ทำไมเขาไม่ยอมบอกฉันถึงพวกนั้นที่เขาหลุดปากพูดออกมา มันเกี่ยวข้องอะไรกับการที่เขาพาฉันหนีข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่ประเทศไทยแบบนี้ด้วยหรือเปล่า
หลังจากที่ฉิงเฉาจัดการทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้ฉันทานเสร็จ เขาสั่งให้ฉันอยู่แต่ห้องนี้ เพราะตัวเองต้องออกไปทำธุระข้างนอก ซึ่งตอนนี้เวลาก็ผ่านมาเกือบสามชั่วโมงแล้วที่ฉิงเฉาทิ้งฉันไว้ที่ห้องนี้คนเดียว
ฉันก้มลงมองถุงผ้าสีแดงที่ปักด้วยตัวอักษรจีนว่า ‘หลัน ไฉ่หง’ ที่ฉิงเฉาทิ้งไว้ให้ เขาบอกให้ฉันเก็บรักษามันไว้ให้ดี เพราะนี่จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าฉันคือใคร
ผ่านมาสองวันแล้ว ที่ฉันเอาแต่นั่งมองบานประตูห้องเช่าแห่งนี้ หวังให้มีเงาของลูกน้องคนสนิทอย่างฉิงเฉาโผล่มาบ้าง ตั้งแต่คืนนั้นที่เขาบอกจะออกไปตามหาญาติให้ฉันเขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
ความร้อนลุ่มในอกมันเริ่มสุมมากขึ้น ไม่อยากจะคิดไปในแง่ร้ายว่าเขาจะเป็นอันตรายอะไรหรือเปล่า แต่มันก็ห้ามใจไม่ได้สักนิด
“นายจะหลงทางหรือเปล่านะ” ฉันพยายามคิดในทางบวกเข้าไว้ แต่ดูๆ แล้วฉิงเฉาไม่น่าจะเป็นอย่างที่ฉันพูดออกไปเลยสักนิด เขาพูดไทยได้ชัดเหมือนๆ กับฉัน และดูคุ้นเคยกับที่นี่มากกว่าฉันเสียอีก
‘แล้วทำไมล่ะ?’ คำถามอื่นเริ่มผุดขึ้นมาในหัว คิดยังไงก็คิดไม่ตก
หรือว่าเขาจะทิ้งฉันไปแล้ว? แต่เขาจะลงทุนพาฉันมาปล่อยไว้ที่ต่างเมืองขนาดนี้เพื่ออะไรล่ะ เขาไม่น่าจะใช่คนแบบนั้น ความรู้สึกฉันมันบอกว่าเขาเป็นคนดี
“ฉันจะต้องออกตามหาเขา ใช่แล้วหงส์ เธอจะต้องออกไปตามหาเขา”
เมื่อตัดสินใจได้ ฉันเลยเก็บข้าวของซึ่งมีเพียงกระเป๋าสะพายใบเล็กๆ สีชมพูอ่อน ที่ติดตัวมาตอนที่ฉิงเฉาลากฉันเหมือนกับวิ่งหนีอะไรสักอย่างที่ฮ่องกง ในนั้นมีเงินฮ่องกงอยู่จำนวนหนึ่ง แต่รู้สึกว่าพวกบัตรอะไรต่างๆ ของฉันจะไม่มีนะ คล้ายๆ กับของในนี้เคยถูกล้วงออกไปจนหมดเหลือไว้เพียงเศษเงิน
“อ้าวแม่หนู จะออกไปข้างนอกเหรอ” ทันทีที่เดินลงมาชั้นล่าง ลุงร่างท้วมที่เป็นเจ้าของห้องก็ทักขึ้น
“เอ่อ พอดีจะออกไปข้างนอกหน่อยค่ะ” ฉันตอบไม่เต็มเสียงนักให้กับเจ้าของบ้าน ไม่ชอบสายตาโลมเลียที่เขามองมาเลย มันดูไม่น่าไว้ใจยังไงไม่รู้
“ออกไปหาผัวเหรอแม่หนู” ลุงอ้วนทุ้ยคนเดิมยังคงชวนฉันคุยต่อ
