“คุณเมย์อาจจะลืมไปแล้วว่าคุณเมย์ไว้ใจคนที่เพิ่งเจอกันไม่นานอย่างผม”
ถึงบางครั้งเราจะถูกสอนว่าไม่ให้ไว้ใจใคร แต่มันก็ไม่ได้หมายความถึงทุกคนนี่คะ เมย์คิดอย่างมีตรรกะไงคะ”
“ถ้าวันหนึ่งคุณเมย์รู้ว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเมย์คิด......”
“คุณภูมิจะไม่มีวันหักหลังคนที่คุณภูมิรัก เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ชีวิตของเมย์ก็จะไม่มีความหมายอะไรอีก เพราะเมย์.....ไม่ได้เผื่อใจไว้ให้ความผิดหวังของตัวเองเลย”
เขาจ้องหน้าเธอนิ่งนานกับความรู้สึกสับสนที่แล่นไหลอยู่ภายใน ชายหนุ่มค่อย ๆ โน้มใบหน้าลงไปหาหญิงสาว แต่ก่อนที่เรียวปากบางจะถูกครอบครองทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงแรงลมเป่าที่พัดเอาหยดน้ำซึ่งทิ้งตัวลงมาจากฟากฟ้า ภูมิรีบพาเมลิดาหลบน้ำฝนที่จู่ ๆ ถั่งสายลงมาเข้าไปหลบใต้หลังคาในเรือ หญิงสาวยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและมองออกไปภายนอกที่เหนือระลอกน้ำเริ่มคายละอองความร้อนขึ้นมาเมื่อสายฝนโปรยปรายตกต้องเสมือนอยู่ท่ามกลางดินแดนลึกลับกลางห้วงนทีที่เร้นกายใจกลางมหาสมุทรอันไพศาล
สายฝนยังคงทิ้งตัวลงมาไม่ขาดช่วง เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าค่ำแล้วพายุที่เข้ามาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้ายังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงง่าย ๆ จึงตัดสินใจบังคับเรือให้แล่นเข้าไปหลบลมแรงอยู่ใกล้แนวเขาหินปูนซึ่งห่างออกไปไม่ไกลเพราะถ้าจะนำเรือกลับสู่ท่าก็คงใช้เวลาอีกนานเลยทีเดียว
“ดูสิคะ คุณภูมิพูดยังไม่ทันขาดคำ พายุก็มาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย”
เมลิดาพูดกับเขาท่ามกลางเสียงสายฝนหล่นลงกระทบระลอกคลื่นและความมืดซึ่งโรยตัวลงมาปกคลุมไปทั่วทั้งผืนน้ำและแผ่นฟ้า
“คุณเมย์คงไม่กลัวใช่ไหมครับ....ในทะเลก็แบบนี้ บางคนอยู่กับมันมาจนจะลาจากมันไปก็ยังไม่เข้าใจอารมณ์ของมันอยู่นั่นเอง เขาถึงได้ว่าทะเลแปร”
ชายหนุ่มกล่าวพลางจุดตะเกียงพายุขนาดเล็กและแขวนไว้ใกล้ที่นั่งคนขับขณะตัวเรือโคลงไปมาอยู่ตลอดเวลาเหนือผิวคลื่นที่แทรกตัวเข้ามาใต้ท้องนาวา
“คุณเมย์หนาวหรือครับ?”
ภูมิหันกลับมาทางหญิงสาวพอดีที่เธอนั่งห่อตัวและใช้แขนกอดอกเพราะน้ำฝนที่ตกติดต่อกันสองสามชั่วโมงหลังอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้วทำให้อากาศรอบ ๆ เย็นตัวลงมากกว่าเดิม ชายหนุ่มนั่งลงใกล้หญิงสาวก่อนจะใช้มือหนาทั้งสองกุมไหล่ของเธอไว้ เมลิดามองใบหน้าคมคายฝ่าแสงไฟสลัวของตะเกียงดวงน้อยที่เงาของมันโยกไหวไปตามแรงคลื่นลมกระทบเรือ นัยน์ตาแม้ดูคมเข้มทว่าประกายอันอ่อนโยนนั้นฉาบฉายความอบอุ่นออกมาเสมอ
“เราจะกลับเข้าฝั่งตอนไหนคะ?”
