“คือฉัน...” ฉันเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เธอคนนี้เป็นใครนะ ทำไมถึงเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยการดูถูกดูแคลนแบบนี้ เตือนกันดี ๆ ไม่ได้เหรอ “ขอโทษนะคะ ขอไปรายงานตัวก่อน แล้วพรุ่งนี้จะเปลี่ยนค่ะ”
“มาจากมหา’ ลัยไหนล่ะ” เธอกลอกตามองบนอย่างคนเอือม ๆ ทำให้ฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูก การมาเสียเวลาคุยกับเธอคนนี้อาจจะทำให้ฉันไปรายงานตัวช้า ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ก็สายมากแล้วด้วย
“เอ่อ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“เอ๊ะ! ถามไม่ตอบ!”
“อ้อ คือว่าฉันจะไปที่ฝ่ายบุคคลไม่ทัน” ฉันว่าด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ไม่เต็มเสียงสักเท่าไหร่ แม้นจะเป็นคนเฟียส เลิศ ๆ แต่ฉันก็เข้าใจว่าตัวเองเป็นเด็กใหม่ ก็ต้องนอบน้อมเป็นธรรมดา ทว่า
“หึ ฉันนี่แหละฝ่ายบุคคล”
“ห๊า...ฝะฝ่ายบุคคล?” ฉันทั้งทึ่ง ทั้งอึ้ง แล้วทำไมตอนนั้นฉันถามว่าใส่ชุดอะไรไปได้บ้าง ก็บอกว่าตามสบาย แต่ทำไมพอเห็นชุดฉันแล้วทำหน้าไม่สบาย “แล้วทำไมถึง...”
“ฝ่ายบุคคลไม่ได้มีแค่คนเดียว เธอคงไม่รู้” ฉันยังพูดไม่ทันจบเธอก็แทรกขึ้น เหมือนกับรู้ว่าฉันกำลังจะพูดอะไร แต่ก็ทำให้ฉันเข้าใจ
“อ้อ โอเคค่ะ” ฉันอ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูก แต่แล้ว
“อ้าว!! มาแล้วเหรอหนูเบญ!” เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทางด้านหลังผู้หญิงคนนี้ ทำให้ฉันต้องเลื่อนสายตาไปมองพร้อมกับเธอคนนี้ที่หันหลังไปมอง เธอเอ่ยทักทายผู้มาใหม่
“สวัสดีค่ะหัวหน้า”
“เจอกันแล้วเหรอ ดีเลย นี่หนูเบญที่คุณช่อผกาฝากให้มาฝึกงานกับท่านประธานน่ะ”
“ห๊า...วะว่าอะไรนะคะ” ผู้หญิงที่ต่อว่าฉันก่อนหน้านี้เบิกตาโพลง เธอดูตกใจมาก “จะจริงเหรอคะ หัวหน้า”
“ใช่สิ ส่วนนี่...หนูเบญ คนนี้พี่กาญจ้ะ...พี่คนนี้ทำงานอยู่ในแผนกฝ่ายบุคคล แต่สำหรับหนูแล้ว พี่จะดูแลเอง” พี่คนที่ชื่อกาญหันหน้ามามองฉัน เธออ้าปากเหวอ ตายังคงแข็งค้างเหมือนเดิม ส่วนฉันก็ทำอะไรไม่ถูกก็เลยยิ้มแหย ๆ ให้
“มาแล้วก็ตามพี่มาเลยจ้ะ เอ...วันนี้แต่งตัวสวยนะเนี่ย” ฉันยิ้มบาง ๆ เป็นการตอบรับก่อนจะเหลือบสายตาไปมองพี่กาญทางด้านหลังก็เห็นว่าเธอกำลังถลึงตามองฉันอยู่ เหมือนกับกำลังไม่พอใจฉัน ท่าทีของเธอทำให้ฉันตระหนักได้ว่าการฝึกงานคราวนี้คงไม่ราบรื่นอย่างที่คิด
“พี่ชื่อแตงโมนะ”
“อ้อ ค่ะ” ฉันหันกลับมาสนใจพี่ผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง เธออายุน่าจะสี่สิบกว่า ๆ ความรู้สึกประหม่าไม่ได้ลดลงเลย จิตใจยังคงอยู่กับเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ฉันเพิ่งโดนด่าสด ๆ ร้อน ๆ
“วันนี้หนูมาสาย ขอโทษด้วยนะคะ”
“อ้อ ไม่เป็นไรจ้ะ หนูไม่ต้องห่วงอะไรเลย เดี๋ยวท่านประธานจะเป็นคนสั่งงานหนูเอง”
“เอ่อ ว่าแต่ทำไมหนูต้องไปทำงานกับท่านประธานคะ” พี่แตงโมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก่อนจะหัวเราะคิดคักเหมือนกับรู้อะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูดออกมา
“เป็นผู้ช่วยเลขาฯของท่านประธานเขาน่ะ”
“ห๊า...” วันนี้ฉันต้องตกใจอีกกี่ครั้งกัน “แต่ผู้ช่วยเลขาฯจบบัญชีได้เหรอคะ”
“อ่อ ไม่จ้ะ เลขาฯจบอะไรก็ได้ แต่ต้องมีความสามารถรอบรู้ มีไหวพริบจ้ะ” เธอพูดระหว่างดันหลังฉันไปขึ้นลิฟต์สำหรับผู้บริหาร ทำให้ฉันรู้สึกตัวเกร็งมากเลยทีเดียว
“แล้วอย่างนี้ หนูจะผ่านฝึกงานตามที่มหา’ ลัยกำหนดไหมคะ หนูต้องฝึกทำบัญชีน่ะค่ะ”
“ได้ทำแน่นอนไม่ต้องห่วงจ้ะ” ถึงเธอจะว่าอย่างนี้แต่ฉันไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าการเป็นผู้ช่วยเลขาฯนี้จะได้ทำบัญชียังไง คือตอนนี้ฉันงงมากว่าทำไมฉันต้องไปเป็นผู้ช่วยเลขาฯ หรือแม่ฝากฉันที่ตำแหน่งนี้ตำแหน่งเดียว
“หนูไม่เข้าใจค่ะ”
“เดี๋ยวหนูก็เข้าใจจ้ะ” อันนี้ไม่ตลก ฉันตั้งใจมาฝึกงาน แต่มาถึงก็โดนดุ แถมยังต้องไปเป็นผู้ช่วยเลขาฯ ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจจะมาเป็นพนักงานบัญชี
“เอาเป็นว่า...พี่มาส่งหนูแค่นี้นะ นั่นไง เลขาฯของท่านประธานมารอแล้ว” ฉันหันไปมองตามสายตาของพี่แตงโม ก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาทันทีที่เห็นเรา เขาแต่งกายด้วยชุดสูทเรียบหรู ใบหน้าของเขานั้นประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับ ถ้าเข้าใจไม่ผิด...คุณเบญจมาศใช่ไหมครับ” ฉันยิ้มให้บาง ๆ ก่อนจะยกมือพนมไหว้ตามมารยาท “โอ้ ไม่ต้องไหว้หรอกครับ ผมเป็นแค่เลขาฯนาย”
“ต้องไหว้สิคะ ฉันมาฝึกงานนะ” ดูสิ...ทุกคนกำลังปฏิบัติกับฉันต่างจากคนอื่น เพราะอย่างนี้สินะพี่กาญถึงมองฉันแรงขนาดนั้น
“นี่คุณยูโรค่ะ เป็นเลขาฯของท่านประธาน” ฉันยิ้มให้เขาอีกครั้ง ใบหน้าของเขาออกไปทางฝรั่งหน่อย ๆ น่าจะเป็นลูกครึ่ง ถ้าเดาไม่ผิดน่ะนะ
“โอเค พี่ฝากหน่อยนะยูโร คนนี้ต้องดูแลเป็นพิเศษหน่อย” ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มน้อย ๆ ตามเดิม
“ตอนนี้บอสกำลังจิบกาแฟอยู่ครับ รอสักพักเดี๋ยวผมจะพาเข้าไปครับ” จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมฉันต้องมาเจอเขาด้วย
“เอ่อ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงได้มาฝึกงานที่นี่ค่ะ”
“หือ...อ้อ เอ...คุณไม่รู้เหรอครับ” เขาทำหน้าแปลกใจ ควรเป็นฉันสิที่ต้องแปลกใจ แต่เดี๋ยวนะ...ทำไมฉันรู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเหตุการณ์นี้มันเคยเกิดขึ้นมาก่อน
เดจาวู*อีกแล้ว
“ไม่รู้ค่ะ รู้แค่ว่าคุณแม่ฝากงานให้”
“หึ ก็นั่นแหละครับ คุณช่อผกาใช่ไหมครับ”
“ค่ะ” นั่นเป็นชื่อแม่ของฉัน ฉันตอบรับพร้อมกับพยักหน้ารับเบา ๆ ทว่า
“เพราะคุณแม่ของคุณ พยายามจับคู่คุณกับบอสของผมยังไงล่ะครับ”
“ห๊า...” คราวนี้ไม่ใช่แค่อุทานว่าห๊าอย่างเดียว หัวใจของฉันร่วงลงพื้น พร้อม ๆ กับกระเป๋าสะพายข้างที่ไหลลงจากบ่า ไหล่ของฉันตกด้วยความตกใจ หมดเรี่ยวแรงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ “มะหมายความว่าไงคะ”
“ก็หมายความว่า...ที่คุณมาอยู่ที่นี่ มาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขาฯ เพราะทั้งแม่ของคุณและแม่ของบอสจงใจไงครับ” เขาพูดฉะฉาน เต็มสองรูหูของฉัน
นี่ฉัน...กำลังถูกจับคลุมถุงชนอย่างนั้นเหรอ
ทว่าไม่ทันที่ฉันจะได้เอ่ยพูดอะไรอีก
“ตอนนี้น่าจะได้เวลาแล้วครับ เชิญครับ” คุณยูโรผายมือให้ฉันเดินนำหน้า ความตกใจนั้นทำให้ฉันยังคงยืนตัวแข็งทื่ออยู่ เขาก็เลยก้มลงเก็บกระเป๋าให้ฉัน พร้อมกับยกฝ่ามือขึ้นพัดวีผ่านหน้าของฉัน ราวกับกำลังเรียกสติ
“เป็นไรหรือเปล่าครับ”
“ปะเปล่าค่ะ ทะทางนั้นเหรอคะ” ให้ตายสิ...เรื่องนี้ทำเอาฉันเหม่อลอยเลยทีเดียว ก่อนจะรีบตั้งสติแล้วก้าวขาเดินตามแผ่นหลังหนาของคุณยูโรไป
แกร็ก~
เขาเปิดประตูให้ฉันเดินเข้าไป พอเข้ามาก็เห็นห้องขนาดใหญ่ ภายในห้องนี้ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เรียบหรูและทันสมัย คุมโทนขาวดำน่าค้นหา บรรยากาศภายในห้องก็เย็นเฉียบอีกด้วย
“บอสครับ คุณเบญมาแล้ว” เสียงของคุณยูโรเรียกสติของฉันอีกครั้ง ทำให้ฉันเพิ่งสังเกตว่าภายในห้องนี้มีคนอยู่ด้วย เจ้าของห้องนั่งหันหลังให้เราสองคน แต่เสียงเรียกของคุณยูโรก็ทำให้เขาหันมาในที่สุด
...หัวใจของฉันเต้นแรงมาก มันเหมือนกับเป็นภาพสโลว์โมชันที่ค่อย ๆ เกิดขึ้น ใบหน้าของผู้ชายคนนี้ทำให้ฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง ภาพที่ซ้อนเข้ามาแทนใบหน้าของเขานั้นช่างเลือนราง แต่พอสะบัดหน้าแรง ๆ ฉันก็ได้เห็นใบหน้าของเขาเต็มตา
นัยน์ตาสีนิลดำคู่นี้มองฉันตาไม่กะพริบ เช่นเดียวกับฉันที่รู้สึกเหมือนกับกำลังจ้องมองอะไรบางอย่าง เขาหล่อมาก แต่นั่นไม่เท่ากับความรู้สึกในใจของฉันที่มันก่อตัวขึ้นฉับพลัน ความรู้สึกแบบนี้...มันเหมือนเคยเกิดขึ้น
แต่ไม่ใช่กับเขาคนนี้
“จะมองหน้าฉันอีกนานไหม” น้ำเสียงทุ้มลึกของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่มันกลับกระชากใจของฉันสุด ๆ เลยล่ะ
* เดจาวู หมายความถึง อาการที่รู้สึกว่า เหตุการณ์ที่เพิ่งพบเจอนั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบเจอมาแล้ว เป็นประสบการณ์ทางจิต เกิดได้กับทุกคนและทุกเวลา ไม่ว่าหลับหรือตื่น