“ค่ะ ขอตัวนะคะ” ฉันไม่อยากปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่สามีของฉัน แต่บอกไปแบบนั้นน่าจะดีกว่าบอกความจริงแน่ อย่างน้อยเขาคงไม่กล้ายุ่งกับคนที่มีสามีแล้ว
หลังจากที่เดินออกมาจากบ้านเช่าหลังนั้น ฉันก็ยืนมองสี่แยกที่ตัวเองยืนอยู่ตรงกลางแบบมืดแปดด้านไปหมด ไม่รู้จะเริ่มต้นจากที่ไหนก่อน
การที่ต่างบ้านต่างเมือง แถมยังไม่รู้อีกว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วฉิงเฉาเขาออกไปตามหาญาติของแม่ที่ไหน ชื่ออะไร มันยิ่งยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีก
“เอาน่า! ลองหมุนตัวสักรอบสองรอบ หยุดทางไหนก็ไปทางนั้นแล้วกัน”
พูดเสร็จก็ยกมือให้กำลังใจตัวเอง ก้มลงทำท่าคล้ายจิ้งหรีดปั่นอยู่สองสามรอบ และผลปรากฏว่า
มึน!!
ความรู้สึกแรกหลังจากที่หยุดหมุนมันเหมือนพื้นเอียงๆ ในหัววิ้งๆ คล้ายกับในสมองมันเคลื่อนไหวได้ ฉันเลยพยายามทรงตัวให้นิ่ง ค่อยๆ ลืมตาชั้นเดียวของตัวเองทีละนิดๆ เพื่อปรับให้รับแสงสว่างจากแดดเมืองไทยที่ค่อนข้างจ้า
“ทางนี้สินะ” ฉันสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ หลังจากได้เส้นทางที่จะเดินไปข้างหน้าแล้ว แต่ทำไมมันค่อนข้างน่ากลัวยังไงไม่รู้สิ
ยิ่งเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ สภาพแวดล้อมข้างๆ มันยิ่งมีแต่ตึกสูงร้างเต็มไปหมด “นายอยู่ที่ไหนฉิงเฉา” สองมือกำสายกระเป๋าสะพายข้างตัวเองแน่น กวาดสายตามองหาบุคคลที่กำลังตามหาไปด้วย
ขอให้เจอทีๆ ฉันท่องคำนี้ตลอดก้าวย่างที่เดิน
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้ฉันมาโผล่อยู่ที่ไหน รอบข้างเริ่มมืดเพราะท้องฟ้าเริ่มจะปิด แสงแดดที่เคยจ้าจัดตอนนี้มืดครึ้ม
น่ากลัว!
ความรู้สึกฉันบอกมาแบบนี้ ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกว่า...
‘อย่าก้าวเดินไปข้างหน้า’
กึก!!
แค่สองก้าวหลังจากที่รู้สึกใจสั่นไหวแปลกๆ จากลางสังหรณ์ก่อนหน้า ก็ทำให้สองเท้าน้อยๆ ที่สวมรองเท้าส้นสูงสองนิ้วหยุดชะงัก
น่ากลัว! สองคนนั้นน่ากลัวจัง!
เสียงในหัวกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง กับภาพชายสองคนที่กำลังมองตรงมาทางฉันด้วยสายตาเหมือนต้องตาเหยื่อชิ้นดี
“เฮ้! ดูสิพวกเราเจออะไร”
“สวยซะด้วย หุ่นแม่งน่ากินฉิบหาย”
‘หยาบคาย’ ฉันกร่นด่าให้กับผู้ชายสองคนตรงหน้าหลังจากได้ฟังคำพูดนั้น สองเท้าน้อยๆ ค่อยๆ ก้าวถอยหลังออกมาทีละก้าว ทีละ...
“ว๊าย! ปล่อยนะ” เร็วเกินไปแล้ว!!
ผู้ชายร่างสูง หน้าบากๆ ผอมแห้งเหมือนพวกติดยา ตรงมาคว้าหมับเข้าที่สองมือเรียวเล็กของฉัน จับไพล่หลังไว้เหมือนตำรวจจับกุมผู้ร้าย
“จะทำอะไร ปล่อยฉันเถอะนะ ฉันแค่มาตามหาสามี” ฉันรีบเอ่ยปากร้องขอด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
“อ้าว! มีผัวแล้วว่ะไอ้แห้ง” เสียงผู้ชายผอมๆ ที่จับฉันอยู่ร้องบอกเพื่อนอีกคนที่กำลังเดินตรงดิ่งเข้ามาหาฉัน ชื่อแห้ง แต่ทำไมตัวถึงได้อ้วน แผลเป็นเต็มตัว น่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก
“ก็ดีสิ จะได้ไม่ต้องสอน ลีลาคงดี”
ฉันสั่นหัวไปมา ดีดดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการที่กำมือฉันแน่น แต่ยิ่งดิ้น เหมือนคนพันธนาการยิ่งเพิ่มแรงบีบและกดจิกเล็บลงมาแรงกว่าเดิม
“งั้นกูให้มึงก่อน กูชอบแบบลื่นๆ”
พวกนี้คุยอะไรกัน คิดว่าฉันจะยอมให้เขากระทำป่าเถื่อนกับร่างกายฉันง่ายๆ เหรอ ใครก็ได้ช่วยฉันที
“ชะ ช่ว... อุ้บ”
จุก! กำลังจะตะโกนให้คนช่วย แต่ไอ้อ้วนที่ชื่อแห้งต่อยเข้าที่ท้องฉันหนึ่งที ให้ความรู้สึกจุกมากกว่าเจ็บสะอีก
“ไม่ร้องสิจ๊ะคนสวย เปลี่ยนจากเสียงร้องเป็นเสียงครางให้พวกพี่ฟังดีกว่า หน้าสวยๆ หุ่นแซ่บๆ แบบนี้ เสียงครางจะหวานโดนใจขนาดไหนน้า~”
หยาบคาย สถุล ฉันไม่รู้จะด่าคนพวกนี้ด้วยคำไหนแล้ว
พ่อคะ แม่คะ ใครก็ได้ช่วยหงส์ที
ในใจกู่ร้องอ้อนวอนถึงสิ่งที่สมองน้อยๆ ของตัวเองคิดออก ถ้าฉันยังพอมีบุญวาสนาเหลืออยู่ พระเจ้าโปรดส่งใครก็ได้มาช่วยฉันที แล้วฉันจะตอบแทนพระคุณของคนผู้นั้นแม้แต่ชีวิตนี้ก็ยอม
“มามะ มาให้พี่กินซะดีๆ”
“กรี้ด!!!”
ฉันรีบหลับตาปี๋ หลังจากที่ไอ้อ้วนพุ่งร่างน่าเกลียดของมันตรงมาจะฉีกกระชากเสื้อผ้าของฉันออก มันจะจบลงตรงนี้งั้นเหรอ? ร่างกายที่บริสุทธิ์ของฉันจะตกอยู่ในเงื้อมมือพวกสัตว์เดรัจฉานสองคนนี้จริงๆ ใช่ไหม
ตุ้บ ผลั้วะ อัก
“อ๊าก!!!”
“มึงเป็นใครวะ แส่ไม่เข้าเรื่อง”
ตอนที่ฉันกำลังถอดใจว่าครั้งนี้คงไม่รอดเงื้อมมือสองคนนี้แน่ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง ตุบ ตับ คล้ายเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นเบื้องหน้า
เสียงนั้นดังอยู่ไม่ถึงสองนาทีก็เงียบไป รับรู้ได้ว่าร่างกายตัวเองหลุดพ้นจากพันธนาการก่อนหน้านี้แล้ว เลยรีบหอบอากาศหายใจเข้าออกแรงๆ เปลือกตาน้อยๆ ค่อยๆ เบิกขึ้นเพื่อมองสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
ภาพที่เห็นหลังจากที่ปรับสายตาให้เข้ากับความสลัวๆ ในตรอกนี้ได้คือร่างของสองคนที่กำลังจะข่มขืนฉันนอนสลบเหมือดอยู่บนพื้น สภาพดูเหมือนยังมีชีวิตแต่ก็เละเหมือนกับไม่หายใจ พอละสายตาจากร่างสองร่างที่นอนแน่นิ่ง ฉันก็เห็นกับคนที่จัดการสองคนนี้ที่กำลังจะเดินจากไป
“ดะ เดี๋ยวสิคะ!” ฉันรีบร้องตะโกนออกไปจนสุดเสียง
เมื่อภาพชายร่างสูงโปร่ง สวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำ ผมสีชมพู กำลังจะเดินพ้นซอยนี้ คนที่เพิ่งช่วยฉันเมื่อครู่ชะงักเท้ากึกตามเสียงเรียก พร้อมกับเอี้ยวใบหน้ามามองฉันเพียงแค่ครู่เดียว
ทำให้ฉันสบเข้ากับแววตาแสนเย็นชานั้นที่มองมาแบบเยือกเย็นไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ร่างกายค้างนิ่งไปชั่ววิฯ เมื่อตั้งสติหาเสียงตัวเองเจอ กำลังจะเอ่ยคำขอบคุณก็ไม่ทัน ผู้มีพระคุณคนนั้นได้เดินออกไปจากตรอกแคบๆ นี้แล้ว
“ขอบคุณนะคะ” แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังคงเอ่ยขอบคุณเขาตามหลังไป แม้รู้เขาคงไม่ได้ยินเสียงเล็กๆ ของตัวเองก็ตาม
‘หงส์ต้องรู้จักคุณคนนะลูก ใครดีกับเรา เราต้องตอบแทนเขา’
‘ชีวิตแลกชีวิตเหรอคะ’
‘ฮ่าๆ อันนั้นมันใช้กับการแก้แค้นนะลูก’
‘ต้องใช้คำว่า บุญคุณต้องทดแทน แบบนี้เหมาะกว่านะ’
เสียงสองเสียงดังก้องอยู่ในหัว แต่ฉันกลับไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดประโยคพวกนั้นกับตัวเอง แต่อย่างน้อย ฉันก็จำคำสั่งสอนนั้นติดตัวมาและกำลังจะเริ่มการทดแทนบุญคุณผู้ชายคนนี้ให้จงได้
“ฉันจะต้องตามหาคุณให้เจอ ผู้มีพระคุณของฉัน”
หลังจากวันที่ฉันเกือบถูกข่มขืนในตรอกวันนั้น และมีผู้ชายใจดีมาช่วยไว้ทัน ฉันก็เริ่มออกตามหาเขาโดยการใช้เงินที่มีอยู่ จ้างคนที่มีฝีมือทางด้านวาดรูปที่เจอเขาเปิดรับวาดอยู่ที่ตลาดนัดแห่งหนึ่ง
ด้วยความจำที่ค่อนข้างดีของฉันบวกกับฝีมือของนักวาดคนนั้น ทำให้ฉันได้ภาพวาดของผู้มีพระคุณรวมทั้งภาพวาดลูกน้องคนสนิทของป๊าอย่างฉิงเฉา
ฉันเริ่มออกตามหาพวกเขาไปทั่วทุกซอกทุกมุมภายในละแวกนั้น แต่นี่ก็ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้วฉันยังหาพวกเขาไม่เจอเลย
“ขอโทษนะคะ พอรู้จักผู้ชายในภาพนี้หรือเปล่า” ฉันถามลุงที่น่าจะอายุประมาณห้าสิบปลายๆ ที่กำลังเดินสวนทางกับฉัน เขารับกระดาษแผ่นนั้นไปดูสักพักก็ส่ายหัวกลับมา
ไม่ใช่แค่คุณลุงท่านนี้หรอกนะ หลายๆ คนที่ฉันขอให้พวกเขาดูภาพวาดสองแผ่นในมือตัวเอง ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่เคยเห็น’ หรือ ‘ไม่คุ้นหน้า’ ทั้งสองคนนี้ “อย่าเพิ่งท้อสิไฉ่หง เธอต้องหาพวกเขาเจอ”
ฉันรวบรวมความฮึดอีกครั้งออกเดินตามหาพวกเขาไปเรื่อยๆ ค่ำไหนฉันก็นอนนั่น เพราะเงินติดตัวเหลือไม่กี่บาท ทำให้ต้องประหยัดเงินไว้ก่อน แต่ยังถือว่าเป็นโชคดีของตัวเอง ที่หลังจากวันนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์เหมือนในตรอกนั้นเกิดขึ้นกับฉันอีกเลย
ผลัก!!
“โอ๊ย!” ฉันร้องลั่นเพราะรู้สึกเจ็บหน้าผากมน สงสัยฉันจะเดินคิดอะไรเหม่อลอยไปหน่อย
“ขอโทษครับ คุณเป็นอะไรมั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
“ขอโทษค่ะ พอดีเหม่อนิดหน่อย” ฉันลูบหน้าผากป้อยๆ ก้มหัวขอโทษคนที่ตัวเองเป็นคนเดินชน คิดว่านะ!? ความจริงมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอก ที่ฉันชนเมื่อกี้น่าจะเป็นไหล่ของผู้ชายร่างสูง หน้าตาคมเข้มตรงหน้า
“นี่ของคุณครับ” เขายิ้มบางๆ พร้อมกับก้มลงไปหยิบกระดาษที่ฉันคงทำหล่นเมื่อกี้ส่งคืนให้ เสร็จแล้วก็หันหลังกำลังจะเดินจากไป
“เดี๋ยวค่ะ!” ฉันรีบตะโกนเรียกผู้ชายตัวสูงผมดำ หน้าตาดี เพื่อให้เขาหยุด
“มีอะไรเหรอครับ”
“ไม่ทราบว่า พอจะคุ้นหน้าหรือรู้จักคนในภาพนี้หรือเปล่าคะ” ฉันยื่นกระดาษแผ่นเดิมที่เขาหยิบส่งคืนให้ดูอีกครั้ง ทันทีที่คนตรงหน้าหยิบกระดาษแผ่นนั้นไปดู เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าฉันช้าๆ พร้อมกับทำสีหน้าตกใจเล็กน้อย
“รู้จักเหรอคะ?” ฉันเดาเอาจากปฏิกริยาที่แตกต่างจากคนก่อนๆ
“ทำไมคุณถึงมีภาพวาดนี้” เขาถามฉันน้ำเสียงแข็งกระด้าง พร้อมกับยกแผ่นภาพวาดแค่ภาพเดียวที่เป็นรูปผู้ชายผมสีชมพูขึ้นถาม
“เอ่อ” เพราะสายตาดุดันที่จ้องมอง ทำให้ฉันเริ่มเสียงขาดหาย
“ว่าไงครับ?” เขาขมวดคิ้ว พร้อมกับยกมือที่จับกระดาษใบนั้นสูงขึ้นอยู่ระดับใบหน้าเขาเอง
“คือเขาเป็นผู้มีพระคุณของฉันน่ะค่ะ ฉันอยากจะตอบแทนบุญคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้ เลยจ้างคนวาดรูปนี้ขึ้นมา”
“แล้วอีกคน” ฉันที่ยังเล่าไม่จบ ผู้ชายผมดำคมเข้มตรงหน้าก็พูดแทรกขึ้น
“อีกคนเป็น ลูกพี่ลูกน้องฉัน เราพลัดหลงกันกลางทางฉันเลยออกตามหาเขาแล้วเจอกับพวกไม่ดีกำลังจะรุมทำร้าย เลยได้ผู้ชายผมสีชมพูคนนี้ช่วยไว้”
“อืม” ผู้ชายผมดำตรงหน้าพยักหน้าเหมือนเข้าใจ
“สรุปว่าคุณรู้จักคนในภาพนั้นหรือเปล่าคะ” ฉันรีบถามเขาออกไปอีกครั้งด้วยความร้อนใจ เขาไม่ตอบ ทำเพียงหลี่ตามองสแกนฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมกับขมวดคิ้วนิดหน่อย
ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกระแวงกับสายตาที่ผู้ชายตรงหน้ามองมา เขาดูเหมือนกำลังคิดอะไรในใจ ไม่ยอมตอบคำถามหรือว่าพูดอะไรสักอย่าง เลยเอื้อมมือจะไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นในมือเขาคืนมา
แต่ปฏิกริยาตอบกลับของผู้ชายตรงหน้าเร็วมาก เขารีบยกมันชูขึ้นเหนือหัว พร้อมกับพูดสั่งให้ฉันหยุดการกระทำของตัวเอง “เดี๋ยวดิ!” ผู้ชายคนนั้นขึ้นเสียงใส่ฉัน
“นั่นมันของฉันค่ะ เผื่อคุณจะลืม” เพราะตกใจที่จู่ๆ เขาก็เสียงดังใส่เลยยู่จมูกทำหน้าไม่พอใจ “แล้วใครบอกเธอว่าฉันไม่รู้จัก?”
“ก็ถึงได้บอกไงว่าถ้าไม่ระ ฮะ! เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะคะ”
ฉันที่กำลังจะบ่นให้ผู้ชายตรงหน้าก็ตั้งสติได้ เมื่อกี้เขาบอกว่าเขารู้จักผู้ชายในภาพวาดนั้น?
“อื้ม รู้จักโคตรๆ เลยล่ะ”
หัวใจฉันพองโตขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก เผลอยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ
“งั้นคุณก็พาฉันไปพบเขาได้ใช่มั้ย ช่วยพาฉันไปหาเขาหน่อยนะคะ นะๆ” ฉันจับหมับเข้าที่แขนที่มีกล้ามแน่นหนัดแล้วเขย่าเบาๆ เชิงขอร้อง
“ใจเย็นดิวะ!” เขาพูดเสียงดังพร้อมกับแกะมือฉันออกจากแขนเขา
“ขอโทษค่ะ ดีใจไปหน่อย” ฉันก้มหน้าขอโทษคนตรงหน้า
“เธอชื่ออะไร” ปล่อยให้เงียบไปได้สิบวิ ผู้ชายคนเดิมก็ถามขึ้น
“แล้วคุณล่ะ ชื่ออะไร ก่อนจะให้สุภาพสตรีแนะนำตัว สุภาพบุรุษน่าจะบอกชื่อตัวเองก่อนนะคะ” เรื่องอะไรจะบอกชื่อกับคนแปลกหน้า
“ฉลาดดีนะเรา” คนตรงหน้าพูดพร้อมกับยิ้มมุมปาก
“ฉันชื่อ มอม้า เป็นคนที่โครตจะรู้เรื่องผู้ชายในกระดาษแผ่นนี้เลยล่ะ”
มอม้า? แปลกทั้งชื่อทั้งคน
“หละ หงส์ ฉันชื่อหงส์” เกือบหลุดปากบอกชื่อจริงออกไปแล้วเชียว
“อืม หงส์ ชื่อเพราะดีนะ”
มอม้าบ่นอะไรไม่รู้อยู่คนเดียว เขาเอามือจับปลายคางตัวเอง มองสำรวจฉันหัวจรดเท้าอีกครั้งพร้อมกับพยักหน้าเหมือนพอใจอะไรมากมาย
“นี่! นายคิดลามกอะไรอยู่หรือเปล่า บอกเลยนะ ฉันสู้คน” ฉันยกมือตั้งการ์ดเหมือนนักมวย ก็แค่ท่าดีไปงั้นแหละ
“เฮ้ย! ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกระแวงเกินไปแล้ว” ถึงแม้มอม้าเขาจะพูดแบบนั้น ฉันก็ยังไม่เลิกระแวงและไม่ลดมือลงจากท่าเดิมสักนิด
“ถ้าเธอไว้ใจ ฉันจะพาไปพบคนในนี้”
มอม้าถามพร้อมกับยกภาพวาดในมือขึ้นจ่อที่หน้าฉันซึ่งเหลืออีกไม่ถึงเซนฯ กระดาษในมือเขาก็จะแนบใบหน้าฉันแล้ว