เล่นกับรัก :: CHAPTER 3 ต้องเดินหน้าเท่านั้น [50%]

1482 คำ
Born to be : 3 : ต้องเดินหน้าเท่านั้น Introvert .รักใครรักนาน แต่โสดก็โสดนาน .ชอบให้คนมาจีบ แต่ก็ขี้รำคาญ .ช่วงอารมณ์ไม่โอเคก็จะไม่ตอบ หรือถ้าชอบใครก็ไม่จีบเหมือนกัน .ชอบแอบส่องเวลาเราจะทำอะไร .บทจะจีบง่ายก็ง่ายไปหมด บทจะจีบยากแชทมาก็ไม่อ่าน ไม่ตอบ ไม่สนใจ .เป็นคนย้อนแย้งที่ใจร้ายและใจดีในเวลาเดียวกัน .ไม่ชอบคุยโทรศัพท์ .ตอบแชทไวถ้าคนๆ นั้นสำคัญสำหรับเขา ปล. ถ้าเขาเปิดใจให้ใครแสดงว่าคนนั้นต้องพิเศษสำหรับเขา เขาชอบอยู่ในโลกของตัวเองมากกว่าเข้าไปอยู่ในโลกของคนอื่นและไม่ชอบเข้าสังคม เวลาโฟกัสเรื่องอะไรเขาก็จะโฟกัสแต่สิ่งนั้นจนไม่มีเวลามองใคร “นี่คือขนาดตัวอย่างนะเนี่ย ทำไมมันยากเย็นขนาดนี้วะ!” ฉันโยนมือถือลงบนเตียงขณะนอนคว่ำเพื่ออ่านรายละเอียดคน introvert ถึงได้รู้ว่าเอาใจยากสุดๆ ฉันต้องอดทนขนาดไหนถึงจะได้เข้าไปในโลกของเขาเนี่ย แค่เดินไปจีบเขาแล้วบอกว่า ‘พี่สองคะ คบกับเคลียร์เถอะ’ คิดว่าเขาจะทำยังไงล่ะถ้าไม่เมินฉันหรือไม่ก็มองฉันเป็นคนบ้าก็ได้นี่นา ถอนหายใจพลิกตัวหยิบกระเป๋าผ้ามาเทของข้างในออกเพื่อออกแบบภายในต่อ หากแต่ว่าสิ่งที่ปะปนมาเป็นกล่องอะไรบางอย่างที่แปลกตาและฉันจำได้ว่าตัวเองไม่มีกล่องแบบนี้แน่ “ไปเก็บกล่องอะไรกลับมาเนี่ย” หยิบมาเปิดดูก็พบว่าของข้างในเป็นดินสอขนาด EE สองแท่งและดินสอ 2B สองแท่งรวมไปถึงยางลบคาร์บอน ตัวดินสอ EE บางอันใช้จนต้องสวมที่ต่อดินสอไม่เว้นแม้แต่ดินสอ 2B ด้วยซ้ำ “เดี๋ยวนะ... ฉันมีของแบบนี้ด้วยเหรอ?” นึกย้อนกลับไปว่าฉันไปได้กล่องแบบนี้มาจากไหนก็พลิกตัวกล่องเหล็กที่มีสีน้ำหลากหลายสีป้ายจนเลอะ ก็เห็นตัวอักษรด้านหลังเขียนว่า Sxng ปี 4 “โอ๊ะ! ของพี่สองตอนที่ชนกัน” หรือว่าฉันรีบจนเอากล่องเหล็กเขาเก็บใส่กระเป๋านะ ต้องใช่แน่ๆ แต่พอเห็นดินสอของเขาที่ใช้อย่างประหยัดก็ไม่เห็นสมกับที่ขับรถบิ๊กไบค์ราคาหลักล้านได้เลยนะ หรือเด็กศิลป์ทุกคนจะเป็นแบบนี้ ฉันคิดอะไรบางอย่างออกก็ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะทำงานเปิดลิ้นชักหยิบดินสอของตัวเองที่ใช้สำหรับวาดรูปตอนปีหนึ่งที่ซื้อไว้เยอะไม่ได้ใช้ใส่ลงไปในกล่องดินสอเขาอย่างละห้าแท่งและคิดเอาไว้ว่าพรุ่งนี้จะเอาไปคืนเขาด้วยตัวเอง ออด ออด~ เสียงกดกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้นรัวๆ จนฉันวางกล่องเหล็กไว้บนเตียงเปิดประตูออกไปมองคิงที่วันนี้ไม่ได้ทำงานแต่นั่งทำรายงานกับเอ็มอยู่ตั้งแต่เย็นจนถึงดึก โผล่หน้าออกไปเห็นหม่องกับชุนที่ยืนทำหน้าตื่นตระหนก “พวกมึงมีอะไร?” คิงเอ่ยถามหม่องกับชุนที่ยืนทำหน้าพร้อมจะมีเรื่องอยู่ตลอดเวลา แบบนี้ไม่ดีแน่ “ไอ้แต้งท์โดนพวกไอ้โยลากไปซ้อมอะดิ” “ว่าไงนะ! ที่ไหน” “ตรงหลังวิทลัย มันโทรมาขอความช่วยเหลือ มึงจะเอาไง?” “ไปดิ” “เดี๋ยวคิง” ได้ยินแบบนั้นฉันก็รีบห้ามน้องชายที่หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์แบบลวกๆ กำลังจะเดินออกไปมีเรื่องดึกดื่นจนต้องคว้าต้นแขนคิงไว้ “อย่าไปเลย เชื่อพี่” “ไม่ไปได้ไง เคลียร์ก็ได้ยินไอ้แต้งท์โดนพวกนั้นจับไปซ้อม” “ก็แจ้งตำรวจดิ จะไปให้เกิดเรื่องต่อยตีทำไม?” “ไม่ได้” คิงเค้นเสียงแข็ง “มันทำเพื่อนผม ยอมไม่ได้” “แต่พี่ไม่ให้คิงไป” ยังคงรั้งน้องด้วยการบีบต้นแขนเขาแน่น เขาไม่เจ็บหรอกมีแต่จะดันฝ่ามือฉันออกจากต้นแขน “เคลียร์ ปล่อยผม” “คิง” “เคลียร์ไม่ใช่แม่ผมนะ อย่ายุ่งจะได้ไหม” ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายมองแผ่นหลังกว้างที่เดินไปกับเพื่อนเตรียมตัวไปต่อยตีกับคู่อริ จนฉันทนไม่ไหวเข้าไปหยิบมือถือกับคีย์การ์ดวิ่งตามคิงกับเพื่อนไป พอลงมาถึงชั้นล่างก็เห็นรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์สี่คันขับออกจากคอนโดจังหวะนั้นวินมอเตอร์ไซค์ขับผ่านมาพอดีฉันก็เลยกระโดดซ้อนท้ายให้ขับตามคิงไป พวกนั้นคือขับเร็วจนไม่สนคนใช้ถนนคนอื่นเลยสักนิด แถมยังมีพวกของคิงอีกประมาณสิบคนที่ยืนรออยู่หน้าวิทยาลัยที่เรียนของคิงกับเพื่อน ลงจากวินมอเตอร์ไซค์ฉันก็เดินไปที่หน้าวิทยาลัยซึ่งตอนนี้ปิดทำการเป็นที่เรียบร้อย พลางเดินตรงไปอีกนิดจะเป็นซอยข้างๆ ที่ค่อนข้างเปลี่ยวและไม่มีรถผ่าน ฉันเดินไปหวังจะแอบดูเผื่อว่าน้องจะเจ็บตัวจะได้โทรเรียกตำรวจได้ หากแต่ว่าพอไปถึงก็เห็นฝุ่นฟุ้งกระจายราวกับเห็นหมาหลายสิบตัวกำลังกัดกัน แต่นั่นคือคนและหนึ่งในนั้นคือน้องชายเธอไงเคลียร์! ฉันมองไม่เห็นเลยว่าคิงกับพวกอยู่ตรงไหน รู้แค่นี้ตอนนี้ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกโวยวาย เสียงดังตุ้บตับเหมือนพวกนั้นกำลังกินขนมยี่ห้อนั้นกันอยู่ (เปรียบเทียบอะไร) “ตามไปเร็ว!” เห็นคิงที่ถือไม้หน้าสามชี้ไปทางกลุ่มคู่อริที่วิ่งหนีตายกันออกมาจากซอย ฉันก็เลยรีบวิ่งหนีมาหลบตรงเสาไฟบ้างมองเห็นคิงถือไม้ไล่ตีพวกนั้น ศีรษะของน้องชายแตกจนเลือดไหลอาบหน้ารวมไปถึงรอยแตกตรงมุมปาก รถทุกคันที่กำลังวิ่งสัญจรเพราะไฟสัญญาณเปลี่ยนเป็นสีเขียวก็ต้องหยุดชะงักที่กลุ่มคนวิ่งไล่ตีกันนับยี่สิบคน พอเห็นคิงวิ่งตามพวกนั้นไปฉันก็ไม่รีรอที่จะสาวเท้าไปดูน้องด้วยความเป็นห่วง หากแต่ว่า... ปรี้น! “กรี๊ด” ตุ้บ ด้วยเพราะไม่ทันมองว่ามีรถกำลังวิ่งอยู่บนท้องถนน ทำให้ฉันกรีดร้องออกมาสุดเสียงและล้มลงทันทีจนฝ่ามือขวาขูดกับพื้นถนนจนถลอกเลือดไหล ฉันถึงกับหอบหายใจหนักและหันไปมองกลุ่มของเด็กช่างที่หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ กำลังจะลุกขึ้นหากแต่ว่าผู้ชายคนนั้นที่เบรกรถทันไม่ให้ชนฉันตายบนท้องถนนก็มาประคองฉันให้ลุกขึ้นยืน “วิ่งออกมาดูรถด้วย” “ขอโทษค่ะ” ฉันขอโทษขอโพยเขาที่ดันหน้ากากหมวกกันน็อกขึ้นและถอดหมวกออก ใบหน้าหล่อเหลาที่มองจ้องมาทำให้ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “พะ พี่สอง!” “รู้จักพี่ด้วย” นี่ถ้าฉันเชื่อว่าพรหมลิขิตมีจริงก็คืออะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น พี่สองมึนงงไม่น้อยที่ฉันรู้จักกับเขาก่อนจะให้ฉันถือหมวกกันน็อกของเขาเพื่อที่จะเข็นรถมาจอดข้างทางไม่ให้บดบังการสัญจรของรถคันอื่น พี่สองสั่งให้ฉันนั่งรอตรงขอบปูนแปลงดอกไม้หน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ฉันมองฝ่ามือที่ถลอกปอกเปิดพลางถอนหายใจออกมาไม่รู้ว่ากลุ่มของคิงจะเป็นยังไงบ้าง แต่ได้มาเจอพี่สองคือเหมือนฝันเลย เดี๋ยวนะเคลียร์... เธอฝันปะวะ? ลองตบหน้าตัวเองมันเจ็บ แสดงว่าฉันไม่ได้ฝันไป “ล้างแผลก่อน” “ขอบคุณค่ะ” พี่สองเดินกลับมาพร้อมถุงยาที่เข้าไปซื้อในร้านสะดวกซื้อ เขานั่งลองข้างๆ ฉันจากนั้นก็จับมือฉันไปวางบนหน้าตักและเปิดขวดน้ำเกลือชุบกับสำลีล้างแผลให้อย่างเบามือ “ขอโทษนะคะที่เคลียร์วิ่งออกไปแบบนั้น” “ระวังด้วย” “เคลียร์นะคะ เด็กสถาปัตย์ปีสองค่ะ มหาลัยเดียวกับพี่สอง” “รุ่นน้องไอ้ซัน” “ใช่ค่ะ พี่ซันเพื่อนพี่สอง เคลียร์ถึงได้รู้จักพี่” เขาไม่ตอบและไม่หือไม่อือด้วยนะ ล้างแผลให้ฉันจนคราบต่างๆ มันหายไปเขาก็ทายาและปิดด้วยพลาสเตอร์ยาสีใสเป็นอันเสร็จ “วันนี้เราก็เจอกัน พี่สองจำไม่ได้เหรอคะ” “ไม่” ตอบตรงเวอร์! ฉันสวยขนาดนี้ช่วยจำหน่อยได้ปะ [50%] *------------------------------------------------*
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม