ราเอลแสดงอาการไม่พอใจให้เห็นกับคำรายงานล่าสุดของฟรานส์ น้ำเสียงที่เอ่ยถามในประโยคต่อมาจึงเริ่มแข็งห้วนตามอารมณ์ที่ปะทุเดือดขึ้นมาทีละนิด
“ไม่แน่ใจว่าริวาเก็บของไว้ในเซฟ? หมายความว่าคนของเรายังไม่ได้เปิดเซฟใช่ไหม”
“ครับเจ้านาย”
“ทำไม? ทำไมถึงยังไม่เปิดเซฟ”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามห้วนจัด พอๆ กับใบหน้าคมเข้มถมึงทึง ดวงตาวาวโรจน์เพราะความโกรธและไม่พอใจกับการทำงานของลูกน้อง
“คือว่า...เจ้าของรีสอร์ทไม่ยอมให้คนของเราเปิดเซฟครับ” คำตอบของฟรานส์ไม่ได้ทำให้ราเอลพอใจแม้แต่นิดเดียว
“แค่เจ้าของรีสอร์ทเพียงคนเดียว ทำไมถึงจัดการไม่ได้!”
เพราะความเคยชิน หากอยากได้อะไร เจ้าพ่ออย่างราเอลต้องได้รับในสิ่งที่ต้องการเสมอ เมื่อลูกน้องทำงานไม่ได้ดั่งใจ ก็ยิ่งโกรธจัดไม่ต่างจากราชสีห์กำลังพิโรธ
“คนของเราบอกว่า เจ้าของรีสอร์ทมีปืนอยู่ในมือ เธอยืนขวางทางเข้าประตูไว้ ขู่ว่าหากใครเข้าไปรื้อค้นภายในรีสอร์ทอีก และหากพยายามจะเปิดเซฟให้ได้ เธอจะยิงไม่เลือกหน้า”
“แค่เจ้าของรีสอร์ทแก่ๆ คนหนึ่งถือปืนขู่ เดนตายพวกนี้ก็กลัวหัวหดไม่ยอมเข้าไปเปิดเซฟ เลี้ยงเสียข้าวสุก!”
“ผมคิดว่าคงมีอะไรมากกว่านั้น คนของเราถึงไม่กล้าเข้าไปเปิดเซฟในรีสอร์ท” ฟรานส์พยายามแก้ต่างให้กับลูกน้อง แต่ราเอลไม่สนใจเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น
“พวกนี้เป็นเดนคน เป็นทหารรับจ้าง เรานึกภาพไม่ออกว่าผู้ชายตัวใหญ่ไม่ต่างจากยักษ์ปักหลั่น ทำไมถึงหวาดกลัวหัวหดกับหญิงแก่ๆ แค่เพียงคนเดียว”
“เอ่อ...ผมก็ไม่ทราบ...”
“พอแล้วฟรานส์ ไม่ต้องแก้ตัวให้ลูกน้องอีกแล้ว เหม็นขี้ฟัน” ราเอลยกมือห้าม พร้อมกับเค้นเสียงสั่งแทรกออกมาก่อนฟรานส์จะพูดจบ
“เราจะเป็นคนไปเปิดเซฟในรีสอร์ทแห่งนั้นเอง ให้มันรู้ไปว่าเจ้าพ่ออย่างเราจะเอาชนะผู้หญิงแก่ๆ เพียงคนเดียวไม่ได้”
ในเมื่อลูกน้องทำงานไม่ได้เรื่อง เจ้าพ่ออย่างราเอล ที่ไม่เคยยอมสยบให้กับใครหน้าไหน จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง
ได้ยินคำพูดของผู้เป็นเจ้านายแล้ว ทำเอาฟรานส์ถึงกับขนหัวลุก นึกหวาดกลัวแทนเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ ที่กำลังจะตกอยู่ในอุ้มมือของราเอล อัล จอร์โคร์
“เจ้านายครับ เป็นไปได้ไหมครับ ที่คุณริวาอาจจะถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ เหมือนที่ตำรวจทั้งในประเทศไทยและอิตาลีต่างก็คิดว่าเป็นนั้น”
ความกราดเกรี้ยวที่อยู่กับใบหน้าคมเข้มของราเอลจางหายไปในทันทีกับคำถามของฟรานส์ นาทีนี้มีความเป็นห่วง เป็นกังวลในตัวลูกชายเข้ามาแทนที่ มือใหญ่ยกขึ้นลูบใบหน้าของตัวเอง หลับตาลงครู่หนึ่งเพื่อปิดบังความรู้สึกผิดไว้ ไม่ให้ฟรานส์เห็น ก่อนจะเอ่ยตอบออกมาได้
“เราไม่แน่ใจ ว่าจะเป็นการจับตัวเรียกค่าไถ่หรือเปล่า”
“ผมสืบรู้มาว่าภูเก็ตเป็นแหล่งของมาเฟีย ทั้งที่เป็นคนไทยเอง หรือพวกชาวต่างชาติที่มาทำมาหากินที่นี่ และตั้งตัวเป็นใหญ่ เป็นมาเฟียคอยลักพาตัวนักท่องเที่ยวเพื่อเรียกค่าไถ่ ซึ่งผมได้แต่หวังว่าคุณริวาจะไม่ถูกมาเฟียพวกนี้จับตัวไป”
“เราก็ภาวนาเช่นนั้น ฟรานส์ ภาวนาว่าอย่าให้ริวาเป็นที่ต้องตาต้องใจของมาเฟียพวกนี้ แต่เรายังมีความหวังว่าริวาอาจจะไม่ได้ถูกจับตัวไปก็ได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง คนร้ายน่าจะติดต่อหาเราตั้งแต่วันแรกๆ ที่ริวาหายตัวไป”
ใช่! เขาได้แต่ภาวนาให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดี ภาวนาว่าลูกชายคนเดียวของเขาไม่ได้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของพวกมาเฟีย ที่มีอยู่ทั่วจังหวัดภูเก็ต
“ถ้าคุณริวาถูกจับตัวไป และหากพวกมันทำร้ายคุณริวา ผมจะตามล้างตามเช็ดมาเฟียพวกนี้จนถึงที่สุด”
คำพูดซึ่งเป็นไม่ต่างจากคำสาบานของฟรานส์ สร้างความพึงพอใจให้กับราเอลเป็นอย่างมาก แน่นอนว่า ถ้าหากริวาเดินไปสะดุดตอ ถูกมาเฟียจับตัวไปจริง และหากคนเหล่านั้นทำร้ายริวาแม้แต่ปลายเล็บ คนอย่างราเอล อัล จอร์โคร์ เจ้าพ่อแห่งอัซซูรี จะไม่มีทางปล่อยพวกมันไว้เช่นเดียวกัน เขาจะจัดการคนที่ทำร้ายริวาชนิดที่ว่าถอนรากถอนโคนไม่ให้เหลือซาก!
“เราพยายามคิดในทางที่ดีว่า บางทีริวาอาจจะประท้วงเรา เรียกร้องความสนใจจากเรา จึงไม่ยอมติดต่อหาเราเลย”
ฟรานส์รู้ดีว่าเพราะเหตุใดผู้เป็นเจ้านายถึงได้พูดออกมาเช่นนี้ อีกทั้งรู้ว่าเจ้านายโทษว่าเป็นความผิดของตนเองทั้งหมด ที่ทำให้ลูกชายต้องหนีออกจากบ้าน
“เจ้านายครับ เจ้านายไม่ผิดหรอกครับ”
ราเอลมองหน้าฟรานส์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบออกมา “เราเป็นคนผิด ฟรานส์ ถ้าหากเราไม่บ้างานเกินไป และหากเราไม่ลงมือทำร้ายริวาในคืนวันนั้น ริวาคงไม่หนีออกจากบ้าน หนีเรามาไกลถึงประเทศไทย”
“แต่ที่เจ้านายทำลงไปก็เป็นเพราะว่าเป็นห่วงคุณริวานะครับ” ฟรานส์พยายามพูดเพื่อให้ผู้เป็นเจ้านายรู้สึกผิดน้อยลงไปกว่าที่เป็นอยู่
“ใช่ เราห่วงริวา แต่บางครั้งเราก็ทำงานหนักเกินไป สนใจแต่เรื่องงาน จนไม่มีเวลาให้กับริวา”
ราเอลถอนหายใจยาว ขณะนึกถึงเหตุการณ์ในคืนวันที่เขาทะเลาะกับลูกชายใหญ่โตจนบ้านแทบจะมอดไหม้ เพราะเพลิงโกรธที่มีต่อลูกชาย
‘พ่อครับ อีกไม่กี่วันก็จะซัมเมอร์แล้ว ผมอยากไปเที่ยวครับ’
ริวา อัล จอร์โคร์ หนุ่มน้อยในวัยสิบแปดปี ได้เอ่ยร้องขอกับบิดา ซึ่งไม่ได้สนใจคำขอของลูกชาย เพราะราเอลกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับงานที่เอากลับมาทำที่บ้านด้วย
‘อยากไปเที่ยว ก็ไปสิริวา จะมาบอกพ่อทำไม’ ราเอลเอ่ยบอกเสียงราบเรียบ โดยไม่ได้เงยหน้ามองสีหน้าของลูกชายแม้แต่นิดเดียว
‘ผมอยากให้พ่อพาผมไปเที่ยว ผมอยากไปเที่ยวกับพ่อครับ’ ริวายังคงต้องการเช่นนั้น เกือบสิบปีแล้ว ที่เขาและผู้เป็นพ่อไม่เคยได้ออกไปเที่ยวพักผ่อนด้วยกัน
‘ทำไมต้องให้พ่อพาไปด้วย แกอยากไปเที่ยวก็ไปสิ’ ราเอลยังคงเอ่ยตอบเสียงราบเรียบ ดวงตาคมกริบจับจ้องมองอยู่บนหน้าจอโน๊ตบุ้ค อ่านรายงานที่ลูกน้องกำลังส่งมาให้ผ่านทางอีเมล์
ริวาลอบกัดฟัดแน่น มองโน๊ตบุ้คสลับกับใบหน้าของผู้เป็นบิดา พลางเอ่ยบอกต่อ โดยได้แต่หวังว่าบิดาจะให้ความสนใจเงยหน้ามองหน้าเขาบ้าง
‘ผมอยากไปเที่ยวกับพ่อจริงๆ นะครับ เราไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันนานแล้วนะครับ...พ่อ’