Born to be
: 6 :
เดตแรกของเรา
ฉันตื่นขึ้นมาเกือบจะถึงเวลานัดแล้วดีนะที่รู้สึกตัวรีบพาตัวเองเข้าห้องน้ำอาบน้ำชำระร่างกาย เมื่อคืนก็คือหลับคามือถือเลย เร่งรีบตัวเองมองนาฬิกาหัวเตียงก็ใกล้เวลาที่จะนัดหมายแล้วฉันส่งโลเคชั่นให้พี่สองเรียบร้อย ดังนั้นเวลามีไม่มากก็เลยเลือกสวมเสื้อกล้ามสีขาวและทับด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อตน้ำเงินขาวและกางเกงยีนส์ขาเดฟสีดำ ผมก็มัดลวกๆ ไว้ตรงท้ายทอย แต่งหน้าไม่ทันแล้วสิ สิ่งที่ทำได้คือทาแป้งทาลิปสติกชมพูเท่านั้นเป็นอันเสร็จ เปิดประตูออกมาก็เห็นเพื่อนของน้องรวมถึงน้องชายที่นอนขึ้นอืดบนโซฟา เดินไปหยิบรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีดำมาสวม
“จะไปแล้วเหรอครับพี่เคลียร์”
“แต้งท์” หันไปมองร่างสูงที่มายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เมื่อกี้ก็ไม่ได้สังเกตด้วยสิ แต่มองคิงกับหม่องนอนกันอยู่ฉันเลยพยักหน้ารับ
“ไปนะ”
“เดี๋ยวสิครับ พี่แน่ใจเหรอว่าแฟนคนนี้จะไม่นอกใจทำเรื่องเลวๆ กับพี่ เหมือนแฟนเก่า” คำถามของแต้งท์ทำให้ฉันที่เปิดประตูกำลังจะก้าวเท้าออกไปหันไปมองเขาด้วยสีหน้ามึนงง
“เขาไม่เหมือนไอ้โดม”
“...”
“พี่บอกได้แค่นี้ล่ะ ไปก่อน”
ค่อนข้างแปลกใจกับคำถามของแต้งท์ ปกติเพื่อนของคิงทุกคนเว้นระยะห่างกับฉัน ไม่ถามเรื่องส่วนตัวหรอกนะเป็นครั้งแรกที่แต้งท์เอ่ยถามขึ้นมาจนฉันได้แต่มึนงง แต่ก็สลัดความคิดนั้นออกไปรีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าลิฟต์ มองเข็มนาฬิกาที่กำลังบ่งบอกว่าอีกไม่กี่วินาทีจะถึงเวลานัดแล้ว หวังว่าพี่สองคงจะไม่มาหรอกใช่ไหม ถ้าเขามาก็คงจะส่งข้อความมาบอกฉันแล้วแต่นี่ยังไร้วี่แววอยู่แล้ว ขึ้นว่าอ่านตอนที่ฉันส่งโลเคชั่นไปให้ก็เท่านั้น
วิ่งออกจากคอนโดเห็นรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์จอดรออยู่ โดยมีร่างสูงนั่งคร่อมรถรอ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนถึงข้อศอกและกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อแบบเดียวกับฉันเลย ราวกับรองเท้าคู่อะ? คิดบ้าอะไรเนี่ยเคลียร์
“พี่สอง มานานหรือยังคะ”
“ประมาณสิบนาที”
“ละ แล้วทำไมไม่ส่งข้อความมาบอกเคลียร์ล่ะคะ?!” ฉันเผลอตวาดใส่เขา บ้าจริง มารอตั้งสิบนาทีเนี่ยนะ ดีหน่อยที่แดดวันนี้ไม่ได้แรงขนาดทำให้เขานั่งรอไม่ได้
“พี่ไม่ค่อยชอบส่งข้อความ”
“เมื่อคืนคุยกับเคลียร์ยังส่งได้เลยนะคะ”
“ก็เมื่อคืนเคลียร์คุยกับพี่ก่อน พี่ก็เลยคุย” ให้ตายสิวะ! คือถ้าฉันไม่เริ่มก่อนเขาจะไม่คุยใช่ไหม
“แต่เดตแรกนะคะ ยังไงก็ต้องส่งมาบอกเคลียร์”
“งั้นเหรอ” พี่สองเลิกคิ้วขึ้นพลางยื่นหมวกกันน็อกสีดำไม่มีหน้ากากมาให้ฉัน “ถ้าไม่มีธุระ พี่ส่งข้อความคุยกับเคลียร์ได้ใช่ไหม?”
“ได้สิคะ อยากจะคุยเรื่องอะไรก็คุยมาเถอะค่ะ”
“ไม่รำคาญพี่”
“ใครจะไปรำคาญคะ บอกเลยว่าเคลียร์ชอบคุย ชอบเม้าท์ค่ะ” ถึงจะรู้ว่าพี่สองไม่ชอบคุยและไม่ชอบเม้าท์แบบฉันก็เถอะนะ กะอีแค่ส่งข้อความมาบอกว่าถึงแล้วนะมันจะไปยากอะไร เมื่อคืนนี้นะบทจะคุยผ่านข้อความได้ก็คุย บทจะไม่คุยก็ตามนี้เลย เฮ้อ ฉันสวมหมวกกันน็อกพลางกระโดดขึ้นรถซ้อนท้ายเขาอย่างคล่องแคล่ว “วันนี้มีสามที่ที่เคลียร์จะพาไป เดี๋ยวบอกทางนะคะ”
“อืม”
พี่สองสตาร์ทรถและขับออกจากคอนโดฟังเส้นทางที่ฉันจะพาเขาไปอันดับแรก พอได้ซ้อนท้ายเขาและโน้มใบหน้ามองเห็นเพียงแค่ดวงตาคมที่ทอดมองไปยังเส้นทางตรงหน้าโดยไม่วอกแวกเลยแม้แต่นิด ฉันลอบยิ้มออกมาเพราะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้เดตกันแบบไม่ต้องเข้าผับกินเหล้าหรือทำอะไรก็ตามที่เน้นเรื่องบนเตียงแบบที่ไอ้โดมมันชอบจะทำกับฉัน สามเดือนที่ต้องคบกับมันจ้องจะลากฉันขึ้นเตียงอย่างเดียว ไม่รู้จะหื่นอะไรขนาดนั้น เพราะแบบนี้ไงถึงแอบไปสมสู่กันลับหลังฉัน ไม่สิเคลียร์ เลิกพูดถึงเรื่องของพวกมันสักที จากนี้ชีวิตของฉันอยู่เหนือพวกมันนั่นคือการเอาคืนแบบเต็มรูปแบบต่างหาก
อยากเห็นน้ำของไอ้โดมเหลือเกิน อยากจะรู้ว่ามันจะรู้สึกยังไงที่ฉันคบกับพี่ชายของมัน พี่ที่มันนับถือมากที่สุดบอกเลยแค่คิดว่ามันรู้ว่าฉันหาผู้ชายได้ดีกว่ามันล้านเท่า ทั้งมันทั้งอีจีจี้คงอกแตกตายแน่นอน
“หึหึ” ฉันหัวเราะในลำคอจนพี่สองเบนสายตามามอง ก็รีบปรับสีหน้าเป็นฉีกยิ้มกว้างให้กับเขา ฉันก็บอกเส้นทางให้พี่สองผ่านโลเคชั่นสถานที่ที่จะพาเขาไปอันดับแรก รถของพี่สองขับไปตามเส้นทางกระทั่งเขาเลี้ยวรถเข้ามาจอดที่สถานที่แห่งหนึ่งเป็นโดมขนาดยักษ์และมีหลากหลายชั้น เมื่อคืนทำการบ้านมาอย่างดีเลยล่ะรู้ว่าจะไปตรงไหนหรือเขาชอบอะไร ดังนั้นพอกระโดดลงจากรถฉันก็คืนหมวกกันน็อกให้พี่สองที่เอาไปเหน็บไว้ตรงเบาะรถ เขาใช้มือยีเส้นผมของตัวเองให้เข้าทรงอ่านป้ายด้านหน้าก็หันมาสบตากับฉัน “ไปกันค่ะ”
ควงแขนเขาเข้าไปด้านในอันดับแรกก็พบกับอาคารที่โล่งมาก คนไม่ค่อยเยอะสักเท่าไหร่เหมาะกับผู้ชาย introvert อย่างเขาแน่นอนเพราะพี่สองดูไม่เลิ่กลั่กหรือตื่นกลัวที่เห็นผู้คนสักเท่าไหร่ เนื่องจากนับคนได้เลยว่ามีไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ ฉันลงทะเบียนเข้าเยี่ยมชมเสร็จก็หยิบกระดาษขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กมากมาถือและพาเขาเดินบันไดขึ้นมายังชั้นสองเพื่อตรงไปที่โซนแสดงเกี่ยวกับงาน Art ทุกชนิด
“เคยมาไหมคะ?”
“ไม่เคย ปกติพี่ไปแต่หอศิลป์”
“ดีแล้วค่ะ เพราะเคลียร์คิดว่าพาพี่สองมาที่นี่ พี่สองน่าจะชอบ” ฉันส่งยิ้มหวานให้กับเขาเดินนำมายังชั้นสองที่เป็นโซนทางโล่งจัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัย ด้วยแนวคิดร่วมสมัยและทันสมัยจากศิลปินชาวจีนเลยนะ มีพื้นที่ให้นั่งชมให้ศิลปินมีอิสระในการวิจารณ์หรือปลดปล่อยความเป็นตัวเองได้อย่างสร้างสรรค์ เป็นการปะติมากรรมรังสรรค์ขึ้นจากดินที่นำมาปั้นเป็นรูปลักษณ์ต่างๆ ฉันหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปเผื่อเอาไว้ลงไอจี ก่อนจะหันไปมองพี่สองที่หยุดดูเครื่องปั้นที่ตั้งอยู่ตรงกลางเป็นรูปปั้นเหมือนคนกำลังนั่งคิดอะไรบางอย่างหากแต่ว่าไร้ซึ่งสีหน้าที่กำลังฉงนคิด
“อยากไปดูตรงอื่นบ้างไหมคะ?”
“อืม” เขาหันมาพยักหน้ารับฉันก็เลยพาพี่สองไปชั้นสามที่จัดแสดงงานศิลปะผ่านพู่กัน ที่ถูกรังสรรค์เป็นภาพวาดทั้งบุคคลสำคัญรวมไปถึงตัวการ์ตูนน่ารัก “อยากให้พี่ถ่ายรูปให้ไหม”
“คะ? เอ่อ ได้เหรอคะ”
“ได้สิ เดี๋ยวพี่ถ่ายให้” เพราะฉันยืนอยู่ตรงหน้ารูปภาพตัวการ์ตูนถือดอกไม้ พี่สองจึงหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาแทนการรับมือถือของฉันไป จากนั้นเขาก็เตรียมตัวถ่ายรูปให้ฉันที่ทำอะไรไม่ถูกจึงยืนหันข้างและหันหน้าเข้ามองรูปภาพ พอพี่สองถ่ายให้เสร็จเขาก็เอามาให้ฉันดู จะบอกว่า... ถ่ายภาพได้ห่วยมากเลยพี่สอง! “โอเคไหม”
“ค่ะ” เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจฉันก็พยักหน้ารับว่ามันสวยและมันดีมาก “เคลียร์ถ่ายให้พี่สองบ้างนะคะ”
“พี่ไม่...”
“ถ่ายเถอะค่ะ เอาตรงรูปนี้ก็ได้” ฉันจูงมือเขาไปมาหยุดตรงหน้าภาพขนาดใหญ่ พื้นหลังกำแพงเป็นสีน้ำเงินเข้มมีแสงไฟสาดส่องลงมาที่รูปภาพที่เป็นชายหญิงกอดจูบกันเป็นงานศิลปะที่สวยงามมาก พี่สองยืนทำหน้านิ่งจนฉันมองผ่านเลนส์กล้องมือถือและต้องถอนหายใจออกมา “หันข้างหน่อยค่ะ”
“แบบนี้เหรอ?”
“ใช่ค่ะ นั่นแหละดีกว่ามองไปที่ภาพวาดนะคะ” พี่สองทำท่าแบบเก้ๆ กังๆ จนฉันผุดยิ้มขึ้นมาด้วยความเอ็นดู ทำไมเขาถึงได้น่ารักขนาดนี้นะ หนุ่มโลกส่วนตัวสูงมีมุมที่น่ารักและน่าค้นหาอยู่นะเนี่ย ถ่ายรูปเขาท่าเดิมไปสามรูปฉันก็เอามาให้เขาดู พี่สองก็ไม่หือไม่อืออะไร กลับห้องค่อยส่งให้เขาก็แล้วกัน
เราสองคนอยู่ในหอจัดแสดงงานศิลป์ทุกชนิดและของทุกศิลปินด้วยซ้ำ ง่ายๆ ฉันกับพี่สองคือเดินดูทั่วทุกชั้น และดูเหมือนพี่สองจะมีท่าทีที่ผ่อนคลายมาก เขาสามารถนั่งดูงานศิลป์ได้เป็น 10-20 นาทีโดยไม่พูดสักคำเดียว ปล่อยให้ฉันเดินดูคนเดียวแต่ก็มีบ้างที่รู้สึกเหมือนเขาคอยมองฉันอยู่ตลอดเวลา เป็นการมาเดตที่ทำให้ฉันรู้สึกดีมากเลยนะอย่างน้อยไม่เคยได้มาในสถานที่แบบนี้ ปกติคือเข้าผับ กินเหล้าเป็นว่าเล่น พอได้มาผ่อนคลายในแบบที่ไม่เคยทำก็ยิ่งทำให้ฉันสบายใจมากขึ้น รวมไปถึงผู้ชายโลกส่วนตัวสูงอย่างพี่สองเอง
“เอาชาพีชค่ะ แล้วก็เค้กช็อกโกแลต พี่สองเอาลาเต้นะคะ” คนตรงหน้าพยักหน้ารับก่อนที่ฉันจะสั่งเครื่องดื่มให้เขาด้วย หลังจากที่อยู่ที่หอจัดแสดงจนถึงบ่าย ฉันก็ให้พี่สองขับรถพามาที่คาเฟ่แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากหอจัดแสดง มาถึงก็พบว่าคาเฟ่ดูดีกว่าในภาพที่ฉันดูซะอีกนะ ตอนนี้เราสองคนเลือกเข้ามานั่งในสวนหลังร้านที่ไร้ซึ่งผู้คนเป็นแบบ Out Door ที่ฉันเลือกที่นี่ก็มีเหตุผลเดียวนั่นแหละ... “กินเค้กกับเคลียร์ได้ไหมคะ”
“ได้”
“เอาแค่นี้ก่อนค่ะ แล้วก็ขอรูประบายสีผ้าแคนวาสแล้วก็สีน้ำ พู่กันด้วยนะคะ”
“ทำไมขอแบบนั้นล่ะที่ร้านมีเหรอ?” พี่สองเอ่ยถามขณะที่พนักงานบอกว่ารอเครื่องดื่มสิบนาทีและจะเอาผ้าแคนวาส สีและพู่กันมาให้
“ที่นี่เป็นคาเฟ่วาดรูปได้ค่ะ เคลียร์เลยเลือกมานั่งตรงนี้”
“...”
“เพราะเคลียร์รู้ว่าพี่สองไม่ชอบที่คนเยอะๆ และศิลปะทำให้พี่สองผ่อนคลาย” ตอบเขาพลางระบายยิ้มอ่อนเตรียมตัวสำหรับวาดรูป กำลังคิดว่าจะวาดอะไรดีนะ “เราวาดรูปกันนะคะ แล้วก็แลกกันตอนกลับ ตกลงไหมคะ?”
“ได้ แต่เคลียร์วาดรูปได้?”
“พี่สองอย่างดูถูกเคลียร์นะ เคลียร์เด็กสถาปัตย์วาดรูปได้อยู่แล้วค่ะ”
[30%]
*---------------------------------------------*