ทลายหัวใจครั้งที่ 7

3054 คำ
“คุณยูกิจะรับด้วยมั้ยล่ะคะ หงส์ทำน้ำแครอทให้เฮียเทียน” ฉันสูดลมเข้าปอดลึกๆ ระงับอาการตื่นตระหนกให้คงที แล้วเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความน้อยใจอยู่ในนั้น “ไม่น่าถาม ไอ้เทียนยังกินได้ แล้วทำไมต้องถามฉันด้วยวะ” น้ำเสียงเอาแต่ใจดังขึ้น คล้ายกับไม่พอใจกับคำถามของฉัน “หงส์ไม่รู้นี่ค่ะ แค่ถามไม่เห็นต้องหงุดหงิดใส่เลย” ว่าจะไม่ต่อปากต่อคำแล้วนะ แต่ยิ่งเห็นหน้ายูกิ ยิ่งได้ฟังน้ำเสียงที่เอาแต่หงุดหงิดใจใส่ฉันมันอดไม่ไหวจริงๆ “ก็ถามปัญญาอ่อนเอง” คนเอาแต่ใจยังคงไม่ยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำ “ขอโทษแล้วกันค่ะที่หงส์ทำตัวปัญญาอ่อนแล้วทำให้คุณยูกิหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้คุยด้วย” สิ้นคำพูดตัดพ้อของตัวเอง ฉันก็หันกลับมาเทน้ำแครอทที่ปั่นเสร็จแล้วใส่แก้วสองใบ พร้อมกับยื่นแก้วทรงสูงใบหนึ่งให้กับคนที่เพิ่งด่าตัวเองเมื่อครู่ “อะไร?” พอเห็นฉันยื่นแก้วน้ำแครอทให้แทนที่เขาจะหยิบ แต่ดันเลือกถามฉันกลับมาแทน “น้ำแครอทคั้น ค่ะ” เกือบลืมหางเสียงไปเลย “รู้ ไม่ได้โง่” ฉันถึงกับอ้าปากค้างทันทีที่ได้ยินคำพูดประโยคนั้น “ที่ถามว่าอะไร หมายถึง เอามาให้ตรงนี้ทำไม ฉันจะไปกินที่ห้อง” ปากฉันพะงาบๆ หนักกว่าเดิม เมื่อเจอคำพูดประโยคใหม่ของคนกวนประสาท เข้าใจคนไม่อยากเข้าใกล้มั้ย? ตอนนี้ฉันยังโกรธ ยังน้อยใจยูกิอยู่ไง ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อย่างเฉียดกายไปในห้องนั้นอีก แต่นี่อะไร สั่งให้ฉันเอาน้ำไปให้เขาที่ห้องทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยืนอยู่ตรงนี้แล้วแท้ๆ “ทำหน้าตาเหมือนด่าฉันในใจ” ก็ด่าจริงน่ะสิ ถามมาได้ “เปล่าค่ะ ใครจะกล้า ‘ด่า’ คุณยูกิล่ะคะ” ฉันเน้นคำว่าด่าชัดเจน ใครจะไปกล้ายอมรับโดยตรงว่าด่าเขา มีหวังฉันได้เจอเอาคืนหนักกว่าเดิมอีกน่ะสิ “หึ!” หัวเราะหยันแบบนี้แสดงว่าก็รู้อยู่แล้วสินะว่าฉันด่าเขา “เร็วๆ ด้วย เอามาให้ฉันที่ห้อง... เธอ” วะ ว่าไงนะ! เมื่อกี้ยูกิบอกว่าให้ฉันเอาน้ำแก้วนี้ไปให้เขาที่ห้องฉัน? มัวแต่อึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน ครั้นจะอ้าปากถามออกไป คนที่สั่งเสร็จก็เดินดุ่มๆ ออกจากห้องครัวไปไกลลิบแล้ว บ้าจริง! สงสัยวันนี้อากาศจะร้อน ร้อยวันพันปีตั้งแต่ที่ฉันย้ายไปอยู่ข้างห้องกัน เขาแทบจะไม่เคยเดินผ่านหน้าห้องฉันด้วยซ้ำ ไม่อยากยืนคิดมากคนเดียว รีบสาวเท้าน้อยๆ ตามคนบ้าอำนาจมาที่ห้องตัวเองทันที เปิดประตูเข้าไปเลยโล่งอก