“ผมยังบอกไม่ได้....ต้องรอให้ฝนหยุด เดินทางในทะเลกลางคืนไม่เหมือนกลางวัน แต่คุณเมย์อย่ากังวลเลยครับ เพราะผมอยู่ที่นี่”
“เมย์แค่รู้สึกว่ารอบ ๆ มีแต่น้ำ ภูเขา และท้องฟ้า มันทำให้เมย์รู้สึกปั่นป่วน ถ้ามาคนเดียวในบรรยากาศแบบนี้เมย์คงต้องแย่แน่”
“เราอาจสะกดความกลัวไว้ได้ถ้ามองว่ามันเป็นแค่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และที่สำคัญ....คุณเมย์มีผม”
เขากล่าวเสียงเบาลงแต่จังหวะการเต้นของหัวใจกลับเร็วขึ้น มีบางอย่างร่ำร้องอยู่ในส่วนลึกว่าอย่าได้ปล่อยมือจากไหล่บางบนเรือนร่างอรชรตรงหน้า และแรงผลักดันอันรุนแรงจากความปรารถนาที่ทำให้ความอดทนของเขาสิ้นสุดลงในบัดนั้น ชายหนุ่มก้มหน้าลงไปหาพลางกระซิบอยู่บนริมฝีปากบางที่เริ่มสั่นระริกจากความรู้สึกที่เกิดสกัดกลั้น
“คุณเมย์ไม่รังเกียจผมจริงหรือครับ....ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง คุณเมย์จะต้องไม่เสียดายกับการตัดสินใจของคุณเมย์เอง”
คำตอบคือการยินยอมให้อ้อมแขนของเขาโอบรัดร่างนั้นเข้าไปแนบชิดและเรียวปากบางถูกลิ้นหนาล่วงล้ำเพื่อเข้าไปสำรวจความหอมหวานอีกครั้ง เมลิดาตอบรับทุกสัมผัสที่ปลุกเร้าความร้อนรุ่มของเธอจนกระจัดกระจายทั้งก็หลงลืมที่จะเสียดายความหวงแหนสิ่งที่ไม่เคยให้ใครได้ล่วงเกินเช่นนี้มาก่อน
เธอยินยอมสนองสิ่งที่เขาเสนอมาด้วยสติอันลอยล่องเมื่อเขาตวัดลิ้นเพื่อดูดกลืนความชุ่มฉ่ำภายในปากเล็กบาง หญิงสาวรับรู้ถึงความปั่นป่วนในช่องท้องเมื่อเรียวลิ้นของทั้งเขาและเธอต่างสอดประสานกันแนบแน่นและบางจังหวะก็ยวนเย้าให้เธอต้องติดตามทวงคืนจากโพรงปากของเขาบ้าง บรรยากาศรอบ ๆ ทำให้อุณหภูมิดิ่งตัวลงหากแต่ไฟร้อนในกายของชายหนุ่มหญิงสาวกลับลุกช่วง
เนิ่นนานเท่าใดไม่รู้ที่ต่างแลกความหวานจากริมฝีปากของกันและกันท่ามกลางแสงสลัวจากไฟตะเกียงใต้ม่านหมอกละอองน้ำที่ห่มคลุมท้องทะเลยามรัตติกาลโดยรอบ เมลิดาไม่นึกกระวนกระวายถึงสิ่งใดอีก ทั้งความกลัวและความหนาวเหน็บที่ดูราวมลายไปสิ้นแม้กระดุมเสื้อด้านบนจะถูกปลดออกจนสาปทั้งสองด้านแยกออกจากกันเผยให้เห็นความอวบแน่นที่ซ่อนอยู่หลังชุดชั้นในตัวเล็กบางแค่ชายหนุ่มสะกิดตะขอก็หลุดออกอย่างง่ายดาย
หญิงสาวแอ่นกายรับมือหนาที่เลื่อนลงมาถึงเนินเนื้อกลมกลึงและนุ่มนิ่มเพื่อตอบรับการบีบเคล้นหนักหน่วงกระทั่งเขาต้องเลื่อนริมฝีปากตามลงมาเพื่อขบกลืนยอดปทุมถันที่ชูชันรอการครอบครองจากเจ้าของใบหน้าคมคาย ดูภายนอกเธออาจเป็นผู้หญิงร่างบอบบางดูอรชรอ่อนหวนทว่ากลับซ่อนความอิ่มแน่นไว้ข้างในจนผู้ที่ได้เห็นรู้สึกตะลึงลานในส่วนโค้งเว้าเกินตัวอันแสนงดงามนั้น