สี่เดือนต่อมา
หญิงสาวแห่งหมู่บ้านหลี่ผะต่างชวนกันเดินลงจากดอยไปที่ตลาดกันอีกครั้ง พวกเธอสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาเพราะไม่ใช่เทศกาลปีใหม่ แต่ในย่ามของพวกเธอมีเสื้อปักอย่างสวยงามพับอยู่ในนั้น
“คุณน้าเจ้าของร้านผลไม้คงจะซื้อเสื้อของพวกเราทุกคนเลยนะคราวนี้” หมี่โตพูด ในย่ามของเธอมีเสื้อตัวสวยพับอยู่ในนั้น
“ถ้าได้เงินถึงห้าสิบเหรียญเงิน ฉันคงดีใจจนนอนไม่หลับ” หญิงสาวคนหนึ่งพูด
“สำหรับฉันคงจะซื้อของจนเงินหมดที่ตลาดนั่นแหละ”
เพื่อนอีกคนพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เธอเองก็มีความหวังว่าจะสามารถขายเสื้อได้ราคาสูง สี่เดือนที่ผ่านมาเธอเรียนรู้การปักผ้าจากหมี่โตและการประดับลูกปัดจากหมี่รอง เธอตั้งใจทำเสื้อตัวนี้อย่างดีที่สุดเพื่อจะขายให้กับหญิงปากแดงเจ้าของร้านผลไม้
เสียงพูดคุยหยอกเย้าดังเรื่อยไปจนถึงตลาด
เมื่อถึงย่านร้านค้าหญิงสาวทั้งเจ็ดคนเริ่มมองเห็นบางสิ่งสะดุดตา พวกเธอกระซิบพูดกัน
“พวกผู้หญิงที่มาเดินซื้อของใส่เสื้อลายเดียวกับเสื้อปักของพวกเราเลย”
“นั่นสิ”
“คนนั้นก็สวมเสื้อเหมือนกับลายที่ฉันปัก”
“มันไม่ใช่ผ้าทอ และลวดลายที่เห็นก็ไม่ใช่ลายปัก”
“ฉันรู้แล้ว เสื้อแบบนั้นเรียกว่าเสื้อยืดพิมพ์ลาย เป็นเสื้อราคาถูก มันทำมาจากโรงงาน”
“ใช่ละ พี่ชายฉันเล่าให้ฟังว่ามีเครื่องจักรที่ปั่นด้ายไนลอนและทอผ้าได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นยังมีเครื่องพิมพ์ลายผ้า เสื้อที่มีลวดลายแบบที่พวกเราปักพวกเจ้าของโรงงานคงใช้เครื่องจักรทำออกมาขายในราคาถูกๆ”
“โอ้ อย่างนั้นหรือ”
กลุ่มหญิงสาวชาวหมู่บ้านหลี่ผะเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้า พวกเธอมองเห็นเสื้อที่แขวนไว้บนราวหน้าร้าน
“นั่นไง เสื้อยืดที่มีลวดลายปักผ้าของพวกเรา”
“พวกเขาเอาลายปักพวกนี้มาจากไหนกัน”
“ก็จากเสื้อที่พวกเราขายให้แม่ค้าร้านผลไม้อย่างไรล่ะ”
หญิงสาวทั้งเจ็ดเดินเลี้ยวอีกสองครั้งก็มาถึงย่านที่ขายผลไม้ ทั้งหมดเดินสะพายย่ามตามกันไปจนถึงแผงร้านของหญิงปากแดง วันนี้นางขายผลมะม่วงสุกสีเหลือง
“จะซื้ออะไร” หญิงเจ้าของร้านชะโงกหน้าออกมาจากผลมะม่วงที่เรียงซ้อนกันอย่างน่าดู มีชะลอมพลาสติกสีสันสวยงามใส่ผลไม้อื่นๆ แขวนไว้ด้านบน
“คุณน้าจำพวกเราได้ไหมจ๊ะ” หมี่โตส่งเสียงถาม
หญิงปากแดงมองเด็กสาวทั้งเจ็ดอึดใจหนึ่ง แล้วนางก็พยักหน้า
“อ้อ พวกสาวชาวดอยนี่เอง วันนี้มาเที่ยวกันหรืออย่างไร”
หมี่โตสั่นหน้า “พวกเราตั้งใจมาหาคุณน้าที่ร้านนี้ เรามีเสื้อมาขายจ้ะ”
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนนะ ฉันไม่ได้บอกให้พวกเธอทำเสื้อมาขายใช่ไหม หรือฉันบอกแต่จำไม่ได้” หญิงปากแดงยกนิ้วขึ้นเกาศีรษะ
“คุณน้าบอกว่าถ้าเราทำอะไรสวยๆ งามๆ ก็ให้เอามาขายคุณน้า ฉันกับเพื่อนเลยทำเสื้อสวยๆ งามๆ มาคนละตัว เราใช้เวลากันถึงสี่เดือนเลยนะจ๊ะนับตั้งแต่วันที่คุณน้าซื้อเสื้อของพวกฉันไป” หมี่โตอธิบาย
หญิงปากแดงยกมือขึ้นในท่าห้ามก่อนอธิบายอย่างยืดยาว
“นี่ พวกเธอ ฉันจะเล่าให้ฟังนะ ครั้งที่แล้วที่ฉันซื้อเสื้อสวยของเธอไป” นางชี้ที่หมี่โตและหมี่รอง “ลูกสาวสองคนของฉันเอาไปสวมใส่ในวันเลี้ยงฉลองของคนตระกูลเดียวกัน ทีนี้มีญาติฉันคนหนึ่งเป็นเจ้าของโรงงานทำเสื้อยืดอยู่ในงานเลี้ยงนั้นด้วย เขามองเห็นลวดลายปักประดับประดาที่สวยงามบนตัวเสื้อที่ลูกสาวฉันสวม เขาสอบถามฉันว่าเสื้อสองตัวนั้นซื้อมาจากไหน ฉันบอกเขาไปว่าฉันซื้อจากสาวดอยที่สวมติดตัวมา เป็นเสื้อทำเสร็จใหม่เพิ่งใช้เป็นครั้งแรก ทำด้วยมือทุกขั้นตอนตั้งแต่ปลูกฝ้ายไปจนถึงปักลูกปัด ไม่มีตำหนิใดๆ ยังมีเหลืออีกห้าตัวเขาสนใจจะซื้อไหม เขาบอกสนใจ แล้วเขาก็มาซื้อเสื้อพวกนั้นไป รวมทั้งขอยืมเสื้อตัวสวยของเธอสองคนไปทำแบบ เพื่อให้โรงงานของเขาผลิตออกมาขายเป็นเสื้อยืดที่มีลวดลายแบบเดียวกับเสื้อปักมือของพวกเธอทั้งเจ็ดตัว เขาส่งขายที่ตลาดราคาตัวละสามเหรียญเงิน พ่อค้าแม่ค้าเอาไปขายหน้าร้านในราคาตัวละห้าเหรียญเงิน ขายดีเชียวละ ทีนี้ก็ไม่มีใครจะอยากเสียเงินมากๆ ไปซื้อเสื้อแบบที่ทำยากๆ พวกเธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม”
หมี่โต หมี่รอง และเพื่อนสาวทั้งห้าฟังหญิงปากแดงพูดมาถึงตอนนี้ พวกเธอเริ่มเข้าใจแล้วว่านี่คือคำปฏิเสธ
“คุณน้าจะไม่ดูเสื้อที่พวกเราทำมาสักหน่อยหรือจ๊ะ” หมี่รองถามเสียงเบา สีหน้าเธอแสดงออกชัดเจนถึงความผิดหวัง เธออยากได้เงินเพื่อซื้อลูกปัดเพิ่ม
หญิงปากแดงมองหญิงสาวทั้งเจ็ด น้ำเสียงของนางอ่อนลง “พวกเธอมีอย่างอื่นไหมล่ะที่ไม่ใช่เสื้อราคาแพง พวกสิ่งของเล็กๆ ที่สวยงามน่ะ”
หมี่โต หมี่รอง และเด็กสาวทั้งห้าต่างสั่นศีรษะ พวกเธอไม่ได้ทำอย่างอื่นเตรียมมา ตลอดสี่เดือนที่ผ่านไปพวกเธอจดจ่ออยู่กับการทำเสื้อนอก ทั้งเย็บ ปักลวดลาย ติดลูกปัด ถักเชือกเย็บริมผ้าอย่างแน่นหนาด้วยหวังว่าจะเอามาส่งขายให้นางผู้นี้
“คุณน้าหมายถึงอะไรจ๊ะ” หมี่รองถามด้วยความสงสัย
“พวกกระเป๋าใส่เหรียญที่พกติดตัวได้ หรือไม่ก็ย่ามใบเล็กๆ สำหรับสะพายไปไหนมาไหน พวกนี้ขายง่าย เธอลองทำไปนั่งขายในตลาดฝั่งโน้นได้เลย ฉันเชื่อว่าเธอขายได้แน่ และอีกอย่างนะ พวกโรงงานเขาไม่ผลิตของพวกนี้ออกมาหรอก เพราะคนเขานิยมซื้องานฝีมือ ของใช้ประจำตัวก็ต้องสวยๆ หน่อยใช่ไหม”
“อ้อ จ้ะ ขอบคุณคุณน้ามากนะจ๊ะ” หมี่โตฟังแล้วได้ความคิด
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็คุยไปเรื่อยๆ อันไหนมีประโยชน์กับพวกเธอ ฉันก็ดีใจ” หญิงปากแดงตอบและทำท่านึกได้ นางพูดกับหญิงสาวทั้งเจ็ด
“ที่โรงงานทำเสื้อผ้าสำเร็จรูปของญาติฉันต้องการคนทำงานหลายคน กินอยู่ประจำ ถ้าพวกเธอสนใจก็ลองไปสมัครดูนะ เธอบอกเขาไปก็แล้วกันว่าฉันแนะนำมา ฉันชื่อสาลี่”
“โรงงานอยู่ที่ไหนจ๊ะคุณน้า” เด็กสาวคนหนึ่งถามขึ้นทันทีด้วยดวงตาเป็นประกาย เธออยากออกจากบ้านมาหางานทำในเมืองเพื่อจะได้ไม่ต้องทำงานหนักในไร่
นางสาลี่บอกสถานที่ตั้งของโรงงานที่ญาติของนางเป็นเจ้าของให้เด็กสาวได้รู้ แล้วนางก็หันไปขายผลไม้ให้ลูกค้าที่มายืนรอซื้อ
“พวกเราจะกลับกันแล้วนะจ๊ะ” หมี่โตส่งเสียงบอกหญิงปากแดงและเดินออกจากแผงผลไม้ หมี่รองและเพื่อนสาวทั้งห้าเดินตามมา เสื้อตัวสวยของทุกคนยังอยู่ในย่าม
“ถึงไม่ได้ขายเสื้อก็ไม่เป็นไร เราจะเก็บไว้ใส่ในงานปีใหม่ของเราครั้งหน้า” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้น
“ใช่ เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาทำเสื้อตัวใหม่” หญิงสาวอีกคนตอบรับ
“จริง เราจะไปสมัครเป็นลูกจ้างโรงงาน หากได้ทำงานจริงๆ เราจะไม่มีเวลาปักเสื้อใส่ ดีแล้วละ ไม่ขายก็ไม่เสียใจ” หญิงสาวคนที่สามกล่าว
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
เพื่อนสาวทั้งห้าของสองพี่น้องพากันสะพายย่ามใส่ข้าวของส่วนตัวเดินลงจากดอย พวกเธอจะไปเป็นลูกจ้างประจำที่โรงงานผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปหลังจากไปสมัครไว้และเจ้าของโรงงานตกลงรับ พวกเธอจะได้ค่าจ้างเดือนละห้าสิบเหรียญเงิน กิน อยู่ที่โรงงาน ทำงานวันละสิบชั่วโมง มีวันหยุดเดือนละสองวัน
หมี่โตและหมี่รองมองพวกเพื่อนที่เดินกันเป็นแถวจากไป หมู่บ้านเงียบเหงาลงกว่าเดิมหลังจากหนุ่มสาวทยอยเดินทางลงจากดอยไปหางานทำในเมืองทั้งใกล้และไกล พวกเขาส่วนใหญ่ไปเป็นลูกจ้างที่โรงงานต่างๆ ทั้งโรงงานผักดอง โรงงานผลิตปุ๋ย บางคนไปเป็นแรงงานในสวนผลไม้ขนาดมหึมาโดยพักอาศัยรวมกันในห้องเล็กๆ
“มีเวลาก็กลับมาเที่ยวบ้านเรานะ” หญิงคนหนึ่งตะโกนบอกลูกสาว
อาซึผละจากเปลนอนของเดอเลอเพื่อเดินออกมาที่หน้าบ้าน เธอมองไปยังหมู่คนที่ออกมายืนส่งลูกของตน
“หมี่โตกับหมี่รองไม่ไปกับเขาด้วยหรือ” หญิงคนหนึ่งส่งเสียงถามอาซึ
“เขาเป็นห่วงบ้าน” อาซึตอบอย่างง่ายๆ แต่เธอรู้ว่าเหตุผลแท้จริงที่ลูกสาวทั้งสองไม่ไปสมัครเป็นลูกจ้างโรงงาน เป็นเพราะพวกเธอต้องการช่วยหมี่สามในเรื่องการหัดทำขนมเค้ก เวลานี้ข้าวสาลีที่สี่พี่น้องช่วยกันปลูกไว้ริมไร่ฤดูกาลที่สองเริ่มออกรวงอีกครั้งแล้ว หมี่สามกำลังคิดจะหาแม่วัวมาเลี้ยงเพื่อรีดนม ซึ่งทุกคนในครอบครัวรู้สึกตื่นเต้นกับโครงการหัดทำขนมเค้กที่หมี่สามพูดคุยอยู่ทุกวันว่าเธอจะทำให้ความฝันนี้เป็นจริง
ในช่วงหนึ่งปีที่แล้วมาครอบครัวนี้มีความเปลี่ยนแปลงในหลายสิ่ง นับตั้งแต่ที่อาฉ่าเอาลิ้นจี่จากต้นมุมรั้วไปขายที่ตลาดแต่แม่ค้ากลับซื้อชะลอม อาซึและลูกสาวทั้งสี่คนของอาฉ่ามีรายได้จากการสานชะลอมไปส่งตามสั่ง นอกจากนั้นพวกเธอยังแบ่งงานให้กับบรรดาเพื่อนบ้านจนกระทั่งถึงวันที่ชะลอมพลาสติกเข้ามาแทนที่งานฝีมือ อาฉ่าและอาซึได้ลูกสาวเพิ่มอีกหนึ่งคน บรรดาเพื่อนบ้านต่างสงบปากไม่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่บ้านนี้ได้แต่ลูกสาว เพราะพวกเขามองเห็นความรักใคร่กลมเกลียว ความขยันขันแข็ง และความมีน้ำใจเอื้ออารีของสี่พี่น้อง มีเรื่องน่ายินดีเพิ่มเข้ามาที่หมี่โตและหมี่รองขายเสื้อได้เงินคนละห้าสิบเหรียญเงินซึ่งไม่มีใครในหมู่บ้านจะขายผลิตผลของตนเองได้ราคาสูงเช่นนี้
สามเดือนผ่านไป
วันหนึ่งมีเสียงอื้ออึงดังมาจากปลายดอย ชาวหมู่บ้านหลี่ผะตะโกนบอกกันว่ามีคนไล่ต้อนวัวมาจากชายแดนเพื่อจะเอาไปขายให้โรงงานฆ่าสัตว์
“เขาต้อนกันมาหลายสิบตัวเลย” ผู้หญิงคนหนึ่งที่อุ้มลูกยืนมองอยู่บนลานหมู่บ้านพูดอย่างตื่นเต้น
อาฉ่าเดินออกจากประตูไปยืนที่หัวบันได เขาชะเง้อมองไปทางเสียงโครมครามของฝีเท้าวัวที่ดังมาถึงหมู่บ้าน เวลานี้เพิ่งหลังเที่ยง ลูกสาวทั้งสี่คนของเขากำลังเกี่ยวข้าวอยู่ในไร่
อาฉ่ามองเห็นฝุ่นที่คละคลุ้งอยู่ในระยะห่าง แล้วเขาก็ตัดสินใจ
อาฉ่าเดินกลับเข้าบ้านแล้วหยิบห่อผ้าเล็กๆ ที่ซุกใต้หมอนใส่ย่ามสะพาย จากนั้นสวมรองเท้าและขึ้นขี่เจ้าม้าหนุ่มออกไปตามถนนด้านทิศใต้ อาซึเดินแบกน้ำเต้ากลับมาจากลำห้วยมองไม่เห็นเจ้าม้าหนุ่มในคอก เธอได้ยินเสียงผู้คนตะโกนบอกกันเมื่อสักครู่ใหญ่ให้ออกมาดูฝูงวัวที่ถูกต้อนมา เธอนึกเดาได้ว่าอาฉ่าและเจ้าม้าพากันไปที่ไหน
หลังจากวางน้ำเต้าไว้ข้างเตาไฟในครัวแล้ว อาซึเดินไปยังที่นอนอาฉ่าและยกหมอนขึ้น เธอพยักหน้ากับตัวเองเมื่อเห็นว่าห่อเงินแถบหายไป เธอเดินออกมาและยิ้มกับเดอเลอที่ส่งเสียงทักทายจากเปล เด็กน้อยมีอายุหนึ่งขวบแล้วและเริ่มพูดออกเสียงเป็นคำสั้นๆ ได้อย่างชัดเจน
“พ่อเขาไปซื้อวัวน่ะ อาเดอ” อาซึบอกลูกสาวที่ส่งยิ้มหวานกลับมาให้ เธอจัดการทำอาหารเที่ยงต่อจากที่อาฉ่าทำทิ้งไว้ในกระทะ จากนั้นจึงป้อนข้าวต้มให้เดอเลอ
ตกบ่ายอาซึได้ยินเสียงเด็กๆ ร้องตะโกนบอกกันว่าอาฉ่าจูงวัวมาสองตัว อาซึมองเดอเลอที่หลับสนิทในเปล เธอลุกขึ้นเดินออกจากครัวไปที่ประตูหน้าบ้านและมองเห็นอาฉ่าบนหลังเจ้าม้าหนุ่ม เขาจูงวัวรูปร่างเพรียวสองตัวที่เดินอย่างอ่อนล้าตามหลังมา อาซึเดินลงบันไดและส่งกระบอกน้ำเย็นให้สามี อาฉ่ายกกระบอกดื่มน้ำอย่างกระหายและล้างแขนล้างขาที่เต็มไปด้วยฝุ่น
อาซึยกมือลูบหัววัวสีเทาขมุกขมัวสองตัวที่หยุดยืนเบื้องหน้า วัวตัวผู้มีเขาเล็กๆ ที่ถูกตะไบปลายจนทู่ วัวตัวเมียมีหูใหญ่ยาวที่ฉีกขาด มีแมลงวันเกาะ วัวทั้งสองส่งเสียงร้องมอๆ พวกมันคงรู้ว่าตัวเองโชคดีรอดชีวิตจากการเดินทางไปยังโรงงานฆ่าสัตว์
“หาหญ้าหาน้ำให้มันกินหน่อย” อาฉ่าบอกเมีย
“ได้จ้ะ” อาซึพูดแล้วหันหลังเดินไปหยิบถังไม้ที่แขวนไว้ในคอกม้าออกมา เธอเทน้ำใส่ลงไปครึ่งถังก่อนยกมาให้วัวได้กิน พวกมันแข้งขาสั่นด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางข้ามภูเขามาหลายลูกโดยไม่ได้หยุดพัก จากนั้นเธอจูงเจ้าม้าหนุ่มไปเข้าคอก เธอยกอานออกจากหลังอันเปียกด้วยเหงื่อและเช็ดตัวให้มัน
พวกเด็กๆ และคนแก่ต่างพากันเดินมาดูวัวสองตัวที่อาฉ่าซื้อมาและถามไถ่ว่าราคาเท่าไร
“ไม่เท่าไรหรอก”
อาฉ่าตอบอย่างออมปาก เขาไม่ได้เล่าถึงรายละเอียดการเจรจาซื้อขายแลกเปลี่ยน โดยคนต้อนวัวขอเงินสิบสองแถบเป็นค่าวัวสองตัว แต่ในห่อผ้าของเขามีแท่งเงินเก่าเพียงแปดแถบ คนต้อนวัวจึงเลือกวัวตัวผู้ที่มีขนาดกลางและแม่วัวตัวเล็กให้อาฉ่า ซึ่งเขาจำเป็นต้องยอมรับ แม้ว่าจะอยากได้แม่วัวตัวอ้วนใหญ่แข็งแรงตัวสีน้ำตาลที่ดูท่าว่ากำลังตั้งท้อง
“เราค่อยๆ ดูแลมันไป ให้มันกินหญ้า กินเม็ดข้าว สักเดือนเดียวก็อ้วนปี๋” อาฉ่าพูด เขารู้วิธีเลี้ยงวัว
“จ้ะพี่ ให้มันอยู่คอกเดียวกับเจ้าหนุ่มนะจ๊ะ”
อาฉ่าพยักหน้า เจ้าม้าแก่ตายไปเมื่อเดือนที่แล้ว เหลือม้าหนุ่มอยู่ตัวเดียว แต่มันคงไม่ว่าอะไรหากจะมีเพื่อนเป็นวัวสองตัว
ค่ำวันนั้นที่บ้านของอาฉ่าเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและหัวเราะอย่างมีความสุข หมี่สามแทบไม่ขึ้นบ้านเพราะเธออยากจะยืนลูบเนื้อลูบตัววัวทั้งสองให้นานๆ อาฉ่าเกี่ยวหญ้าสดๆ มากองจนเต็มรางไว้ให้พวกมันกิน เจ้าม้าหนุ่มส่งเสียงครืดคราดพูดคุยกับเพื่อนใหม่ มันสะบัดหางเป็นพวงของตนไปมาอย่างพอใจ วัวทั้งสองส่งเสียงมอๆ
“พ่อจ๋า หนูช่วยพ่อออกเงินค่าซื้อวัวนะจ๊ะ” หมี่สามล้วงกระเป๋าสตางค์เพื่อหยิบเงินเหรียญออกมา
“ไม่ต้อง วัวสองตัวนี้เป็นของพ่อ พ่อดูแลมันเอง หากมันมีลูก มันจะมีน้ำนมให้หมี่สามเอาไปทำขนมเค้ก ตอนนั้นละหนูต้องแบ่งขนมให้พ่อกินด้วย” อาฉ่าพูด
ลูกสาวทั้งสี่ของเขาหัวเราะเกรียวกราวและตบมือด้วยความชอบใจ อาฉ่าเคยเลี้ยงวัวเมื่อนานมาแล้ว สมัยวัยรุ่นเขาไปรับจ้างคนพื้นราบทำงาน เขาทำมาแล้วทุกอย่างทั้งการหาหญ้าให้วัว ทำความสะอาดคอก รีดนม และคอยดูไม่ให้พวกมันเจ็บป่วยหรือเป็นแผล หลังจากแต่งงานกับอาซึเขาก็กลับมาอยู่ในหมู่บ้านและไม่ได้มีโอกาสเลี้ยงวัวอีกเลย
“พ่อสอนพวกหนูด้วยนะจ๊ะว่าเขารีดนมวัวอย่างไร” หมี่สามพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“พ่อต้องสอนอยู่แล้ว หากหนูสัญญาว่าจะไม่คิดเงินค่าขนมเค้กกับพ่อ” อาฉ่าตอบยิ้มๆ
“ได้จ้ะ พ่อจะได้กินขนมเค้กฟรีๆ ทุกวัน” หมี่สามตอบและหัวเราะคิกคัก
“วันหน้าพวกเราจะช่วยหมี่สามตั้งร้านขายขนมเค้กที่หน้าบ้านเรา” หมี่รองกล่าว
“แต่ก่อนอื่นหมี่สามต้องหัดทำขนมเค้กให้เป็นก่อนนะลูก” หมี่ซึกล่าวพลางยกมือลูบศีรษะลูกสาว
“เราต้องไปเรียนจากคนที่ตลาดว่าเขาทำขนมเค้กกันอย่างไร”
ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
มีโครงการ แผนการ ความหวัง ความฝันที่พี่น้องทั้งสี่พูดคุยกันอย่างเป็นจังมากขึ้น
หมี่โตเริ่มเย็บปักย่ามอันงดงามไว้หลายใบ เธอใช้ด้ายหลายสีปักอย่างประณีตเพื่อให้ย่ามแต่ละใบมีลวดลายแตกต่างกัน หมี่รองลงมือทำกระเป๋าใส่สตางค์ใบเล็กๆ จำนวนมาก เธอประดับกระเป๋าเหล่านั้นด้วยเลื่อมและลูกปัด เธอตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ส่วนหมี่สามกำลังหัดโม่แป้งจากเมล็ดข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวได้หลายถัง
สำหรับหมี่เล็กนั้นเธอเป็นผู้ช่วยของทุกคน เธอช่วยแม่ทำกับข้าวและเลี้ยงเดอเลอ ช่วยหมี่โตจับชายผ้าให้ตึง ช่วยหมี่รองร้อยลูกปัด ช่วยหมี่สามโม่แป้งและเลาะเปลือกถั่ว
ทุกคืนก่อนถึงเวลานอนหมี่เล็กจะลากเส้นตัวอักษรที่เห็นจากในหนังสือที่ชาลิมให้ เธอจดจำรูปร่างตัวอักษรประกอบภาพวาดต่าง ๆ ได้อย่างขึ้นใจแม้จะไม่รู้ว่ามันออกเสียงเช่นใด