ต้นลิ้นจี่มุมรั้ว

4988 คำ
บทที่ 1 ต้นลิ้นจี่มุมรั้ว ต้นลิ้นจี่ที่มุมรั้วหน้าบ้านของอาฉ่ากำลังออกดอกพราวส่งกลิ่นหอมฟุ้งทั่วหุบเขา ดอกสีชมพูบานสะพรั่งเตรียมแปลงร่างเป็นผลไม้เปลือกแดง ในอีกไม่เกินสองเดือนข้างหน้าอาฉ่าจะได้เก็บผลสุกของมันไปขายที่ตลาด ครอบครัวเขาจะได้มีเงินพอใช้เสียที ครั้งแรกที่ลิ้นจี่ต้นนี้เติบโตสูงขึ้นและแตกกิ่งชูยอดอวดโฉม อาฉ่าเข้าใจว่ามันเป็นต้นไม้ไร้ผลเช่นเดียวกับต้นที่ขึ้นรอบหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่ในปัจจุบัน ชาวหมู่บ้านหลี่ผะพากันอพยพจากที่อื่นมาตั้งถิ่นฐานบนเนินเขาแห่งนี้กว่ายี่สิบปีแล้ว หมู่บ้านดั้งเดิมของพวกเขาตั้งอยู่ไกลโพ้น มันหนาวเย็น กันดาร แห้งแล้ง ไร่ข้าวขั้นบันไดสูงชันจนปีนแทบไม่ไหว ปีนี้อาฉ่ามีอายุ 40 ปี เท่ากับอาซึภรรยาของเขา ทั้งสองมีลูกสาวสี่คน หมี่โตอายุ 18 ปี หมี่รอง 16 หมี่สาม 14 และหมี่เล็ก 9 ขวบ พวกพี่น้องของชาวดอยนี้มักมีอายุห่างกันสองหรือสามปีหรือมากกว่านั้น ทุกครอบครัวมีลูกหลายคนเพื่อช่วยกันทำงานในไร่ ทุกบ้านต้องการลูกชาย มีหนึ่งคนก็นับว่าสมบูรณ์ หน้าที่สำคัญของลูกชายคือเป็นผู้สืบสกุลไม่ให้ขาดสาย อาฉ่าแหงนหน้ามองกิ่งก้านดอกใบของต้นลิ้นจี่และถอนหายใจ เขาและอาซึมีแต่ลูกผู้หญิง กลุ่มชนของเขาถือว่าการไม่มีลูกชายนับเป็นโชคร้ายของตระกูล อาพีเพื่อนบ้านวัยเดียวกับอาฉ่าผู้อยู่บ้านคนละฟากรั้วมีลูกสาวสามคนและลูกชายสองคน ซึ่งแม้ลูกชายคนเล็กพิการจากโรคโปลิโอและคนโตเสพติดยาฝิ่น แต่พวกเขารู้สึกว่าครอบครัวตนยังดีกว่าครอบครัวอาฉ่าที่มีแต่ลูกหญิงล้วนถึงสี่คน “พ่อมากินข้าว” เสียงหมี่โตลูกสาวคนหัวปีร้องเรียกจากหน้าเตาไฟในครัว เธอตักข้าวใส่ถ้วยประจำของอาฉ่าแล้วใช้ตะเกียบยาวคีบหมูทอดในกระทะใส่ถ้วยอีกใบ น้ำพริกมะเขือเทศวางอยู่ข้างครก เปลือกหัวหอม กระเทียม เศษผักชีกระจายบนพื้นบ้าน เธอใช้มือปาดลงร่องกระดานจนหมดเกลี้ยง เสียงไก่บินพึ่บพั่บที่ใต้ถุนพร้อมกับเสียงทุ่มเถียงเจี๊ยวจ๊าว พวกมันกำลังแย่งกันจิกกินเศษผักที่ร่วงลงไป หมี่โตยกถ้วยอาหารทั้งหมดวางลงบนโต๊ะไม้ไผ่สานตัวเตี้ยก่อนหันตัวไปหยิบผักกาดหนึ่งต้นออกมาจากตะกร้า เธอล้างเศษดินออกจนสะอาดและเสียบผักสดลงข้างถ้วยกับข้าว ครู่หนึ่งจากนั้นหญิงสาวคว้าย่ามที่บรรจุของกินหลายอย่างสะพายบ่า เธอขมีขมันลงจากบ้านและเดินสลับวิ่งไปที่ไร่ข้าวซึ่งอยู่ในหุบเขาห่างออกไปสองกิโลเมตร แม่กับน้องสาวทั้งสามออกไปตั้งแต่เช้ามืดเพื่อช่วยกันเก็บหญ้าออกจากแปลง ป่านนี้พวกเขาคงหิวกันแย่แล้ว อาฉ่าขึ้นบันไดไปถึงชานบ้าน เขาเหลียวหลังมองต้นลิ้นจี่อีกครั้งก่อนผลุบเข้าประตู เขาเดินตรงไปยังครัวไฟซึ่งอยู่ตรงข้ามกับห้องใหญ่ที่ใช้เป็นห้องนอนของลูกสาวทั้งสี่ ห้องกลางระหว่างห้องหลังบ้านกับห้องด้านหน้าคือห้องนอนขนาดเล็กของอาซึ ธรรมเนียมของพวกเขาหญิงและชายไม่นอนร่วมห้องกันแม้เป็นผัวเมีย ห้องนอนผู้ชายคือห้องติดประตูหน้า ใครมาหาก็นั่งคุยกันที่ห้องนั้น แต่ห้องที่เขากับอาซึและลูกสาวทั้งสี่ใช้เวลาร่วมกันมากที่สุดคือห้องครัวที่ก่อเตาดินไว้ริมหน้าต่าง มันกรุ่นกลิ่นควันไฟจากฟืนที่พวกเขาหามาจากป่า มีกลิ่นข้าวดอยเม็ดป้อมที่นึ่งจนสุกดี กลิ่นพริกเผา กลิ่นผักต้มและผักดอง กลิ่นเกลือ กลิ่นเนื้อหมักในกระบอกไม้ไผ่ และกลิ่นพืชสวนครัวหลายชนิดแขวนตากแห้งไว้ข้างฝาไม้ไผ่ขัดแตะ ไฟที่ก่อในก้อนเส้าหินมอดลงแล้ว ภายใต้ขี้เถ้าสีเทา ถ่านร้อนแดงยังมีชีวิตอยู่ กาน้ำดำเขรอะด้วยเขม่าตั้งบนขาเหล็กแข็งแรง หมี่โตตั้งน้ำร้อนทิ้งไว้ให้เขาได้ชงน้ำชาดื่ม ในวัย 40 อาฉ่ายังแข็งแรงเหมือนคนหนุ่ม เขาสามารถทำไร่ได้เหมือนก่อนหากเขาจะไป แต่เขาตกลงใจอยู่กับบ้านเฉยๆ เนื่องจากไม่อยากให้เพื่อนบ้านพูดถึงเขาว่าเป็นเพราะไม่มีลูกชายช่วยแบกหามเขาจึงต้องเหนื่อยยาก ดังนั้นบัดนี้คนที่รับภาระหนักในการใช้แรงงานคือลูกสาวทั้งสี่ รวมทั้งอาซึผู้ไม่เคยปริปากบ่นที่ตนต้องทำงานเพิ่มขึ้นในไร่ อาฉ่าต้องการให้ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านได้เห็นว่าแม้ไม่มีลูกชายเขาก็ไม่เดือดร้อนอะไร แถมยังได้นอนสูบใบยา จิบน้ำชาร้อนๆ คอยไล่เด็กๆ ที่เข้ามาโหนกิ่งต้นลิ้นจี่เล่นกันส่งเสียงดังหนวกหู อาฉ่าทรุดตัวนั่งข้างเตาไฟตรงที่หมี่โตตั้งโต๊ะเตี้ยไว้ เขามองดูอาหารและพยักหน้าอย่างพอใจ ข้าวไร่เม็ดอ้วนป้อมผลิตผลของปีที่แล้วยังมีอยู่ในถังไม้ มีบางปีฝนแล้งและข้าวไม่พอกิน เขาต้องจูงเจ้าม้าเตี้ยลงจากดอยไปหาซื้อปลายข้าวราคาถูกจากร้านค้าในเมืองมาให้อาซึหุง ซึ่งรสชาติและความหนักท้องนั้นสู้ข้าวดอยไม่ได้เลย อาฉ่าชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น เขาใช้มือซ้ายกำข้าวแล้วบีบเป็นก้อนก่อนส่งเข้าปาก มือขวาจับตะเกียบคีบผักจิ้มน้ำพริกกินตามไปแล้วเคี้ยวช้าๆ เขามีเวลาเหลือเฟือไม่ต้องรีบไปไหน แวบหนึ่งของความรู้สึกเขาคิดถึงการนั่งกินข้าวในเพิงที่ไร่กับเมียและลูกๆ หลังจากออกแรงกลางแดดท่ามกลางป่าเขา มันมีทั้งความเหนื่อย ความสนุก และมีชีวิตชีวามากกว่าการนั่งกินกร่อยๆ คนเดียวแบบนี้ อาฉ่ามองเสื้อผ้าผู้หญิงที่แขวนเต็มราวไม้ไผ่หน้าห้องนอนของหญิงทั้งห้า เมียและลูกสาวของเขาช่วยกันปลูกฝ้ายทุกสองหรือสามปี พวกเธอเก็บดอกฝ้ายมากรอเป็นเส้นด้าย ทอเป็นผืนผ้า เย็บเป็นเสื้อผ้าสวมใส่ อีกทั้งยังปักลวดลายอย่างสวยงามด้วยความชำนิชำนาญ มือของพวกเธอไม่เคยอยู่นิ่ง แม้กระทั่งขณะเดินไปไร่พวกเธอก็ยังปั่นเส้นฝ้ายม้วนเป็นหลอด เสื้อผ้าทำด้วยมือของพวกเธอใส่ทนทานใช้ได้นานนับสิบปี เขาไม่เคยเสียเงินซื้อเสื้อผ้าให้อาซึและลูกสาวทั้งสี่เลย อาฉ่าคิดในใจว่าคราวนี้หากลูกลิ้นจี่ที่เขาวางแผนจะเอาไปขายที่ตลาดทำเงินได้สักห้าสิบเหรียญเงิน เขาจะซื้อเสื้อแบบคนในเมืองให้พวกเธอใส่เล่นและหัวเราะกัน หนึ่งเดือนผ่านไป ดอกของต้นลิ้นจี่มุมรั้วบ้านอาฉ่ากลายเป็นช่อผลไม้แดงพรืดไปทั้งต้น ชาวหมู่บ้านหลายคนเดินแวะเวียนมาดูอย่างชื่นชม บางคนออกปากขอชิมผลของมันสักลูก อาฉ่าปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและหันหลังให้คนที่ผ่านไปมาด้วยเกรงว่าจะมีคนมาขอกิน เด็กกลุ่มหนึ่งกล้าหาญถึงขนาดแอบพากันปีนต้นขึ้นไปหักช่อบนกิ่งเตี้ยๆ เพื่อจะได้ลิ้มรสผลไม้เปลือกแดง เมื่ออาฉ่าได้ยินเสียงอุดปากหัวเราะ เขาก็ถือไม้เรียวออกไปไล่ฟาดเด็กลูกหลานเพื่อนบ้านของเขา ตอนเย็นวันถัดมา อาฉ่าผู้ยืนแหงนมองช่อลิ้นจี่พูดกับอาซึและลูกสาวทั้งสี่ที่เดินแบกตะกร้าพืชผักกลับถึงบ้าน พวกเธอเพิ่งเสร็จจากการถางไร่ที่ต้องใช้แรงกายกลางแจ้งทั้งวัน แต่แม้จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนเสียงพูดคุยของพวกเธอก็เจือเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข “อีกสองวันลิ้นจี่คงสุกพอดีที่จะเอาไปขายได้แล้ว” อาฉ่าบอกหญิงทั้งห้า “ฉันกับลูกจะสานชะลอมเล็กๆ ให้พี่ใส่ลิ้นจี่ไปตลาดนะจ๊ะ” อาซึพูดกับเขาขณะปลดตะกร้าลงจากไหล่ เธอมีนิสัยพูดน้อย แต่เมื่อพูดออกมาก็เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ “ดีเหมือนกัน เพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าคนซื้อจะถือไปอย่างไร ข้าคิดไว้ว่าจะมัดช่อลิ้นจี่ให้เป็นพวงใหญ่ น่าจะได้ราว ๆ สามสิบพวง ข้าจะขายพวงละสองเหรียญเงินละกัน” “ฉันคะเนด้วยตาว่าเราน่าจะได้สักห้าสิบพวงนะพี่” อาซึกล่าวกับสามี “งั้นพวกเราจะทำชะลอมห้าสิบใบ” หมี่โตและน้องๆ พูดพร้อมกัน วันรุ่งขึ้น อาซึจูงเจ้าม้าแก่ตัวเตี้ยเดินเข้าไปในป่า เธอมองหาต้นไผ่ที่มีเปลือกเขียวสวยงาม จากนั้นเธอใช้มีดฟันไผ่ต้นดังกล่าวออกจากกอสองต้น เธอริดกิ่งก้านเล็กๆ และหนามแหลมๆ ของมันออกจนหมด เธอตัดต้นไผ่เป็นท่อนก่อนผ่าเป็นซีก เจ้าม้าเตี้ยที่ห้อยสะพายตะกร้าข้างลำตัวไว้สองใบทำหน้าที่บรรทุกไม้ซีกเหล่านั้นเดินกุบกับตามหลังเธอ เมื่อกลับถึงบ้านอาซึจัดการเหลาซีกไม้ไผ่เป็นชิ้นยาวและเจียนเป็นเส้นบางๆ เมื่อหมี่โต หมี่รอง หมี่สาม และหมี่เล็กกลับจากไร่ หลังกินอาหารแล้วหญิงทั้งห้าใช้เวลาถึงค่อนคืนในการสานชะลอมใบสวยจำนวนห้าสิบใบ พวกเธอต่างพูดคุยว่าหากอาฉ่าขายลิ้นจี่ได้เงินมาแล้วพวกเธอจะทำอะไร อาฉ่านอนฟังเสียงเมียและลูก เขาพยายามข่มตาหลับพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้เขาจะต้องเหนื่อยทั้งวัน วันถัดมา เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นพอมีแสงสว่าง อาฉ่าปีนต้นลิ้นจี่แล้วไต่ขึ้นไปตามกิ่ง เขาใช้มีดคมตัดช่อที่เต็มไปด้วยผลสีแดงใส่ตะกร้าอย่างทนุถนอม เที่ยวแล้วเที่ยวเล่าเขาหย่อนเชือกที่ผูกตะกร้าใส่ช่อลิ้นจี่ลงมาให้อาซึและลูกทั้งสี่ช่วยกันมัดเป็นพวงใส่ชะลอม จนสายอาฉ่าตัดลิ้นจี่ช่อสุดท้ายและถือติดมือลงมาจากต้น เขาส่งช่อลิ้นจี่นั้นให้ลูกสาวคนเล็ก “เอ้า ลองชิมดู” ลิ้นจี่ช่อนั้นมีหกผล หมี่เล็กเด็ดออกมาผลหนึ่ง เธอแกะเปลือกและป้อนใส่ปากอาฉ่าก่อนส่งที่เหลือให้พี่สาวและแม่ ส่วนตนเองกินผลสุดท้าย เธออมเมล็ดลิ้นจี่ที่โตคับปากไว้โดยไม่พูดอะไร ส่วนอาฉ่าบ้วนเมล็ดลิ้นจี่ใส่มือแล้วยกขึ้นดูก่อนโยนทิ้ง ชะลอมไม้ไผ่สานจำนวนห้าสิบใบใส่ช่อลิ้นจี่ได้ห้าสิบพวงพอดี อาฉ่าจูงเจ้าม้าเตี้ยที่ผูกไว้ใต้ถุนบ้านออกมา เขาพาดผ้าผืนหนาบนหลังของมันก่อนวางอานไม้ จากนั้นจึงแขวนกระบุงใหญ่ไว้ด้านข้างลำตัวด้านซ้ายและขวาของเจ้าม้าแก่ แดดยามสายสาดแสงแรงร้อน อาฉ่าบรรจงหย่อนชะลอมที่บรรจุผลลิ้นจี่ใส่กระบุงทั้งสองจนหมดทั้งห้าสิบพวง แล้วเขาก็จูงเจ้าม้าออกเดินไปตามถนน เพื่อนบ้านที่รู้ว่าอาฉ่านำลิ้นจี่ไปขายที่ตลาดวันนี้ต่างออกมายืนดู พวกเขาไม่ได้เอ่ยคำอวยพรให้อาฉ่าขายดี ไม่พูดแม้กระทั่งคำว่า “ค่อยๆ ไปนะ” ตามแบบฉบับกลุ่มชนของเขาที่มักกล่าวแก่คนที่กำลังเดินทางให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย อาฉ่าที่เหน็ดเหนื่อยจากการปีนต้นลิ้นจี่ตั้งแต่เช้าสูดลมหายใจเข้าปอด เขาหวังว่าวันนี้จะมีเงินเต็มกระเป๋ากลับบ้าน ระยะทางสิบสองกิโลเมตรจากหมู่บ้านหลี่ผะไปถึงตลาดในเมือง หากเดินเร็วตามปกติจะใช้เวลาชั่วโมงครึ่งบนถนนที่คดเคี้ยวลงจากดอย หากเดินช้าและมีพืชผลบรรทุกหลังม้าต่างมาอย่างนี้ต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมง อาผ่าควักข้าวปุกออกมาจากย่ามใส่ปากเคี้ยวด้วยความหิว หมี่โตเป็นผู้เตรียมเสบียงไว้ให้เขากินระหว่างทาง อาฉ่าถอนหายใจขณะลำเลียงอาหารลงกระเพาะ ถ้าเขามีลูกชาย เขาจะไม่ต้องเดินกินข้าวปุกคนเดียวอย่างนี้ เขานึกถึงพวกญาติพี่น้องที่เมื่อไปไหนก็มีลูกชายและหลานชายไปเป็นเพื่อน บ่อยครั้งที่เขาได้ยินเสียงเอะอะเอ็ดตะโรดุด่าถึงความทโมนของเด็กชายเหล่านั้น เขาอยากแผดเสียงดุลูกชายอย่างคนอื่นบ้าง ในที่สุดอาฉ่าก็จูงม้ามาถึงตลาดที่คึกคักเต็มไปด้วยร้านค้า มีรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์วิ่งพลุกพล่านไปมา รถบางคันบีบแตรไล่เขาและเจ้าม้าแก่ที่เดินเชื่องช้าเกะกะทำให้รถสวนกันลำบาก อาฉ่าเดินผ่านย่านต่างๆ ตั้งแต่หัวตลาดจนมาถึงย่านผลไม้ เขามองดูผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของตามแผงค้าซึ่งมีมากมายหลายสิบแผง มันเต็มไปด้วยผลไม้สีสวยลานตา ทั้งสีแสดของส้มพันธุ์ต่างๆ สีชมพูของท้อและทับทิม สีเหลืองของสาลี่ สีเขียวอ่อน สีเขียวแก่ และสีแดงสดของแอปเปิล แล้วอาฉ่าก็มองเห็นช่อผลไม้สีแดงเข้มกองมหึมาที่แผงตรงหน้า เขาจูงม้าขยับเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัดว่าพวกมันเป็นผลอะไร “ไม่ซื้อก็ขยับไป เอาม้าสกปรกไปจากหน้าร้านของฉันด้วย” หญิงร่างท้วมปากสีแดงสดแผดเสียงแหลมจากด้านหลังกองผลไม้สีแดงเข้ม อาฉ่ามองดูช่อผลไม้กองใหญ่ที่เรียงซ้อนกันจนสูง “ไม่เคยเห็นลูกลิ้นจี่เรอะ จ้องเอา จ้องเอา ฮึ” หญิงคนนั้นตะคอกถาม “ข้าไม่ได้หูหนวก พูดเบาๆก็ได้” อาฉ่าบอกและมองหญิงปากสีแดงสดบนใบหน้าสีขาวจัดที่นั่งอยู่หลังกองผลไม้สีแดงเข้ม เขานึกเทียบนางกับอาซึที่พูดกับเขาด้วยความนุ่มนวลเจือด้วยความเคารพทุกครั้ง “ฉันพูดเสียงดังเฉพาะกับคนที่มายืนบังหน้าร้าน” หญิงคนนั้นมองกระบุงใหญ่ที่ห้อยอยู่สองข้างลำตัวเจ้าม้าแก่ นางถามเขาว่า “แกเอาอะไรมาขายน่ะ” “ลิ้นจี่” อาฉ่าพูด หญิงปากแดงชะโงกตัวมอง เมื่อเห็นไม่ชัดนางจึงยันตัวลุกออกมาจากหลังกองผลไม้ นางยื่นหน้าเข้าไปชิดกระบุง แล้วนางก็ระเบิดเสียงหัวเราะก๊ากออกมาก่อนพูดกับอาฉ่าด้วยน้ำเสียงที่แสดงความสมเพช “ไอ้ที่อยู่ในชะลอมใบสวยของแกน่ะ มันคือลิ้นจี่ดง ขึ้นอยู่ตามป่าเขา ลิ้นจี่ไร้สกุลแบบนี้มีเปลือกหนา หนามแหลม แล้วก็เม็ดโต ชาวเมืองเขาไม่กินกันหรอก แล้วนี่ดูสิ เปลือกมันเริ่มดำช้ำจากการถูกไอ้ม้าเตี้ยนี่เขย่ามาตลอดทาง โน่น! ไปนั่งขายตรงโน้นเลย ตรงนี้มันหน้าร้านของพ่อค้าแม่ค้าที่ต้องเสียค่าเช่าแพงๆ” นางชี้มือไปที่สุดทางเดิน อาฉ่าเพ่งมองกองลิ้นจี่ของนางปากแดงด้วยความแปลกใจ “ลิ้นจี่อย่างนี้เอาจากที่ไหนมาขาย” อาฉ่าถาม “เอ้า แกนี่โง่จริง ผลไม้ที่ขายในตลาดนี้เอามาจากสวนที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น เจ้าของสวนเขาจ้างคนงานที่มาจากดอยอย่างแกนี่แหละให้รดน้ำ พรวนดิน ฉีดยาฆ่าแมลง เขาไม่ได้เก็บมือเปล่าเอาจากป่ามาหรอกนะ” มีผู้คนมายืนเมียงมองดูลิ้นจี่ของอาฉ่าและพากันส่ายหน้าเมื่อเห็นผลไม้ลูกเล็ก เปลือกขรุขระระคายมือกลายเป็นสีคล้ำเพราะเดินทางมาบนหลังม้าสองชั่วโมงกลางแดดร้อน อาฉ่าจูงม้าเลี่ยงออกไปยังที่ว่างสุดทางเดิน เขายกกระบุงอันหนักอึ้งลงจากหลังม้าที่น่าสงสารแล้วเดินไปสาวน้ำจากบ่อที่อยู่ใกล้กัน เขาเทน้ำใส่ถังและวักน้ำขึ้นดื่มก่อนลูบหน้าและแขน จากนั้นก็ยกถังไปให้เจ้าม้าเตี้ยได้ดื่ม เขาเดินเก็บเศษผักและผลไม้ที่ตกอยู่บริเวณนั้นมากองให้ม้ากิน หลังจากนั้นเขาปูผ้าและนั่งลงตรงกลางระหว่างกระบุงทั้งสอง เวลาผ่านไปจนบ่ายคล้อย คนที่มาเดินหาซื้อผลไม้ไม่มีใครควักเงินซื้อลิ้นจี่ของอาฉ่า บางคนเดินมาดูว่าอาฉ่าขายอะไร อาฉ่าปลิดผลลิ้นจี่ในชะลอมลูกสวยที่สุดในพวงส่งให้ชิม เมื่อรู้รสชาติแล้วคนเหล่านั้นก็ส่ายหน้าเดินจากไป อาฉ่าถอนหายใจด้วยความหม่นหมอง เขามองกองลิ้นจี่ของหญิงปากแดงที่ยุบลงไปกว่าครึ่ง เขาขยับเท้าเดินเตร่ไปใกล้แผงค้าและก้มลงเก็บผลลิ้นจี่ที่หล่นบนพื้นซ่อนใส่มือแล้วรีบเดินกลับมาที่กระบุงของตน เขาปอกเปลือกลิ้นจี่ลูกใหญ่ที่อยู่ในมือหยาบกร้าน มันมีเปลือกบาง เนื้อแน่น ชุ่มฉ่ำ หวาน หอม เมล็ดลีบเล็ก เขาพยักหน้ากับตัวเองอย่างยอมรับว่าลิ้นจี่จากมุมรั้วของเขาเทียบไม่ได้กับลิ้นจี่พันธุ์ดีของหญิงปากแดง เมื่อดวงอาทิตย์คล้อยลงต่ำหลังเวลาบ่าย ผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อหาสิ่งของเริ่มบางตา อาฉ่าก้มหน้าชำเลืองมองผลลิ้นจี่เหี่ยวเฉาเปลือกแดงคล้ำในชะลอมสีเขียวสด เขาสูดลมหายใจเข้าอย่างช้าๆ เพื่อข่มความรู้สึกเศร้าหมอง เขาเสียใจที่ทำให้เมียและลูกสาวทั้งสี่ต้องผิดหวัง อาฉ่าหันตัวไปลูบขาเจ้าม้าเตี้ยผู้ซื่อสัตย์และพึมพำคำพูดขอโทษขอโพย เขาคงต้องให้มันบรรทุกผลไม้ชอกช้ำทั้งสองกระบุงกลับหมู่บ้าน เขาล้มตัวลงนอนเพื่อเอาแรงก่อนเดินทางกลับ ครู่หนึ่งผ่านไป อาฉ่าได้ยินเสียงรองเท้าแตะกระทบพื้นดินต่อด้วยเสียงเดินตุบตับมาทางเขา อาฉ่าลืมตาขึ้น เขาเห็นหญิงปากแดงยืนอยู่เบื้องหน้ากระบุงลิ้นจี่ อาฉ่ารีบลุกขึ้นนั่งชันเข่าและขยี้ตา “ตื่นแล้วหรือ ขายดีจนหมดแรงเลยสิท่า” หญิงปากแดงพูดเสียงดังฟังชัด แต่คราวนี้นางไม่ได้ตะโกน อาฉ่านิ่งเงียบ เขาไม่ชอบต่อปากต่อคำกับใคร เขาคิดถึงอาซึอีกครั้ง เมียของเขาไม่เคยพูดจาด้วยถ้อยคำเหน็บแนมเช่นนี้ แต่นางปากแดงอาจจะแค่แหย่เย้าเขาเล่น แววตาของนางไม่เสียดแทงเท่าคำพูด เขามองร่างท้วมที่กำลังโน้มตัวลงหยิบชะลอมใบหนึ่งขึ้นดู อาฉ่าคิดว่านางสนใจผลลิ้นจี่ในนั้น เขากะพริบตาด้วยความคาดหวังว่านางจะเหมาลิ้นจี่ทั้งกระบุงไปขายต่อในราคาถูก นางเรียกราคามาเท่าไรเขาจะยอมขายให้ตามนั้น “แกขายชะลอมให้ฉันได้ไหม ฉันจะเอาไปใส่ผลลิ้นจี่ที่เหลือในร้าน” นางปากแดงพูดและใช้นิ้วลูบไปบนผิวไม้ไผ่พร้อมกับพยักหน้าอย่างพอใจ “เกลี้ยงเกลาดี” “ใบละ 5 เหรียญทองแดง” อาฉ่าตอบไปอย่างไม่แน่ใจนัก เขาขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อรู้สึกตัวว่าตั้งราคาสูงไป ความจริงเขาน่าจะบอกนางว่าใบละ 3 เหรียญทองแดงคงเหมาะกว่า ขณะที่เขาขยับปากจะแก้ไขสิ่งที่พลั้งปากไป เขาก็เห็นรอยยิ้มจากปากสีแดงพร้อมกับเสียงพูดที่เขาเริ่มคุ้นหู “เออ ถ้าอย่างนั้นฉันเอาหมดนี่ แกเทลิ้นจี่เน่าๆ ของแกออกไป แล้วเอาชะลอมไปส่งให้ฉันที่ร้าน มีกี่ใบล่ะ” “ห้าสิบใบ” อาฉ่าตอบอย่างงงงัน เขาคำนวณในใจอย่างรวดเร็ว ชะลอมใบละ 5 เหรียญทองแดง 50 ใบก็เท่ากับ 12 เหรียญเงินและ 10 เหรียญทองแดง แม่ค้าปากแดงพยักหน้าและกล่าวด้วยเสียงที่ไม่ได้ตะคอกหรือตะโกน “เอาชะลอมไปส่งที่ร้าน แล้วฉันจะจ่ายเงิน” อาฉ่ารีบดึงพวงลิ้นจี่จากชะลอมใส่ลงในกระบุงทั้งสองใบอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็หิ้วชะลอมเปล่าทั้งห้าสิบใบไปส่งให้หญิงปากแดง นางควักเหรียญเงินจ่ายให้เขาตามราคาที่ตกลงกัน นางบอกเขาว่าหากมีชะลอมแบบนี้อีกสักร้อยใบ นางจะรับซื้อไว้ใส่ผลไม้ เพราะที่ตลาดนี้ไม่มีใครทำชะลอมฝีมือดีแบบที่เขาใส่ลิ้นจี่มา นางยิ้มให้เขาและพูดว่าคนซื้อคงยินดีจ่ายแพงขึ้นหากผลไม้ของนางได้บรรจุลงในชะลอมสวยๆ และฝีมือสานประณีตเช่นนี้ ที่หมู่บ้านหลี่ผะช่วงหัวค่ำ อาซึพาหมี่สามและหมี่เล็กไปนั่งเล่นรออาฉ่าที่ลานหมู่บ้านตั้งแต่ช่วงเย็น ในเวลาแดดร่มลมตกคนเฒ่าคนแก่มักออกมาพบปะสนทนาพูดคุยปรึกษากันด้วยเรื่องต่างๆ ที่ลานหน้าหมู่บ้าน พวกภรรยาก็มักมานั่งซุบซิบกันด้วยเรื่องในครัวเรือน พวกเด็กหญิงล้อมวงเล่นหมากเก็บด้วยกัน ส่วนเด็กชายเล่นโยนลูกหินและวิ่งไล่จับ เสียงหัวเราะ เสียงเชียร์ เสียงถกเถียงกันของเด็กๆ ทำให้หมู่บ้านนี้ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนัก หมี่โตและหมี่รองเพิ่งกลับจากไร่ ทั้งสองล้างเนื้อล้างตัวดีแล้วก็เอาผ้ามานั่งปักข้างอาซึตั้งแต่ยังมีแสงสว่าง ขณะที่ปักผ้าไปหญิงสาวพี่น้องก็ชะเง้อมองตามทางที่ลาดลงจากดอย หมี่สามและหมี่เล็กต่างเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ที่ล้อมวงส่งเสียงหัวเราะเกรียวกราว เมื่อตะวันลับเหลี่ยมเขา ความมืดเข้าครอบงำลานหมู่บ้านทุกตารางนิ้วแล้วอาฉ่ายังไม่กลับมา ผู้คนที่นั่งเล่นในลานชวนกันกลับเข้าบ้านทำอาหารกินในครอบครัว อาซึถอนหายใจหลายครั้งขณะพาลูกทั้งสี่เดินกลับบ้านใต้แสงจันทร์ เธอจุดตะเกียงทิ้งไว้ที่รั้วหนึ่งดวงและบอกให้ลูกๆ กินข้าวกันก่อน ส่วนเธอจะรอให้อาฉ่ากลับมาแล้วค่อยกินพร้อมเขา หนึ่งทุ่มกว่า ขณะหญิงทั้งห้ากำลังนั่งล้อมตะเกียงดวงน้อยและแกะเปลือกถั่วกันอยู่ในครัว เสียงกุบกับอ่อนล้าของเจ้าม้าเตี้ยก็ดังขึ้น “พ่อมาแล้ว!” หมี่เล็กตะโกน เธอผุดลุกขึ้นและกระโจนออกประตูหลังครัวลงบันไดอย่างรวดเร็ว หมี่โต หมี่รอง หมี่สาม และอาซึวิ่งพรูตามไป อาฉ่าเดินอย่างเหนื่อยอ่อนขณะจูงม้าเข้าบ้าน หมี่เล็กวิ่งเข้าไปชะโงกดูในกระบุงด้วยความหวังว่าจะได้เห็นของฝากจากตลาด แล้วเธอก็ทำหน้าเหลอเมื่อเห็นพวงลิ้นจี่เหี่ยวเฉาเต็มกระบุง พี่สาวทั้งสามยืนนิ่ง อาซึหายใจเข้าหนึ่งครั้งเธอก็เข้าใจได้ว่าสามีขายลิ้นจี่ไม่ได้แม้แต่พวงเดียว เธอไม่เอ่ยปากถามเขาว่าชะลอมไม้ไผ่ที่ใส่ลิ้นจี่หายไปไหนหมด เธอขยับตัวหันไปพูดกับลูกสาว “ลูกจ๋า ช่วยแม่หน่อย” อาซึสาวเท้าเข้าไปยกกระบุงอันหนักอึ้งออกจากอานม้าด้านซ้าย หมี่โตและหมี่รองก้าวขาเข้าไปช่วยกันยกกระบุงข้างขวา ส่วนหมี่สามยกมือลูบหัวและกอดคอเจ้าม้าเตี้ยอย่างเวทนา เธอยกอานแข็งๆ ออกจากหลังของมันและปลดสายบังเ**ยน หมี่เล็กรีบวิ่งไปยกถังข้าวโพดและถังน้ำมาตั้งไว้เบื้องหน้าเจ้าม้า มันสะบัดหูและยื่นจมูกเข้ามาที่หน้าหมี่เล็กก่อนอ้าปากเห็นฟันซี่โต หากเจ้าม้าพูดได้มันคงกล่าวคำขอบใจและขอตัวไปพักผ่อน อาฉ่ามองดูเมียและลูกสาวที่กุลีกุจอวุ่นวายอยู่รอบตัวเขา ไม่มีใครถามอะไรให้เขาอึดอัดใจ อาซึหันมาบอกเขาก่อนหันตัวทำท่าจะเดินไปที่บันได “เดี๋ยวฉันจะไปรินน้ำชาอุ่นๆ มาให้พี่ดื่มแก้เหนื่อยนะจ๊ะ” “อย่าเพิ่ง!” อาฉ่ายกมือห้าม เขากวักมือเรียกลูกทุกคนมายืนตรงหน้า จากนั้นเขาก็ควักเงินให้อาซึและลูกทั้งสี่คนละสองเหรียญเงิน “มีคนซื้อชะลอมของเราใบละห้าเหรียญทองแดง เขาอยากได้อีกหนึ่งร้อยใบ” อาซึกำเหรียญไว้แน่น ชะลอมอีกหนึ่งร้อยใบเป็นเงินยี่สิบห้าเหรียญเงิน เธอพยักหน้ากับสามี “จ้ะ พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปตัดไม้ไผ่มาเตรียมสานชะลอม” “ข้าไปเอง” อาฉ่าพูดสั้นๆ “จ้ะ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ฉันกับลูกไปทำไร่ เรากลับมาก่อนเวลาเย็นก็แล้วกันจะได้ลงมือสานชะลอมหนึ่งร้อยใบให้เสร็จเร็วๆ” อาซึบอกสามี อาฉ่าพยักหน้า อาซึเก็บเหรียญเงินใส่กระเป๋าเสื้อไว้ ลูกสาวทั้งสี่มองดูเหรียญเงินในมือของตนที่ส่งประกายแวววับ หมี่เล็กเขย่าเหรียญในมือเสียงดังกรุ๋งกริ๋ง เธออ้าปากหัวเราะด้วยความสุขใจแล้วแบมือออกไปหาอาซึ “หนูฝากแม่ไว้นะจ๊ะ” อาซึหยิบเหรียญเงินในมือหมี่เล็กใส่กระเป๋าที่เย็บซ่อนอยู่ด้านในของเสื้อตัวนอก หมี่โต หมี่รอง และหมี่สามต่างมีกระเป๋าพิเศษเช่นนั้นที่เสื้อของตน หญิงทั้งสามหย่อนเหรียญลงไปและยกมือทาบอกไว้ด้วยเกรงว่ามันจะตกหาย “เอาลิ้นจี่พวกนี้ไปแจกเพื่อนบ้านเราทุกหลังได้ไหมจ๊ะพี่ พวกเขาคงอยากชิม” อาซึเอ่ยปากถามสามีหลังจากยืนรีรอครู่หนึ่ง อาฉ่าพยักหน้าอีกครั้ง เขาไม่แน่ใจว่าพวกเพื่อนบ้านจะว่าอย่างไรเมื่อเห็นผลลิ้นจี่เปลือกสีคล้ำชอกช้ำหม่นหมองจากการบรรทุกหลังม้าไปกลับทั้งเช้าและเย็น ลูกสาวสี่คนของเขารีบวิ่งไปบ้านโน้นบ้านนี้เพื่อเอาผลลิ้นจี่ไปแบ่งปัน มีเสียงทักทายสอบถามดังระงมไปทุกครัวเรือน บางคนเปิดหน้าต่างกู่เสียงยาวแสดงความขอบคุณ อาพีถึงกับเดินส่องไฟมาส่งหมี่เล็กถึงบ้าน เช้าวันถัดมา อาฉ่าถือมีดจูงเจ้าม้าเข้าป่าไปตัดไม้ไผ่หลายต้น เขาผ่าปล้องไม้ไผ่เป็นซีกและบรรทุกหลังม้ากลับมาที่บ้าน ตกบ่ายอาซึและลูกสาวทั้งสี่รีบกลับจากไร่ พวกเธอต่างช่วยกันเหลาและเจียนไม่ไผ่เป็นเส้นบางๆ หลังอาหารค่ำต่างลงมือสานชะลอมอย่างขมีขมัน อาฉ่านำชะลอมหนึ่งร้อยใบบรรทุกหลังเจ้าม้าแก่ไปส่งยังแผงผลไม้ของหญิงปากแดงในวันรุ่งขึ้น มีพ่อค้าอีกร้านหนึ่งสั่งซื้อชะลอมจากเขาสองร้อยใบ พ่อค้าและแม่ค้าคนอื่นที่ขายผลไม้ต่างพากันสั่งซื้อชะลอมของอาฉ่าจำนวนมากเพื่อนำไปใส่สินค้าของตน อาฉ่าแบ่งงานกับเพื่อนบ้านให้มีเงินใช้กันทุกหลัง มีคนหนึ่งบอกขายม้าหนุ่มพันธุ์เตี้ยที่แข็งแรงให้เขาในราคาสามสิบเหรียญเงิน อาฉ่าตรวจดูม้าตัวนั้นและรับซื้อไว้อย่างยินดี คราวนี้เจ้าม้าแก่ก็มีผู้ช่วยแบกหาม มันไม่ต้องบรรทุกของหนักจนเกินกำลังอีกต่อไป สามเดือนให้หลัง กว่าอาฉ่าจะรู้ตัวว่าเขาเลิกกังวลเรื่องการไม่มีลูกชายไปแล้ว อาซึก็มากระซิบบอกเขาว่าเธอตั้งครรภ์ “โอย อายชาวบ้านจริงๆ มามีลูกอีกคนตอนอายุเท่านี้” อาฉ่าพูดเสียงนิ่ง เขาทำจมูกฟึดฟัดก่อนยกมือขึ้นทำท่าขยี้ตาทั้งที่ไม่มีผงฝุ่น เขามองหน้าภรรยาและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “คราวนี้อาจเป็นผู้ชายก็ได้นะ” อาซึพูดเสียงเบา “เป็นผู้หญิงก็ไม่เป็นไรหรอก ผีบรรพบุรุษเราเขาคงไม่ว่า พี่น้องผู้ชายของข้ามีลูกชายสืบตระกูลกันแล้ว พวกเขาเสียอีกที่ไม่รู้ว่าการมีลูกผู้หญิงเยอะๆ นี่ดีอย่างไร” อาฉ่ามองไปที่ลูกสาวทั้งสี่ที่กำลังสานชะลอมพลางคุยกันด้วยท่าทางรื่นเริงสลับกับเสียงหัวเราะเหมือนเสียงนกยามเช้า ครู่หนึ่งอาฉ่าลุกขึ้นยืนและเดินออกไปที่ริมรั้ว เขาแหงนหน้ามองต้นลิ้นจี่ที่แตกใบสะพรั่ง วันรุ่งขึ้น อาฉ่าจัดการรื้อรั้วที่ล้อมต้นลิ้นจี่ไว้และปรับแนวรั้วใหม่โดยให้ต้นลิ้นจี่อยู่นอกเขตบ้านของเขาหนึ่งช่วงแขน เขาประกาศเสียงดังให้เพื่อนบ้านได้ยินทุกคน “ทีนี้มันก็ไม่ใช่ต้นลิ้นจี่ของข้าคนเดียวแล้วนะ มันเป็นของพวกเราทุกคน” อาพีเมื่อได้ยินก็ยื่นหน้าออกจากประตูบ้านของตน เขาประกาศเสียงดังเช่นกันว่า “ลิ้นจี่ของพวกเราแสนอร่อย รสชาติหวานแหลม แม้เปลือกจะหนาและเม็ดโตไปหน่อยก็ไม่ใช่ปัญหา ระวังอย่าให้มันติดคอก็แล้วกัน ฮ่าๆๆ ปีหน้าเรามาช่วยกันเก็บไปฝากญาติๆ กันนะ ทุกคนต้องดีใจและมีความสุข” อาฉ่าหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม