บทที่ 2 ประมุขที่น่าเกรงขาม?

2088 คำ
ตอนที่ซุ่นเหยากวานยังเด็ก ถูกบิดามารดาทอดทิ้งอันเนื่องจากภัยความอดอยาก แต่ต่อให้ไม่มีข้าวตกถึงท้อง ตัวเขากลับไม่เคยร้องไห้ หรือเปิดปากบ่น นั่นทำให้บุพการีเข้าใจว่าเขาเป็นใบ้ คิดว่าเป็นเด็กอัปมงคล เพียงอายุสองขวบก็พาเด็กชายมาทิ้งไว้ข้างถนน ในตอนที่เขาร่อนเร่อยู่ข้างถนนด้วยความหิวโหย กลับมีหญิงสาวผู้หนึ่งเก็บตนไปเลี้ยง ภายหลังทราบว่านางก็คือหร่วนฮูหยิน ภรรยาเอกของคหบดีแซ่หร่วน หร่วนฮูหยินเลี้ยงดูเขาได้ถึงเจ็ดปีก็คลอดธิดาหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง นามว่า อิ๋งซุย หนำซ้ำยังฝากให้เขาช่วยดูแลนาง แน่นอนว่าซุ่นเหยากวานต้องดูแลเด็กหญิงตัวน้อยประหนึ่งเจ้านายอีกคน ท่ามกลางการแก่งแย่งความโปรดปรานของบรรดาฮูหยินรองและเหล่าอนุคนที่สามและสี่ภายในบ้านสกุลหร่วน หร่วนฮูหยินและลูกของนางต้องกุมขมับด้วยความปวดหัวอยู่เสมอ ถึงแม้พวกนางจะมีพื้นที่สงบก็ตาม หากความวุ่นวายนั้นยังเกิดขึ้นไม่เว้นวัน บางทีอาจเกิดจากสภาพแวดล้อมเช่นนั้นจึงทำให้หร่วนอิ๋งซุยกลายเป็นคนที่ฝืนทำตัวให้เข้มแข็งก็เป็นได้ ซุ่นเหยากวานส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ อีกด้านหนึ่งก็เห็นใจเด็กสาวที่พบกับความไม่ยุติธรรมของบิดา และเมื่อใจลอยคิดมาถึงเรื่องนี้ เขาก็เดินมาถึงร้านขายยาพอดี จังหวะที่ชายหนุ่มกำลังหมุนตัวก้าวเดินเข้าไปในร้านขายยา เขาได้ชนเข้ากับชายผู้หนึ่งจนอีกฝ่ายล้มลง ซุ่นเหยากวานรีบหมุนตัวกลับมาหมายช่วยประคองผู้ถูกชน และต้องตกใจเพราะชายคนที่เขาชนมีหน้าตาละหม้ายคล้ายกับชายที่เคยช่วยชีวิตเขากับคุณหนูในตอนที่พวกเขาถูกดักปล้นนอกชานเมืองหนิงป่อไห่เมื่อสามวันก่อน เขาเบิกตาโต เอ่ยอย่างไม่รู้ตัว “ท่านคือคนที่...” แต่แล้วเขาก็หุบปากลง เพราะมีบางอย่างที่เขาคิดว่าไม่ถูกต้อง เมื่อมองพิจารณาชายตรงหน้าใหม่ เขาก็ยิ่งแน่ใจว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนเดียวกับผู้มีพระคุณในวันนั้น ชายคนนั้นกุมอก ใบหน้าเหมือนยังเมาค้างอยู่ “ข้าล้มหรือนี่” เขาพูดพลางหัวเราะเก้อเขิน “ขออภัยนายท่าน ผู้น้อยไม่ได้มีเจตนา อภัยให้ผู้น้อยด้วย” ซุ่นเหยากวานพูดพลางประสานมือค้อมตัวให้ และที่เขาเรียกอีกฝ่ายว่า ‘นายท่าน’ ไม่นับว่าเกินเลย เพราะคนผู้นี้สวมใส่อาภรณ์เนื้อดี และมีพู่ประดับที่ผูกกับสายคาดเอวสลักรูปงูใหญ่ ส่วนขอบเลี่ยมด้วยทองคำ ไม่ต้องประเมินอย่างละเอียด เพียงแค่เห็นพู่ประดับราคาสูงลิบก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้มีฐานะไม่ธรรมดา แตกต่างจากชายที่ช่วยเหลือตน “ไม่ต้องขอโทษข้าหรอก ข้าเองก็ดื่มหนักจนไม่ทันระวังตัวเอง” “ขอรับ” ซุ่นเหยากวานตอบ แต่ไม่วายพิจารณาคนตรงหน้า ถึงคนผู้นี้จะมีหน้าตาคล้ายกับคนที่ช่วยพวกเขาจากกลุ่มโจรที่ชานเมือง แต่ก็ไม่ได้มีปอยผมด้านหน้าเป็นสีขาว หรือแต่งตัวมอซอสักนิด มิหนำซ้ำ กระไอความน่ากลัวก็ไม่ได้กดทับในอกยามพบเห็น แต่กลับมีความสุภาพ มองแล้วรู้สึกว่าเข้าหาได้ง่ายมากกว่า ชายหนุ่มตรงหน้าจ้องมองตอบ และเลิกคิ้วเหมือนเพิ่งสังเกตเห็นอะไรบางอย่างในตัวของซุ่นเหยากวาน ก่อนจะพูดว่า “เจ้าไม่ใช่คนเมืองหนิงป่อไห่?” “ขอรับ” ซุ่นเหยากวานตอบด้วยท่าทางนอบน้อมทันที อีกหนึ่งที่จะเข้าถึงอีกฝ่ายก็คือการชวนคุย “แล้วมาจากที่ไหนหรือ” “มาจากเมืองหลวงขอรับ” ซุ่นเหยากวานตอบ แต่พอคิดขึ้นได้ว่าคำตอบของเขาไม่ทำให้อีกฝ่ายหายกังขา จึงพูดอีกว่า “ผู้น้อยเป็นพ่อบ้าน ติดตามคุณหนูมาดูแลร้านผ้าสกุลหร่วน แต่จะพูดให้ถูกก็คือ ตอนนี้เปลี่ยนชื่อร้านเป็นร้านผ้ามั่งมี ตั้งอยู่อีกสองตรอกถัดไปนี้เองขอรับ” “อ้อ ร้านผ้าที่ทำกำไรไม่ได้เลยร้านนั้นใช่หรือไม่” ชายหนุ่มพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาไม่ได้แสดงถึงการประชดประชันหรือเยาะเย้ย แต่ที่พูดล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ร้านผ้าสกุลหร่วนแห่งนั้นนับวันยิ่งค้าขายขาดทุน ซ้ำคนดูแลคนก่อนยังถือตัวอวดอ้างว่าเป็นคนจากเมืองหลวง ไม่ยอมเป็นพันธมิตรเข้าร่วมกลุ่มวาณิชในเมืองหนิงป่อไห่ หรือเข้าประชุมกับกลุ่มค้าขายด้วยกันสักครั้ง ก่อนที่หร่วนอิ๋งซุยจะถูกบิดาของนางไล่ให้มาอยู่ที่นี่ คนเฝ้าร้านคนเก่าได้หนีไปพร้อมกับสินค้าราคางามของร้าน นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ต้องแก้ไข “ขอรับ” ซุ่นเหยากวานยิ้มยอมรับ “จริงสิ ข้าฉางซุนไท่หยาง แซ่ฉางซุน ชื่อสองพยางค์ว่าไท่หยาง เป็นคนดูแลระบบการค้าในเมืองหนิงป่อไห่ หากมีปัญหาอะไรละก็ มาหาข้าที่พรรคงูใหญ่แห่งท้องทะเล ที่ตั้งพรรคถามกับคนแถวนี้เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” ซุ่นเหยากวานยิ้มอย่างเกรงอกเกรงใจให้กับฉางซุนไท่หยาง หรือก็คือประมุขพรรคงูใหญ่สาขาย่อย คนที่เขากับคุณหนูต้องการพบแต่ไม่ได้พบนั่นเอง จากนั้น ตนก็แนะนำตัวเองให้อีกฝ่ายรู้จักบ้าง “ผู้น้อยแซ่ซุ่น นามเหยากวานขอรับ ต่อไปต้องรบกวนประมุขฉางซุนแล้วขอรับ” พูดจบประโยคนี้ เขาก็ปั้นสีหน้าผิดหวัง “มีอะไรหรือ” เมื่อฉางซุนไท่หยางเอ่ยถาม ซุ่นเหยากวานก็พูดขึ้น “ความจริง วันนี้ ผู้น้อยกับคุณหนูเดินทางไปพบท่านที่พรรคงูใหญ่มาแล้ว แต่ว่า...” “อ้อ ข้าพอเดาออกแล้ว” ฉางซุนไท่หยางพูดอย่างเข้าใจอีกฝ่าย “อย่าเข้าใจผิดล่ะ ข้าเห็นท่าอ้ำอึ้งของเจ้าก็พอจะเดาได้ว่าคนของข้าแสดงกิริยาไม่ดี...ถ้าเช่นนั้น พรุ่งนี้ ยามซื่อ ลองมาที่พรรคงูใหญ่อีกทีแล้วกัน ข้าจะกำชับให้คนเฝ้าประตูเปิดประตูต้อนรับพวกเจ้า” ซุ่นเหยากวานยิ้มกว้าง รีบยกมือขึ้นมาประสาน “ขอบคุณประมุขฉางซุนขอรับ” ฉางซุนไท่หยางมองร้านขายยา ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมามองซุ่นเหยากวาน “ไม่สบายหรือ” “คุณหนูของผู้น้อยไม่สบายขอรับ” ฉางซุนไท่หยางพยักหน้า “คงเพราะลมแดดจึงทำให้พวกเจ้าที่มาจากเมืองหลวงป่วยง่ายกระมัง ปรับตัวได้เมื่อไรคงดีขึ้นเองละ” แล้วเขาก็หมุนตัวเดินตุปัดตุเป๋ออกไป ซุ่นเหยากวานย่นหัวคิ้วมองตามหลัง นึกสงสัยว่าคนที่ภายนอกไม่เอาไหนแบบนั้นจะเป็นคนดูแลระบบการค้าของเมืองหนิงป่อไห่จริงหรือ หากฉางซุนไท่หยางไม่ได้โกหก และทำให้ร้านผ้ามั่งมีกลับมาค้าขายได้อีกครั้ง ถึงไม่ได้รุ่งโรจน์เหมือนอย่างแต่ก่อน แต่หากทำกำไรได้ขึ้นมา หร่วนอิ๋งซุยก็ไม่ต้องจำนำเครื่องประดับของนางอีก นั่นเขาก็พอใจมากแล้ว ชายหนุ่มเดินเข้าร้านขายยา ส่งเทียบยาให้กับเถ้าแก่ และจ่ายเงินที่เป็นเงินเก็บของเขาตลอดที่ทำงานในบ้านสกุลหร่วน หลังจากซุ่นเหยากวานกลับเข้าร้านผ้า ย่ำเท้าเดินเข้าไปด้านหลังของร้านซึ่งเป็นเรือนพักหลังเล็ก แยกออกไปก็คือห้องครัว สวนเล็กๆ และเรือนพักคนงาน แต่ที่นี้ไม่มีคนงานอีกแล้ว คนที่เป็นกำลังได้ก็มีเพียงเขากับ หร่วนอิ๋งซุยเท่านั้น เมื่อมาถึงห้องครัว ชายหนุ่มแกะห่อยา และแบ่งออกมาต้ม ทำตามทุกขั้นตอนตามคำแนะนำในเทียบยา ระหว่างทำงานของตน เหยากวานมีสีหน้าครุ่นคิดตลอดเวลา ส่วนใหญ่ไม่พ้นเรื่องที่ว่าทำอย่างไรผ้าที่อยู่ในร้านถึงจะขายออก หรือทำให้ผ้าเหล่านี้มีมูลค่ามากขึ้น ระหว่างคิดเรื่อยเปื่อย ไม่นานนัก ควันสีขาวก็ลอยเหนือปากหม้อยาเนื่องเพราะยาต้มเดือดได้ที่ ชายหนุ่มยกหม้อยาลง และเทน้ำสีน้ำตาลเข้มใส่ถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาว สีของยาและถ้วยตัดกันอย่างเห็นได้ชัด อดไม่ได้ที่จะขมฝาดคอแทน หร่วนอิ๋งซุยไม่ชอบดื่มยา เพราะนางจำฝังใจเพียงรสขมๆ ของยาเท่านั้น เขาจึงหยิบน้ำตาลปั้นห่อหนึ่งติดมือมาด้วย ชายหนุ่มเดินถือถ้วยยาเข้ามาในห้องนอนของหร่วนอิ๋งซุย ร่างเล็กบางใต้ผ้าห่มหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่าหลับสนิทนานแล้ว เขาไม่กล้าเข้าไปปลุกนาง จึงถือถ้วยยามาวางลงบนโต๊ะกลมกลางห้อง แค่เรื่องที่นางถูกขับไล่ออกมาจากบ้านสกุลหร่วนก็นับว่าน่าสงสารมากพอแล้ว นี่ยังต้องมาตกระกำลำบากต่างถิ่น และหลังจากนี้จะมีอุปสรรคใดรออยู่ เขาคิดเรื่อยเปื่อยมาถึงตรงนี้ หน้าผากเล็กๆ ของเด็กสาวก็มีเหงื่อผุดซึม นางส่ายหน้าอย่างทุกข์ทรมาน ซ้ำยังส่งเสียงร้อง “อื้อๆ” เหมือนจะขาดใจ และเขาเดาว่านางคงกำลังฝันร้าย และพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลรินเหมือนที่ผ่านมา ตอนที่ถูกไล่ออกจากบ้าน นางไม่ได้ร้องไห้สักนิด แต่ยืดหลังตรง ใบหน้าเชิดสูง แม้กระทั่งขึ้นมานั่งในรถม้าแล้ว ทว่าไม่มีใครรู้หรอกว่าหร่วนอิ๋งซุยผู้ไม่แสดงความอ่อนแอออกมา ต้องแอบร้องไห้สักกี่ครั้ง ซุ่นเหยากวานถอนใจอีกคำรบ ตัดสินใจเดินเข้าไปแตะบ่าร่างเล็ก และส่งเสียงปลุก “คุณหนู ตื่นขอรับ” แพขนตาของหร่วนอิ๋งซุยขยับ ก่อนจะเปิดเปลือกตา นางกะพริบตาสองสามทีก็กลับมามีสติ แต่น้ำตายังขังคลอกลางดวงตา “พี่เหยากวานกลับมาแล้วหรือ” “ข้ากลับมาแล้ว” เขาบอก ก่อนจะเดินมาที่โต๊ะและถือถ้วยยาไปให้นาง หลังจากหร่วนอิ๋งซุยรับถ้วยยาไปดื่ม เหยากวานก็แกะห่อน้ำตาลปั้นรอนาง เด็กสาวกลั้นใจดื่มยาจนหมด ปากก็บ่นเอาแต่ใจ “แหวะ ขมจริง คราวหลังถ้ายาขมแบบนี้ ข้าไม่กินนะ” พูดจบนางก็รับน้ำตาลปั้นจากมือของเขาส่งเข้าปาก ชายหนุ่มยิ้มอ่อนใจ กี่ครั้งแล้วที่นางบ่นเช่นนี้ แต่ก็ยังยอมดื่มยาโดยดีมาตลอด “คุณหนู ตอนข้าไปซื้อยาให้ท่าน ข้าได้พบกับคนผู้หนึ่ง” ซุ่นเหยากวานพูดขึ้นตอนรับถ้วยยาจากนางมาถือ เรียวคิ้วของหร่วนอิ๋งซุยขมวดเข้าหากัน “ใครหรือ” เขายกยิ้มบนมุมปาก...และการทำเช่นนี้ แวบหนึ่ง เหยากวานนึกถึงคำพูดของหร่วนฮูหยินที่เคยบอกเขาทีเล่นทีจริงว่า ‘เหยากวาน สีหน้าของเจ้าแบบนี้ช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก’ ทว่า เขาไม่สนใจ การจะอยู่บนโลกใบนี้อย่างไม่ถูกรังแก คนเราจะต้องมีสิ่งที่ปกป้องตัวเองได้ และสิ่งนั้นสำหรับซุ่นเหยากวานก็คือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนที่หร่วนอิ๋งซุยจะรอนาน เขาตอบนางว่า “เป็นประมุขพรรคงูใหญ่สาขาย่อย ฉางซุนไท่หยางขอรับ” เป็นไปตามที่เขาคาดเดาเอาไว้ ดวงตาของนางมีประกาย และค่อนข้างกระตือรือร้น ทว่าครู่ต่อมาก็บ่นขึ้นว่า “หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นเจ้าถิ่น ข้าก็ไม่ยอมแบกหน้าไปทำดีด้วยหรอก ค้าขายอย่างไร ข้าก็ทำเป็น” “ขอรับๆ” ซุ่นเหยากวานตอบส่งๆ เพราะรู้นิสัยของนางดี ถึงหร่วนอิ๋งซุยจะบ่นเอาแต่ใจ ทำตัวเป็นคุณหนูเอาใจยาก แต่เนื้อแท้ก็ยังพยายามในแบบของนาง นั่นคือการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเถ้าแก่เนี้ยอย่างที่ตั้งใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม