เอาเข้าจริง ฉันก็เลิกคิดถึงเรื่องมอร์แกนไม่ได้สักที ถึงจะพยายามทำเป็นไม่สนใจ แต่พอเห็นเขาไปรับไปส่งไมเคิลทุกเช้าและตอนเย็น ฉันก็อดที่จะลอบมองเขาไม่ได้
เขายังคงเหมือนกับวันแรกที่ฉันได้เจอ
หล่อเหลา...ภูมิฐาน...มีเสน่ห์ยั่วยวนผู้หญิงโดยเฉพาะ
แววตา
ดวงตาคู่นั้นของเขามีพลังอำนาจและสวยมากจริงๆ
ฉันเผลอจ้องเขานานไปโดยไม่รู้ตัวทีเดียวขณะที่เขากำลังคุยกับพี่บี๋เรื่องพฤติกรรมของไมเคิลในวันนี้
อ้อ ฉันคงลืมบอกไปสินะว่าไมเคิลหรือที่มอร์แกนเรียกว่า ‘ไมค์กี้’ เป็นเด็กชายลูกครึ่งอเมริกัน - ไทยน่ะ ให้เดา ฉันก็คงจะเดาว่ามอร์แกนคงจะมีภรรยาเป็นชาวไทย ลูกชายเขาถึงได้เป็นลูกครึ่งแบบนี้
เฮ้อ...ทำไมฉันต้องมาตกหลุมรักคนมีเจ้าของด้วยนะ
คิดๆ ดูแล้ว บางทีฉันอาจจะไปเป็นมือที่สามของครอบครัวเขาโดยไม่ตั้งใจก็ได้ ดีแล้วล่ะที่เขาฟันฉันแล้วทิ้ง ไม่อย่างนั้นฉันคงจะรู้สึกผิดกับเด็กน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างไมเคิลมากกว่านี้เป็นแน่
ครูพี่เลี้ยงเป็นชู้กับคุณพ่อของนักเรียน...แค่คิดก็รู้สึกแย่แล้ว
ถ้าจะโทษว่าเป็นความผิดใคร ก็ต้องโทษมอร์แกนนั่นแหละ ส่วนฉันเองก็โง่ที่ไม่รู้จักสืบข้อมูลส่วนตัวของเขาให้ดีก่อนว่าเขาไม่ได้มีใครเป็นตัวเป็นตนก่อนจะไปพลีกายให้เขา
โง่มาก โง่จริงๆ!
แต่มันผ่านมาแล้ว จะให้กลับไปแก้ไขคงทำอะไรไม่ได้ แล้วก็ชักโกรธตัวเองแล้วด้วยที่รู้ทั้งรู้ว่าเขามีลูกมีเมียแล้ว ยังจะกลับไปตกหลุมรักเขารอบที่สองอีก
ไอ้หัวใจไม่รักดี ช่วยรู้จักความถูกผิดเสียบ้างเถอะ!
ฉันจ้องมองเขาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ก่อนที่จะต้องรีบหลบสายตาเมื่อจู่ๆ มอร์แกนก็เบนสายตามามองฉันกะทันหัน
ฉันแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ สาละวนกับการตัดกระดาษและเย็บเป็นหมวกของเล่นให้นักเรียนตรงหน้า ขณะที่มอร์แกนหัวเราะออกมาน้อยๆ
สาบานได้เลยว่าเขาคงไม่ได้หัวเราะให้กับคำพูดของพี่บี๋หรอก ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคุยอะไรกัน แต่เสียงหัวเราะเมื่อกี้นั้นคงจะต้องหัวเราะฉันเป็นแน่
เจ็บใจนะ แต่ทำอะไรไม่ได้ ฉันถึงได้แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างนี้ไง
ส่วนเรื่องของมอร์แกน ฉันเพิ่งมารู้จากปากของพี่บี๋ในวันอื่นๆ ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับการลงทุนที่มาเปิดบริษัทในไทยกับเพื่อนชาวไทยของเขา ทำให้เขาต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย ส่วนเรื่องที่เขาพูดภาษาไทยได้ชัด นั่นก็เพราะว่าเขาเคยมาใช้ชีวิตอยู่กับพ่อแม่ที่พาเขามาเที่ยวตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าเที่ยวกันอย่างไร เที่ยวไปเที่ยวมาก็ติดใจเมืองไทยและอยู่ยาวเสียอย่างนั้น รวมถึงเข้าโรงเรียนในไทยด้วย
“เดาเอาว่าคุณพ่อของไมค์กี้น่าจะรวยมากด้วยนะ
น่าเสียดาย ฝรั่งดีๆ มีเมียไปหมดซะละ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ พี่ไม่ปล่อยให้หลุดรอดมือไปได้แน่ๆ”
พี่บี๋เพ้อฝันขึ้นมาขณะที่เรากำลังร่วมมื้ออาหารกลางวันกัน ฉันทำเป็นไม่ได้ยิน ก่อนที่พี่บี๋จะเพ้อขึ้นมาอีก
“ผู้หญิงที่เป็นเมียเขาโชคดีจังเลยน้า ผัวก็หล่อ ลูกก็น่ารัก
น่าอิจฉาชะมัด”
“ชีวิตของพี่บี๋ก็น่าอิจฉานะคะ สามีของพี่ก็น่ารัก เป็นคนดี ลูกๆ ก็เชื่อฟัง ตั้งใจเรียนดี น่าอิจฉาไม่แพ้กันหรอกค่ะ”
ฉันดึงสติให้ พี่บี๋ถึงได้ตีโต๊ะดังปัง
“นั่นสินะ พี่จะไปอิจฉาเขาทำไมเนอะ”
ใช่ จะไปอิจฉาทำไม มีสามีดีอยู่แล้วนี่
“แต่ก็น่าเสียดาย ถ้าผัวพี่หล่อได้ครึ่งหนึ่งของคุณพ่อไมค์กี้ก็คงจะดี”
แล้วก็อดเพ้อขึ้นมาอีกไม่ได้ ฉันคันปากยุบยิบ อยากจะบอกเหลือเกินว่าผู้ชายคนนั้นก็มีดีแค่หน้าตากับฐานะเท่านั้นแหละ เรื่องรักครอบครัว...ฉันไม่ขอพูดถึงแล้วกันเพราะฉันไม่รู้ แต่ผู้ชายที่รักครอบครัวจริงๆ ต้องไม่หาเศษหาเลยนอกบ้านสิ แม้ว่าฉันจะเป็นเศษเป็นเลยอะไรของเขาก็ตาม
“ว่าแต่เราสองคนยังไม่เคยเจอแม่ของไมค์กี้เลยเนอะ เห็นมาโรงเรียนทีไรก็มีแต่คุณพ่อไปรับไปส่ง”
พี่บี๋เริ่มเรื่องอีกแล้ว ฉันไม่อยากคุยเรื่องของมอร์แกน ทว่าก็เลี่ยงไม่ได้
“คุณแม่อาจจะไม่ว่างก็ได้ค่ะ”
ฉันตอบไปเรื่อยเปื่อย หากแต่พี่บี๋กลับทำหน้าสงสัยกว่าเดิม
“ต่อให้ไม่ว่างก็ต้องโผล่มาให้เห็นบ้างนะ นี่ตอนปฐมนิเทศนักเรียนใหม่ก็ไม่มา มีแต่คุณพ่อมา ตอนไปรับไปส่งก็มีแต่คุณพ่อ
หรือว่า...”
“...”
“คุณพ่อคุณแม่จะหย่ากัน?”
ฉันสบตาพี่บี๋ ไม่มีความเห็นในส่วนนี้ หากทว่าใจกลับเต้นตึกขึ้นมาเสียอย่างนั้น
หย่ากันหรือ? ถ้ามอร์แกนหย่ากับภรรยาของเขา การที่ฉันไปมีอะไรกับเขา ก็ไม่เท่ากับว่าเป็นชู้ใช่ไหม
ใจนึกอยากจะถามเขาให้รู้เรื่องทันทีเลย แต่เห็นทีว่าคงจะไม่ได้ พลันก็เหลือบมองไปยังเด็กน้อยไมเคิลที่กินข้าวร่วมกับเพื่อนๆ ร่วมห้องอยู่ทันควัน
หรือจะถามเด็กนั่นดี?
ไม่ๆ...ไม่ใช่เรื่องดี เรื่องแบบนี้ไม่ควรเอาไปถามเด็ก ไมเคิลแค่สามขวบกว่าเองนะ ไม่เหมาะสมที่สุดเลย
จรรยาบรรณความเป็นครูพลุ่งพล่านทีเดียว ถ้าอยากรู้จริงๆ ฉันควรจะถามมอร์แกนมากกว่า ไม่ใช่ลูกของเขา
แต่...ฉันบอกตัวเองอยู่ว่าไม่อยากรู้ และจะไม่ไปสืบหาด้วย ปล่อยให้พี่บี๋พึมพำไปคนเดียวก็พอ
“สงสัยจะหย่า ไม่อย่างนั้นคงจะได้เจอแม่เด็กแล้วล่ะ”
จะอย่างไรก็ช่างเถอะ ไม่ใช่สาระสำคัญ
ฉันก้มหน้ากินข้าวต่อไปเงียบๆ ไม่สนใจสิ่งที่พี่บี๋พูดอีก จนกระทั่งตกเย็นและถึงเวลากลับบ้านของนักเรียน ฉันถึงได้ลืมเรื่องราวที่คุยกับพี่บี๋ในช่วงกลางวันไปหมดสิ้น นั่นก็เพราะฉันต้องวุ่นอยู่กับการส่งเด็กนักเรียนให้ผู้ปกครองที่มารับน่ะสิ วุ่นวายเหมือนจับปูใส่กระด้งทุกวัน ทำเอาฉันหัวหมุนทีเดียว
เด็กที่รอผู้ปกครองมารับเหลืออีกไม่กี่คนแล้ว ฉันทาแป้งเด็กให้กับเด็กน้อยคนหนึ่ง ขณะที่พี่บี๋โทรศัพท์คุยกับใครบางคนที่โทรเข้ามาหาเมื่อกี้
“อย่างนั้นเหรอคะ อ๋อ ได้ค่ะได้ เดี๋ยวครูลองถามดูให้นะคะ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ถ้าได้เรื่องยังไง ครูจะโทรกลับไปบอกนะคะ สวัสดีค่ะ...”
แล้วก็วางสายไปพร้อมกับสีหน้าหนักใจเล็กน้อย ฉันวางกระป๋องแป้งในมือลง บอกกับนักเรียนว่าให้ไปนั่งเล่นกับเพื่อนฆ่าเวลา พลันก็หมายจะถามพี่บี๋ว่ามีเรื่องอะไร ทว่าไม่ทันที่จะได้เปล่งเสียง พี่บี๋ก็หันหน้ามาหาฉันแล้วพูดขึ้นก่อนแล้ว
“โรส เธอรีบกลับบ้านไหม”
ฉันเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย “ทำไมเหรอคะ”
“พี่มีเรื่องจะไหว้วานหน่อยน่ะ”
“อะไรคะ”
“ไปส่งเด็กนักเรียนให้พี่ทีสิ ผู้ปกครองเพิ่งโทรมาบอกว่าไม่ว่างมารับเพราะติดประชุมกะทันหัน กว่าจะมารับได้ก็ต้องเลยหกโมงเย็นไปแล้ว ไม่มีคนมารับแทนด้วยน่ะ โรสพอจะช่วยพี่ได้ไหม”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้ปกครองที่ชอบอ้างตัวว่ามีธุระ มารับลูกไม่ได้บ้าง ไม่ทันบ้าง แล้วโยนภาระไปที่ครูมีถมถืด ฉันทำงานที่นี่หลายเทอม เจอคนแบบนี้บ่อยพอสมควร ซึ่งมันไม่ใช่หน้าที่ของครูเลยนะที่จะต้องไปส่งนักเรียนให้ ไม่ได้จ้างให้ไปส่งสักหน่อย เรื่องอะไรจะไปกัน
ฉันก็เตรียมจะปฏิเสธนั่นล่ะ แต่พี่บี๋ก็ว่าขึ้นมาเสียก่อน
“คอนโดฯ ของผู้ปกครองก็อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนะ
ขึ้นแท็กซี่ไปประมาณสิบห้านาทีก็ถึง ผู้ปกครองปักหมุดแผนที่ให้แล้ว เดี๋ยวเรื่องค่ารถ ผู้ปกครองจะออกให้ แล้วก็มีค่าเสียเวลาด้วย ผู้ปกครองบอกว่าไม่ว่างจริงๆ ขอให้ช่วยหน่อย”
ฉันถอนหายใจยาว...มีค่าจ้างหรอกหรือ?
ถ้างั้นจะยอมช่วยก็ได้ อย่างน้อยก็ไม่เสียเวลาไปฟรีๆ
“ให้ไปส่งใครเหรอคะพี่บี๋”
“ไมค์กี้น่ะ คุณพ่อไม่ว่างมารับ”
เด็กคนนั้นหรือ!?