เนื่องจากหร่วนอิ๋งซุยเกิดและเติบโตในตระกูลใหญ่ ถึงแม้งานหนักหรือการเข้าครัว นางจะไม่เคยแตะต้องมาก่อน แต่การปักผ้าหรือตัดเย็บชุดหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใด
หลังจากนางกับซุ่นเหยากวานช่วยกันเลือกผ้าที่มีในร้าน หญิงสาวก็ลงมือตัดเย็บเสื้อกันลมให้กับคนผู้นั้นด้วยสองมือของนางตลอดเจ็ดวัน
เช้าวันที่แปด หร่วนอิ๋งซุยก็กางเสื้อกันลมที่นางเพิ่งเย็บเสร็จสมบูรณ์ให้กับซุ่นเหยากวานดู เขาพยักหน้า ดวงตาเป็นประกาย ประหนึ่งต้องการบอกว่าเป็นชุดที่ดีและเหมาะสม เมื่อพับเสื้อที่นางเพิ่งเย็บเสร็จลงในกล่อง เขาก็พานางมาที่ชายป่าพร้อมกับเป็นฝ่ายถือกล่องของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ นั้น
เสื้อกันลมตัวนี้เป็นสิ่งที่นางออกแบบเอง เป็นเสื้อตัวยาวสีน้ำเงินเรียบๆ เย็บติดกับผ้าอีกสองชั้น รอบคอบุด้วยขนสัตว์ ถึงราคาจะไม่ได้แพงเท่าขนของจิ้งจอกขาว แต่กลับสวมใส่สบายและอบอุ่นพอดีตัว
ระหว่างเดินทางโดยมีซุ่นเหยากวานเดินนำหน้า และหร่วนอิ๋งซุยเดินตามหลัง ปากบ่นพึมพำว่าปวดขา แต่กลับไม่หยุดเดิน
ซุ่นเหยากวานส่ายหน้ายิ้มเอ็นดู
เดินอีกพักใหญ่ พวกเขาก็มาหยุดยืนหน้ากระท่อมเล็กและเก่าซอมซ่อหลังหนึ่ง ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ตะโกนเรียกคนด้านใน อาจจะชั่วพริบตา กระแสลมแรงก็มาพร้อมกับดาบทื่อๆ เล่มหนึ่งที่พาดบนคอของซุ่นเหยากวานเสียแล้ว
หร่วนอิ๋งซุยถอยหลังร้อง “เอ๊ะ!”
ขณะเดียวกัน ซุ่นเหยากวานยืนนิ่งเพราะไม่กล้าขยับสุ่มสี่สุ่มห้า
ต่อเมื่อเด็กสาวตั้งสติได้ นางก็บอกด้วยสุ่มเสียงเนิบช้าทั้งที่ใจร้อนรนแทบบ้า
“ท่านผู้มีพระคุณ ได้โปรดลดดาบของท่านลงก่อนได้หรือไม่ พวกเราไม่ได้มาร้าย”
ชายแต่งตัวมอซอผู้มีผมปอยหน้าเป็นสีขาวเลื่อนสายตาคมกริบมาทางหร่วนอิ๋งซุย เลิกคิ้วคล้ายตั้งคำถามโดยไม่พูดอะไร
ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดหร่วนอิ๋งซุยถึงเข้าใจความหมายผ่านทางสีหน้านั้น นางพูดพร้อมชี้ที่กล่องในมือของซุ่นเหยากวาน
“ท่านเห็นกล่องนั่นหรือไม่ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมอบของตอบแทนบุญคุณแก่ท่าน จริงสิ ข้ากับพี่ชายคือคนที่ท่านช่วยเหลือเมื่อหลายวันก่อน ตรงชานเมืองนั่น ท่านจำได้หรือไม่”
ชายคนนั้นยืนนิ่ง อาจกำลังครุ่นคิด แต่เพียงไม่นาน เขาก็ยอมลดดาบทื่อๆ ลง มือตกลงแนบลำตัว
“ถ้าอย่างนั้น ขอข้ากับพี่ชายเข้าไปนั่งในบ้านท่านได้หรือไม่”
หร่วนอิ๋งซุยพูดพร้อมชี้ไปทางระเบียงบ้าน ซึ่งเป็นพื้นไม้ที่ยกสูงจากพื้นเล็กน้อย
ซุ่นเหยากวานได้ยินดังนั้นก็แปลกใจ หร่วนอิ๋งซุยที่ไม่เคยลดตัวลงไปสุงสิงกับคนอื่นกำลังร้องขอเข้าไปนั่งที่ระเบียงบ้านเก่าๆ อย่างไม่นึกรังเกียจอย่างนั้นหรือ!?
ถึงจะประหลาดใจ ทว่า ซุ่นเหยากวานกลับรู้สึกว่าคุณหนูหร่วนสามารถปรับตัวเข้าหาผู้อื่นได้อีกก้าวหนึ่งแล้ว
ความเป็นมิตรแบบนี้ หร่วนอิ๋งซุยไม่มีทางแสดงออกหากไม่ใช่คนสนิท แต่ไม่รู้ทำไมกับชายมอซอคนนี้ นางกลับพูดกับเขาอย่างใจเย็น หากจะบอกว่าเผลอวางตัวสนิทสนมก็น่าจะได้
หลังจากเขาคนนั้นขมวดคิ้วคิดอะไรบางอย่าง ก็พูดขึ้น
“ที่นี่ไม่มีชาให้พวกเจ้าดื่ม มีก็แต่เพียงน้ำเปล่า พวกเจ้าจะยังเข้ามานั่งอีกหรือไม่”
น้ำเสียงที่แหบและกระด้างของเขาไม่เพียงพอให้หร่วนอิ๋งซุยถือสา อันที่จริง หลังจากได้ยินน้ำเสียงของเขา นางค่อนข้างเห็นใจมากกว่า เพราะน้ำเสียงที่เปล่งออกมาเหมือนกับว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้พูดคุยกับใครนานแล้ว
“แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว” เด็กสาวบอก
เขามองตรงมาที่นางอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่ได้ผละสายตาออกไปทันที กลับจ้องมองนานเนิ่น ราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่างบนใบหน้าของนาง ไม่สิ คล้ายจะมองให้ทะลุถึงหัวใจของนางด้วยซ้ำ
ตลอดเวลาที่เขามองอิ๋งซุยนิ่งๆ หัวใจของหญิงสาวเต้นตึกตัก ร่างกายถูกความระส่ำระสายเล่นงานจนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง และเพราะนางทำอะไรไม่ถูก นิสัยยโสของคุณหนูใหญ่จึงกำเริบขึ้นมา
“ทะ...ท่านหลุบตามองพื้นเดี๋ยวนี้นะ ห้ามมองข้าเช่นนั้น!”
“คุณหนู?” ซุ่นเหยากวานทำหน้าประหลาด ก่อนจะเอ่ยเตือน
ถึงชายคนนี้จะมองคุณหนูของเขานานจนน่าสงสัย แต่สายตาของเขาไม่ได้จาบจ้วง เป็นสายตาบริสุทธิ์เหมือนสายตาของสัตว์ตัวน้อยขี้สงสัย บริสุทธิ์เสียจนทำคนเกลียดไม่ลง และซุ่นเหยากวานเองก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดอีกฝ่าย
หร่วนอิ๋งซุยได้ยินคำพูดของซุ่นเหยากวานก็ได้สติ ก่อนจะเป็นฝ่ายหลุบตามองพื้นเสียเอง
นางลืมตัวไปได้อย่างไร ลืมกระทั่งแสดงกิริยาร้ายกาจใส่ผู้มีพระคุณ อีกอย่าง ในตอนนั้น คนพวกนั้นทั้งหวาดกลัวและต่อว่าเขาว่าเป็นปีศาจ นอกจากเขาจะพูดด้วยความเศร้าว่า ‘ข้าไม่ใช่ปีศาจ’ ก็ไม่ได้ไล่ล่าสังหารคนทั้งหมดเสียหน่อย
หร่วนอิ๋งซุยช้อนตาขึ้นมองเส้นผมสีขาวดุจคนสูงวัยที่พลิ้วไหวยามกระแสลมพัดวูบ แล้วเลื่อนสายตามองหน้าของเขา
ชายหนุ่มนิ่งเฉย ไม่ได้สะทกสะท้านต่อคำพูดของนางก่อนนั้น นั่นทำให้เด็กสาวโล่งใจ แต่พอเห็นว่าในดวงตาของเขาฉายแววโดดเดี่ยว นางก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้ง
เขากำลังรู้สึกโดดเดี่ยว และคงเป็นเช่นนี้มานานแล้ว...
“ขะ...ขอโทษ”
เด็กสาวพูดแค่นั้นก็หันมองซุ่นเหยากวาน
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามชายตรงหน้าเพื่อแก้ไขสถานการณ์อึดอัด
“ท่านมีนามว่าอะไรหรือ”
แววตาของชายหนุ่มผมขาวหม่นแสงลงเมื่อได้ยินคำถามของซุ่นเหยากวาน คล้ายกับว่าชื่อเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวด แต่เขาก็ยอมตอบสั้นๆ ว่า
“เสวี่ย”
น้ำเสียงแหบกระด้าง เขาไม่ได้สนทนากับใครนานแล้วไม่ผิดแน่ ซุ่นเหยากวานคิดประเมิน แล้วทวนชื่อของผู้มีพระคุณ ก่อนจะเอ่ยถามต่อ
“เสวี่ย? แค่เสวี่ยพยางค์เดียวอย่างนั้นหรือ”
เขาพยักหน้า มาดว่าสีหน้านิ่งเฉย แต่หากมองดีๆ จะพบว่ามีแววเจ็บปวดบนใบหน้าของเขาด้วย นั่นหมายความว่าเขาไม่มีแซ่...ไม่ใช่สิ เขาต้องมี เพียงแต่แซ่นั้นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดจนต้องปิดบัง
พอคิดแบบนั้น ความสงสัยของหร่วนอิ๋งซุยกับซุ่นเหยากวานเปลี่ยนเป็นความเห็นใจ
นอกจากเสวี่ยไม่ค่อยได้พูดคุยกับผู้คนอื่น เขายังไม่เคยคุยกับใครมากกว่าสองประโยคด้วยซ้ำ จึงค่อนข้างไม่คุ้นชินกับการพูดประโยคยาวๆ
เอาละ อย่างน้อย พวกเขาก็รู้ชื่อของอีกฝ่าย แม้ฝ่ายนั้นไม่ได้บอกแซ่ให้รับรู้ก็ตาม แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
คราวนี้เป็นฝ่ายซุ่นเหยากวานแนะนำบ้าง เขายกมือขึ้นทาบลงบนหน้าอกของตนเองและเริ่มพูด
“ข้าแซ่ซุ่น นามว่าเหยากวาน” จากนั้นก็วาดมือไปทางเด็กสาวร่างเล็กที่ยืนด้านข้าง “ส่วนนางคือคุณหนูของข้า แซ่หร่วน นามว่าอิ๋งซุย”
พอแนะนำตัวเสร็จ พวกเขาก็พบว่าเสวี่ยทำสิ่งเหนือความคาดหมายนั่นคือ เขาชี้นิ้วมาทางซุ่นเหยากวานก่อนจะวาดนิ้วไปทางหร่วน
อิ๋งซุย แล้วพูดออกมา
“ซุ่นเหยากวาน หร่วนอิ๋งซุย”
เหมือนสอนเด็กหัดพูด ซุ่นเหยากวานคิด แต่เขาก็มีสติพอจะผงกศีรษะและบอก
“ใช่ ถูกต้องแล้ว”
ทางด้านหร่วนอิ๋งซุยหลังจากนิ่งอึ้งนิดๆ นางก็เผลอยิ้มหวาน นั่นทำให้เสวี่ยหันกลับมาจ้องมองนาง และเด็กสาวก็ใจเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง
เสวี่ยมองหนึ่งสตรีและหนึ่งบุรุษผู้มาเยือนอย่างไม่เข้าใจความคิดของพวกเขา
กระทั่งคนทั้งสองนั่งลงบนพื้นหน้าบ้านด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ ไม่มีความเหยียดหยามหรือรังเกียจในแววตา อะไรบางอย่างก็กระแทกใส่อกเขาอย่างจัง
คนพวกนี้ประสาทแล้วหรืออย่างไร ผู้อื่นต้องการหนีให้ห่างจากเขา แต่ทั้งสองกลับเดินเข้ามาหา
“ข้าแปลกใจนานแล้ว ทำไมที่นี่ไม่มีศาลาล่ะ” หร่วนอิ๋งซุยเอ่ยถามตรงไปตรงมา พอเห็นว่าเสวี่ยไม่ตอบ นางก็ยกมือขึ้นปิดปากเหมือนว่าตนพูดอะไรผิดไป
“ข้าไม่ชอบ” เขาตอบสั้นๆ
ว่ากันตามจริง เขาไม่เคยมีความคิดละเอียดอ่อนอย่างเช่น การทำศาลาไว้สำหรับแขกที่มาเยือน เพราะตั้งแต่ลืมตาดูโลก นอกจากมารดาแล้วก็ไม่มีใครยินดีเข้าใกล้เขา แล้วจะมีแขกที่ไหนมาหา
เมื่อเจ็ดปีก่อน หลังจากมารดาสิ้นใจ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าชีวิตของคนเราช่างสั้นนัก จึงไม่มีความจำเป็นต้องเข้าใกล้ใครหรือพูดคุยกับใครเพื่อให้คนพวกนั้น เหนืออื่นใด เขาไม่อยากเห็นสีหน้าหวาดกลัวของผู้คนเหล่านั้น
ทั้งที่เป็นมนุษย์เหมือนกันแท้ๆ ทำไมทุกคนถึงหวาดกลัวเขาล่ะ
แต่ทว่า การที่คนทั้งสองที่มาจากต่างเมืองยินดีเข้าหาเขาก่อน ละทิ้งความเป็นผู้ดี เอ่อ...เรื่องนี้ เสวี่ยมองจากผิวพรรณของเด็กสาว และคาดเดาว่านางคงมาจากตระกูลใหญ่ แต่นั่นแหละ พวกเขานั่งลงบนพื้นไม้หน้าระเบียงบ้านของเขาอย่างไม่ถือตัว
พูดกันตามจริงแล้ว ท่าทางเป็นกันเองของคนทั้งสอง ทำให้ชั่วแวบหนึ่งเกิดความคิดที่ว่า อยากสร้างศาลาไว้สำหรับนั่งเล่น อยากต้อนรับพวกเขาอีกครั้ง อยากพูดคุยด้วย...
แต่ทว่า อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าสวรรค์จะเล่นตลกกับคนโดดเดี่ยวอย่างเขา ส่งสหายมาให้ และไม่นานก็พรากจากไป
เหมือนพรากมารดา พรากคนในครอบครัว ไม่เว้นแม้แต่บิดาที่ไม่เคยเห็นหน้าคนนั้น
บนโลกใบนี้ สิ่งที่ไม่เข้าใจและคาดเดาไม่ได้ก็คือความคิดของมนุษย์ บางที การเลี้ยงสัตว์ให้เชื่องยังเป็นอะไรที่ง่ายดายเสียกว่าสร้างมิตรกับมนุษย์ด้วยกันเอง...
“ท่านเสวี่ย ไม่มีชาไม่ว่ากันหรอก แต่ขอดื่มน้ำสักจอกได้หรือไม่ พวกเราเดินเท้ามาไกลพอควรเชียวละ”
บุรุษนามซุ่นเหยากวานพูดอย่างนุ่มนวล ซึ่งคำพูดนั้นทำให้เสวี่ยหลุดจากภวังค์ความคิดของตน
เขาพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในกระท่อมเล็กๆ ยกชุดน้ำชาที่ไม่มีชา มีเพียงแค่น้ำเปล่าออกมาให้กับแขกผู้มาเยือนดื่ม
ทั้งสองคนดื่มน้ำอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์ มันทำให้หัวใจของเขาสั่นสะเทือนเหมือนภูผากำลังเคลื่อนตัวแยกออกเป็นสองส่วน
เสวี่ยยกมือขึ้นจับเสื้อบริเวณหน้าอก เป็นครั้งแรกที่ตรงนี้สั่นไหว
หลังจากทั้งสองคนดื่มน้ำชื่นใจแล้ว ซุ่นเหยากวานมอบกล่องใบหนึ่งให้กับเสวี่ย ก่อนจะอธิบาย
“นี่คือของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ท่านเสวี่ยโปรดรับไว้ด้วย”
เสวี่ยจ้องมองกล่องในมือของชายหนุ่ม นานทีเดียวกว่าเขาจะยอมยื่นมือออกไปรับมา
จากนั้น คนทั้งสามก็นั่งจ้องหน้ากันอยู่สักพักใหญ่ๆ ระหว่างนั้นมีเสียงนกร้อง เสียงกระแสลมต้องใบไม้ ต้นไผ่เสียดสีดังเอี๊ยด เสียงธารน้ำไหลจากที่ไกล กลิ่นดอกไม้ ทุกสิ่งอย่างเป็นธรรมชาติ เงียบสงบและร่มรื่น
หร่วนอิ๋งซุยมองรอบบริเวณ สายตาของนางคล้ายสังเกตอยู่ตลอด
เสวี่ยรู้สึกอาย กลัวว่านางจะดูถูก แต่ก็อยากรู้ว่าเด็กสาวกำลังคิดอะไร
ในที่สุดแล้ว เด็กสาวก็เอ่ยขึ้น
“จริงสิ พวกเรามาที่นี่อีกได้หรือไม่ ข้ารู้สึกว่าที่นี่เงียบสงบคล้ายกับเรือนพักของท่านแม่ข้า”
มีวูบหนึ่งที่เสวี่ยตกตะลึง แต่แล้วเขาก็พยักหน้าเป็นคำตอบว่า ‘ได้’ จากนั้นก็จ้องมองอิ๋งซุยนิ่งๆ ค้นหาว่านางต้องการมาที่นี่อีกจริงๆ หรือ หรือแค่โกหกไปอย่างนั้นเอง ทว่าไม่มีความหลอกลวงในดวงตาของเด็กสาว ไม่มีความไม่บริสุทธิ์ใจบนสีหน้าของนาง
นาง...พูดความจริง
ยากนักจะพบคนประเภทเดียวกับนางในเมืองหนิงป่อไห่นี้ ซื่อตรง จิตใจดีงาม
ตลอดการจ้องมอง จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหัวใจของนางเต้นแรงขึ้นทุกชั่วขณะ
แปลกจัง ทำไมหัวใจของนางถึงเต้นแรง ตรงแก้มทั้งสองข้างก็แดงขึ้นมาเล็กน้อย
ในเมืองหนิงป่อไห่ เขาไม่เคยได้ยินเสียงหัวใจของใครเต้นแรงเช่นนางมาก่อน นั่นเพราะทุกคนที่อยู่ต่อหน้าเขามักจะมีเสียงหัวใจเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัวทั้งสิ้น
นางแตกต่าง
เขายิ่งแตกต่าง