เมื่อเห็นว่ายูกิกำลังนั่งคุยกับเฮียเทียนอยู่ก่อนหน้าแล้ว ‘ลืมไปได้ไง พี่ชายฉันก็อยู่ในห้องนี้’ ไม่รอช้าฉันรีบยกแก้วน้ำคั้นทั้งสองแก้ววางไว้บนโต๊ะกระจกตัวเล็กๆ ให้เฮียเทียนกับยูกิ พอกำลังจะหันหลังเดินเข้าห้องนอน เสียงเฮียเทียนก็เรียกให้ฉันหยุดชะงักเท้าไว้ “จะไปไหน มานั่งนี่ก่อนมา เฮียมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย ดีเลยไอ้ยูกิก็อยู่ด้วย จะได้พูดรอบเดียวไม่ต้องเปลืองน้ำลาย” ท้ายประโยคเฮียเทียนหันไปพูดน้ำเสียงแขวะยูกิกรายๆ ฉันหันหลังเดินกลับไปนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้ามเฮียเทียน “เฮียมีเรื่องสำคัญอะไรเหรอคะ?” ไม่อยากปล่อยให้ความเงียบครอบคลุม อีกอย่างฉันไม่ชอบสายตาที่ยูกิมองมาตอนนี้ สายตาที่เคยเย็นชาแต่กลับมีแวววูบไหวและดูสับสนแปลกๆ ทำให้ฉันที่เผลอมองกระอักกระอ่วนไปด้วย “ตอนนี้น้องต้องอยู่ที่นี่เฮียเคยบอกไปแล้วใช่ไหม?” เฮียเทียนเกริ่นออกมาฉันเลยพยักหน้าบอกว่า ‘ใช่’ เรื่องนี้เฮียเคยบอกมาก่อนแล้ว “แล้วทีนี้เฮียรู้มาว่าเราอยากตอบแทนไอ้ยูกิที่ช่วยเราวันนั้น เฮียเลยกะว่าจะให้ไอ้ยูกิรับเราเป็นเลขาส่วนตัว” “ว่าไงนะคะ / อย่ามั่ว!” ประโยคแรกฉันถามพี่ชายตัวเองด้วยน้ำเสียงตกใจ แต่ประโยคหลังยูกิพูดเสียงรอดไรฟันพร้อมกับยกเท้าเตะหน้าแข้งเฮียเทียนดัง ปั่ก! “ไอ้ห่า! เจ็บมั้ย?” เฮียเทียนไม่สนใจเสียงฉัน หันไปว่าให้เพื่อนเขาแทน แต่คนถูกว่ากลับเบือนหน้าหนี ถ้าหันหนีไปทางอื่นจะไม่อะไรเลย เขาเลือกหันมาทางฉัน เราสบตากันอยู่ชั่ววิฯ แต่นั่นก็เพียงพอที่ทำให้ฉันเห็นแววตากดดันส่งมาให้ กดดันแบบนี้หมายความว่ายังไง? “ว่าไงยัยน้อง” “คะ?” ฉันที่ไม่ได้ฟังเฮียเทียนพูดก่อนหน้าเลยไม่รู้ว่าพี่ชายตัวเองถามอะไร ได้แต่ส่งเสียงคล้ายกับงุงงงออกไป “เฮียถามว่าเราโอเคมั้ยที่เฮียจะให้เราเป็นเลขาไอ้ยูกิ น้องก็เรียนสาขานี้มาอยู่แล้วเรื่องแค่นี้หมูมาก น้องจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระมันด้วยไง” เหมือนถูกพี่ชายตัวเองมัดมือชกเลยแฮะ! ฉันยังไม่ตอบคำถามพี่ชายตัวเอง แต่เลือกที่จะเหลือบมองคนที่เป็นว่าที่เจ้านายคนใหม่ที่นั่งอยู่โซฟาเดี่ยวตัวที่อยู่ถัดจากฉันแทน “เอ่อ คือว่า หงส์” เพราะถูกสายตากดดันจากยูกิที่มองฉันอยู่ก่อน ทำให้คิดคำตอบพี่ชายตัวเองไม่ทัน ได้แต่ละล่ำละลักออกไป “ลีลา ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ” คำพูดประชดที่ปนความหงุดหงิดถูกส่งมาให้ ฉันเม้มปากแน่น “หงส์ไม่ได้ลีลา แล้วหงส์ก็ยินดีทำ!” คำพูดแรกฉันตอบโดยไม่เลิกจ้องหน้ายูกิสักวินาที ประโยคหลังฉันหันไปตอบพี่ชายตัวเองเสียงดังฟังชัด “เยี่ยมมากน้องรัก” เฮียเทียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มกว้างอย่างพออกพอใจในคำตอบรับนี้ “แล้วมึงจะกลับวันไหน” เสียงยูกิที่เงียบอยู่พักหนึ่งถามเฮียเทียน “คืนนี้! กูต้องรีบกลับไปสืบเรื่องสำคัญ ไม่อยากปล่อยไว้นาน” สีหน้าเฮียเทียนเคร่งเครียดมาก มีเรื่องอะไรสำคัญขนาดนั้นกันนะ “เฮียไม่ให้หงส์กลับด้วยจริงๆ เหรอคะ” ถึงแม้จะรู้คำตอบดีแค่ไหน ฉันก็อดที่จะถามพี่ชายตัวเองอีกรอบไม่ได้ “หงส์อยู่ที่นี่ดีแล้ว ที่นี่ปลอดภัยสำหรับหงส์ที่สุด” สายตาอ้อนวอนปนห่วงใยจากเฮียเทียน ทำให้ฉันไม่กล้าเซ้าซี้ต่อ ได้แค่พยักหน้าเข้าใจ ฉันปล่อยให้ผู้ชายทั้งสองคนในห้องตัวเองคุยกัน ส่วนตัวฉันเองไม่อยากนั่งเป็นหุ่นให้คนเย็นชาบางคนใช้สายตากดดันด่าทอเล่น เลยเลือกที่จะเดินกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายเต็มห้องเข้าที่เข้าทาง ในใจก็พลางคิดไม่ตก ‘ฉันไปทำถุงผ้าใบนั้นหล่นที่ไหน’ แต่ช่างมันก่อนแล้วกัน ในเมื่อหาทั่วห้องขนาดนี้แล้วไม่เจอ ถ้าใครเก็บได้เดี๋ยวก็คงจะมีคนมาบอกเองแหละ เพราะหลายๆ คนในคาสิโนนี้ต่างก็เห็นว่าถุงผ้าใบนั้นฉันพกมันไว้กับตัวตลอดเวลาอยู่แล้ว “ดูแลตัวเองดีๆ นะ เดี๋ยวอีกสองอาทิตย์เฮียจะส่งของขวัญวันเกิดสุดแสนวิเศษมาให้ถึงที่เลย” เฮียเทียนส่งยิ้มหวานพร้อมกับยีหัวฉันเล่น ตอนนี้ฉันมาส่งเฮียเทียนที่สนามบิน เพราะพี่ชายฉันต้องเดินทางกลับฮ่องกง ฉันเลยขอมาส่งด้วยตัวเอง “อีกสองอาทิตย์เป็นวันเกิดหงส์เหรอคะ กี่ขวบแล้วเนี่ย” เพราะฉันจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้ พอได้ยินเฮียเทียนบอกแบบนั้นเลยอดที่จะถามไม่ไหว “ยี่สิบเอ็ดไง วันที่ 20 เมษา เป็นวันเกิดครบรอบยี่สิบเอ็ดปีเต็มของเรา” เฮียเทียนตอบฉันด้วยรอยยิ้ม ส่วนตัวฉันเองได้แต่พยักหน้าแล้วก็จดจำวันสำคัญในชีวิตตัวเองอีกวันเอาไว้ให้ขึ้นใจ หลังจากที่ฉันล่ำลาพี่ชายตัวเองเรียบร้อย เลยเดินมานั่งรอยูกิที่กำลังคุยกับเฮียเทียนต่อ แต่นั่งรอได้ไม่นานคนเย็นชาก็เดินตรงมาหาฉันที่กำลังนั่งอยู่ พรึ่บ! “จะลุกไปไหน” ฉันที่กำลังจะลุกขึ้นยืนเพราะคิดว่ายูกิจะกลับแล้ว แต่ก็ถูกน้ำเสียงเรียบเฉยรั้งไว้ ไม่เพียงแค่รั้งด้วยน้ำเสียง แต่ยังเดินมาหยุดยืนตรงหน้าระยะที่เรียกได้ว่าอีกไม่กี่เซนฯ ร่างกายด้านหน้าทุกส่วนของเขาคงชนเข้ากับร่างกายฉันแน่ๆ “หงส์คิดว่าคุณยูกิจะกลับแล้ว” พูดพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ไม่กล้าสบตาดุดันดวงนี้นาน เลยเลือกที่จะหลบสายตาไปยังจุดอื่นแทน “พูดกับฉันมองหน้าฉันมันจะตายหรือไง!” คำก็ประชด สองคำก็แดกดัน นี่เขาจะคุยกับฉันเหมือนคนปกติคุยกันไม่ได้เลยหรือไง “ไม่ตายค่ะ แต่ก็เหมือนตายทั้งเป็น” ท้ายประโยคฉันพูดน้ำเสียงแผ่วเบา เอาเข้าจริงๆ ถึงแม้ฉันจะปากกล้าแค่ไหน ฉันก็ยังคงกลัวยูกิอยู่ดี เหตุการณ์ในห้องเขาวันนั้น ทำให้ฉันไม่กล้าที่จะต่อปากต่อคำกับเขามากนัก ถ้าเลี่ยงได้ฉันก็พยายามเลี่ยง แต่ส่วนมากมันก็อย่างที่เห็นๆ ฉันเลี่ยงไม่ค่อยจะได้เท่าไหร่ “ปากดี ปากเก่ง เถียงคำไม่ตกฟาก” เสียงทุ้มต่ำดังรอดไรฟันคนพูด “…” ฉันเลือกที่จะเงียบ “ไม่เถียงต่อ?” พอฉันเงียบ เขากลับเป็นคนจี้ให้ฉันทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบเองซะงั้น นี่สรุปจะเอายังไงกับไฉ่หงคนนี้กัน “เข้าเรื่องดีกว่าค่ะ ทำไมถึงยังไม่กลับ” ไม่ได้ปากดีนะ ที่ถามเพราะอยากรู้เหตุผล อยากรู้ว่าเขาจะสั่งทางสายตาให้ฉันนั่งต่ออีกทำไม ในเมื่อตอนนี้พี่ชายฉันก็เดินไปขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้ว “แค่จะบอกว่าหลังจากกลับไปถึงยุกกี้ให้เริ่มงานได้” แค่นี้? ฉันขมวดคิ้วเอียงหน้าถามเขาทางสายตา คือเรื่องแค่นี้คุยกันในรถก็ได้มั้ง! มันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรที่ต้องคุยกันทันทีแบบนี้สักหน่อย “ทีแบบนี้ดันมองหน้า” อ้าว! แล้วทำไมต้องประชด? “เรื่องแค่นี้ทำไมไม่คุยกันในรถล่ะคะ จะได้ไม่เสียเวลาอันเป็นเงินเป็นทองของคุณยูกิ” อาจจะเพราะอารมณ์ชั่ววูบฉันเลยแอบประชดเขากลับไป “หึ! กลับมาเป็นไฉ่หงคนเดิมแล้วสินะ” หมายความว่าไง? ไฉ่หงคนเดิมกับตอนนี้มันต่างกันยังไง? “หงส์ไม่เข้าใจค่ะ” ขี้เกียจคิดให้ปวดหัว สู้ถามตรงๆ เลยดีกว่า “เลิกกลัวฉันแล้วเหรอ ถึงได้ต่อปากต่อคำฉะฉานแบบเมื่อกี้” “เอ่อ.. คือ” ใบ้ไปชั่ววิฯ ลืมตัวไปอีกแล้ว พวกเราใช้เวลาเดินทางจากสนามบินกลับมาที่ยุกกี้คาสิโนเกือบสองชั่วโมง เพราะการจราจรในช่วงค่ำๆ มันติดขัด หลังจากที่ก้าวขาขึ้นมาถึงชั้นสอง คนที่เดินนำหน้าฉันอย่างยูกิก็หันมาสั่งทางสายตากรายๆ ว่า ให้ฉันตามเขาเข้าไปที่ห้องทำงาน “เอ๊ะ! นี่มัน” เมื่อย่างก้าวเข้ามาในห้องทำงานได้เพียงแค่สามก้าว สายตาก็มองไปยังโต๊ะทำงานไม่เล็กไม่ใหญ่มาก วางอยู่ข้างๆ โต๊ะทำงานยูกิ “ฉันสั่งคนจัดไว้ ตอนเราไปส่งไอ้เทียน อย่าเพิ่งเข้าใจผิดอะไร ฉันแค่อยากใช้งานเธอจนตัวสั่นต่างหาก” รอยยิ้มมุมปากที่เหมือนซาตานเจอเหยื่อชิ้นดี เรียกไรขนอ่อนในกายฉันลุกชัน “เริ่มวันนี้เลยเหรอคะ?” เหลือบมองนาฬิกาตรงผนังที่บ่งบอกว่าตอนนี้เกือบจะสี่ทุ่มแล้วเลยถามเพื่อให้แน่ใจ “จำไม่ได้? ที่บอกตอนอยู่สนามบิน” ฟังจบฉันถึงกับอ้าปากค้าง อยากจะเถียงเขาออกไปแต่ก็ทำได้เพียงกลืนคำเถียงนั้นลงคอ เดินกระแทกเท้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง สองมือน้อยๆ หยิบแฟ้มใบเขื่องสีฟ้าขึ้นมาเปิดดู จ๊อก~ แค่สายตามองเห็นตัวเลขที่เต็มหน้ากระดาษ ทำเอาสมุนน้อยๆ ภายในท้องร้องประท้วงขึ้นมาแทบจะทันที ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เพราะมัวแต่ง่วนกับการหาถุงผ้าเจ้าปัญหานั่น “ไม่มีมารยาท!” เสียงปรามาสดังมาจากคนที่นั่งอยู่ซ้ายมือตัวเอง เสียงท้องร้องนี่มันห้ามกันได้ด้วยเหรอ? อยากเถียงเขานะ แต่เก็บปากไว้รอกินข้าวดีกว่า ไม่อยากเสียพลังงานไปมากกว่านี้ ฉันไม่สนใจอีกหนึ่งชีวิตที่นั่งอยู่โต๊ะทำงานของเขา เอาเวลามาง่วนอยู่กับตัวเลขในแฟ้มตรงหน้า ไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่แล้ว รู้แค่ว่าพอเงยหน้าหันไปมองคนที่เคยนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ แต่ตอนนี้กลับไม่มีร่างสูงอยู่ตรงนั้น “ให้มันได้แบบนี้สิ ตัวเองไปพักได้ แต่ใช้แรงงานเราเยี่ยงทาสต่างเมือง” ปากมันไปไวกว่าความคิด พอรู้ตัวว่าคนเยือกเย็นไม่อยู่ในห้องนี้แล้วเลยบ่นออกไป ก็ได้แค่บ่นในเมื่องานตรงหน้ายังไม่เสร็จดี แต่พอเหลือบไปมองนาฬิกาตรงผนังอีกทีถึงได้รู้ว่า ที่ตาฉันกำลังจะปิดเป็นเพราะว่ามัน ตีหนึ่งแล้ว ให้ตาย! นี่ฉันนั่งจมจ่อมอยู่กับเอกสารตรงหน้าถึงสี่ชั่วโมงเลยเหรอ ไม่ไหวแล้วอะ อยากจะลุกไปนอนใจแทบขาด แต่ในเมื่อเจ้านายผู้โหดจัดไม่สั่ง ฉันเองก็คงไม่กล้าทำอะไรตามอำเภอใจ เดี๋ยวจะไปกระตุ้นต่อมโฉดเข้าให้แล้วมันจะซวยตัวเอง แต่เอาเข้าจริงๆ ฉันก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ ข้าวยังไม่ตกถึงท้อง นอกจากน้ำเปล่าหนึ่งเหยือก แถมตอนนี้เริ่มจะตึงๆ ที่เปลือกตาแล้ว มันเหมือนกับว่า ภาพตัวเลขที่อยู่ตรงหน้ามันแยกร่างได้ และเริ่มจะเลือนรางลงเต็มที ไม่ได้ ห้ามหลับนะไฉ่หง อีกนิด นิดเดียวก็จะ สะ เสร็จ ละ แล้ว ฟุบ~ [Yuuki’s part] เฮือก! ผมสะดุ้งตัวเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเผลอหลับไป นี่กะจะเข้ามางีบแค่ครึ่งชั่วโมงเองนะ แต่ดูจากร่างกายที่สดชื่น กระปรี้ประเปร่าแบบนี้แสดงว่าผมคงหลับไปไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงแน่นอน “กี่ทุ่มแล้ววะ” ลุกขึ้นนั่งได้เกือบนาที ผมก็เหลือบตามองนาฬิกาเรือนหรูที่ข้างเตียงนอน ฉิบหาย! “ตีหนึ่งแล้วเหรอวะ นี่หลับหรือตาย” บ่นๆ แต่ก็ยังคงก้าวขาลงจากเตียงนอน เดินหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำ เพราะตั้งแต่ไปส่งไอ้เทียนที่สนามบินกลับมาผมก็ยังไม่ได้อาบน้ำเลย คือตอนที่นั่งทำงานได้ประมาณครึ่งชั่วโมง แต่รู้เลยว่าสติตัวเองไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สายตาเอาแต่มองใครบางคนที่จริงจังกับกองงานตรงหน้า มองจนไม่อาจจะละสายตาไปทางไหนได้เลย และจังหวะที่ผมมองไฉ่หงเพลินๆ มันก็มีภาพของใครบางคนซ้อนทับขึ้นมา ภาพที่ผมไม่อยากจำ ไม่สิ! ไม่เคยลืมมันได้เลยสักเสี้ยวนาทีมากกว่า นั่นทำให้ผมหงุดหงิดจนต้องลุกเดินหนีเข้ามาในห้องนอนตัวเอง หลังจากที่ใช้เวลาอาบน้ำอยู่ไม่นาน ผมก็เดินมาห้องทำงานตัวเองทั้งๆ เสื้อคลุมอาบน้ำนั่นแหละ กะว่าจะมาดูยัยซื่อบื้อที่ขะมักขะเม้นกับงานกลับห้องตัวเองหรือยังเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว “เฮ้ย! ฉิบหาย” วันนี้ผมอุทานคำนี้กี่ครั้งแล้ววะ ไม่อยากเชื่อสายตา ภาพที่เห็นตรงหน้าคือร่างบอบบางของไฉ่หงที่ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเดิม ไม่ใช่นั่งสิ! ต้องบอกว่าเธอฟุบหน้าหลับทั้งๆ ที่มือก็ยังคงกำปากกาไว้แน่น อย่าบอกนะว่ายัยบ้านี่นั่งทำงานตั้งแต่สี่ทุ่มยันตอนนี้ ไม่รู้ว่าหลับลึกเกินไปหรือยังไง ขนาดผมเดินมายืนอยู่ตรงหน้าเธอยังไม่รู้สึกตัวอีก มุมปากผมขยับขึ้นเล็กน้อย ‘ยิ้มเหรอ?’ นี่เมื่อกี้ผมยิ้มให้กับไฉ่หงเหรอ รีบสะบัดหน้าเพื่อดึงหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ก่อนที่มือหนาจะเอื้อมไปสะกิดไหล่เรียวเบาๆ แต่ยังไม่ทันจะแตะถึงตัวเธอ ไฉ่หงก็ละเมอบางอย่างออกมา บางอย่างที่ทำให้ไอ้ก้อนเนื้อที่ไม่เคยจะเต้นแรงกลับสั่นไหวแปลกๆ “เดี๋ยวฝันร้ายจะหายไปเองนะคะ เพี้ยง” ริมฝีปากกระจับสีชมพูได้รูปเผยอขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับท่าทางการเป่าลมออกจากปากเหมือนกับคำพูดสุดท้ายที่หลุดรอดออกมาก่อนหน้า “ยัยบ้าเอ๊ย!” ผมชักมือกลับ เลิกสนใจผู้หญิงที่กำลังนอนหลับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวตรงหน้า หันหลังและสาวเท้ากลับไปยังห้องนอนตัวเองที่เพิ่งออกมาไม่กี่นาที ไม่อยากจะอยู่ตรงนั้นนานๆ เพราะมันรู้สึกกระอักกระอ่วนในหัวใจแปลกๆ ประโยคที่มันดังในความฝันผมเมื่อครั้งนั้น และเป็นประโยคที่ทำให้ฝันร้ายของผมหายไปทุกครั้งที่นึกถึงมัน ‘เดี๋ยวฝันร้ายจะหายไปเองนะคะ เพี้ยง’ ประโยคที่แสนธรรมดาแต่กลับมีอิทธิพลกับหัวใจมึงเพียงนี่เลยเหรอวะไอ้ยูกิ [End part]
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม