“ถ้าได้อย่างนั้นก็ดี” น้ำเสียงราบเรียบแต่ทุกถ้อยคำกลับฟังดูท้าทาย ในเมื่อเธอตั้งใจตีรวนเขาก็ยิ้มร่ารับมุกด้วยหน้ากวนๆ ทำท่าว่าจะพอใจกับข้อเสนอคล้ายบริการเสริมเสียเต็มประดา
“เอาดีๆ สิคุณ ฉันซีเรียสนะเนี่ย” ร่างบางถอนหายใจทิ้งแรงๆ พลางยกมือเท้าสะเอวมองหน้ากวนๆ อย่างเอือมระอา จากที่ตั้งใจจะกวนประสาทเขาเพื่อความสะใจ กลายเป็นเขาเองที่พลิกสถานการณ์ ตามทันจนเธอแทบหน้าหงาย พาออกอ่าวออกทะเลไปไกลจนลักษณ์ณาราอดไม่ไหวที่จะดึงกลับมาเข้าเรื่อง
“ดีของคุณ มันเป็นแบบไหนกันล่ะ” เอาแล้วไหมล่ะ พ่อเจ้าประคุณคนหน้าตายเล่นเธอเข้าเสียแล้ว ทำหน้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้น่าตีหัวเรียกสติเหลือเกิน
“ก็คุณมีงานอะไรให้ฉันทำใช้หนี้อีกไหม งานที่มันดีๆ น่ะ” สูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกสุดใจเพื่อระงับอารมณ์โมโหกับความช่างยั่วยุ แล้วค่อยๆ พูดอย่างใจเย็น แต่ท้ายประโยคไม่วายเหน็บแนมในที
“มี…ก็มาเป็นคู่นอนให้ฉันไง งานง่ายๆ แถมเงินดีด้วยนะ” เว้นระยะแล้วสาธยายอย่างฉะฉาน ฟังตอนแรกเธอก็เผยยิ้มหวานด้วยความพึงพอใจออกมา แต่ประโยคถัดมาก็ทำเอาหัวใจพองโตแทบคับอกเหี่ยวแฟบลงในบัดดล
“เชิญคุณนอนไปคนเดียวเถอะ ฉันไม่เอาด้วยหรอก” หายจากอาการตกตะลึงลักษณ์ณาราก็ถลึงตาใส่ พร้อมวาจาค่อนแคะด้วยความหมั่นไส้
“นอนคนเดียวมันจะไปมันอะไร นอนสองคนสิถึงจะมีกิจกรรมให้ทำทั้งคืน ยิ่งถ้าเข้าขาเข้าคู่กันดี เตียงคงได้ลุกเป็นไฟ” วาจาแสนทะลึ่งนั้นทำให้ลักษณ์ณาราหน้าแดงแจ๋
“ไอ้ผู้ชายลามก หื่นกาม หยุดพูดได้แล้ว ฉันจะเป็นสาวใช้ให้คุณอย่างเดียว ชัดไหม!” ลักษณ์ณาราตวาดแว้ด ดวงหน้ารูปไข่แดงก่ำ ซึ่งคนมองก็ค่อนข้างจะแน่ใจว่ามันเกิดจากความเขินอายของเธอ
“เต็มสองหูเลยล่ะ” ชะโงกใบหน้าหล่อเหลาข้ามโต๊ะเข้ามาเฉียดแก้มแดงระเรื่ออย่างจงใจ ก่อนจะฉกฉวยความหอมโดยการฝังจมูกลงบนผิวแก้มเนียนนุ่ม แล้วรีบถอยฉากออกมาหลิ่วตาให้เมื่อเห็นเธอง้างมือทำท่าจะประเคนลูกตบเป็นของสมนาคุณ ทำอะไรเขาไม่ได้ แม่คุณก็ค้อนควักแล้วสะบัดหน้าพรืดไปอีกทาง
หลังจากที่ถ่ายทอดการตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวให้เขาได้รับรู้ ลักษณ์ณาราก็ต้องเข้าครัวไปทำอาหารค่ำตามที่เจ้าชีวิตจอมบงการออกคำสั่ง ดูเมนูที่พ่อคุณต้องการแต่ละอย่างแล้วเธอก็แทบลมจับ นี่เขาจะกินหรือสวาปามกันแน่ แต่ยังดีที่อาหารที่เขาต้องการเธอทำเป็นหมดทุกเมนู เพราะโดยส่วนตัวลักษณ์ณาราชอบทำอาหารฝรั่งอยู่แล้ว
หลังจากนั่งทานอาหารค่ำฝีมือของสาวใช้ตัวแสบที่อร่อยถูกปากจนค้นหาคำว่าอิ่มแทบไม่เจอ เจ้าพ่อหนุ่มก็กลับเข้าไปสะสางงานที่ห้องทำงาน และตรวจเช็คความเรียบร้อยผ่านหน้าจอมอนิเตอร์เฉกเช่นในทุกราตรีที่ผ่านมา กำลังจะยกหูโทรศัพท์เรียกฟรานซิสให้เข้ามาพบในห้องทำงาน เสียงมือถือเครื่องหรูที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานก็กรีดร้องขึ้นมาเสียก่อน ทำให้เขาต้องวางกระบอกโทรศัพท์ในมือลง แล้วฉวยหน้าจอขึ้นมามองว่าใครโทรมา
“ว่าไงครับมาเรีย” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนเก่าคนแก่ของบ้านนามว่ามาเรีย หญิงวัยห้าสิบแปดปีที่เคยเป็นแม่นมของเขามาก่อน และตอนนี้ก็กลายมาเป็นแม่นมของลูกสาวเขาด้วยอีกคน
“คุณหนูมิเกลร้องไห้ไม่หยุด บอกจะคุยกับคุณมาร์สค่ะ”
เสียงรายงานอย่างหนักใจของคนแก่จบลง เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของหนูน้อยมิเกล คอฟอร์ด เด็กหญิงตัวอ้วนกลม หน้าตาจิ้มลิ้มวัยห้าขวบก็ดังขึ้น ทำยังไงแม่หนูน้อยก็ไม่ยอมเข้านอน บอกจะคุยกับแด๊ดดี้ของเธอท่าเดียว เล่นเอาคนเลี้ยงถึงกับส่ายหัวด้วยความอ่อนเพลียละเหี่ยใจ
“แด๊ดดี้ขา” เสียงพูดปนสะอื้นทำให้คนถูกเรียกอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ ร้องไห้แบบนี้คงมีใครทำให้ไม่พอใจอีกล่ะสิ เขาคิดอย่างรู้ทัน
“ขาลูก ว่าไงคะคนดี ร้องไห้ทำไมเอ่ย” เสียงขานรับคำลูกสาวหวานจับใจ หากมีใครมาได้ยินเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ในมุมพ่อลูกอ่อนแบบนี้ คงต้องทำหน้าเหวอราวกับถูกผีหลอกเป็นเเน่
“มิเกลคิดถึงแด๊ดดี้ เมื่อไหร่แด๊ดดี้จะมาหามิเกลคะ” แม่คนตัวเล็กทำเสียงละห้อยแกมออดอ้อนออเซาะให้ฟังดูน่าสงสาร จนมาร์โบโลใจอ่อนยวบ จะว่าไปแล้วเดือนนี้เขาก็ยังไม่ได้ขึ้นฝั่งไปเยี่ยมมิเกลเลยสักครั้ง แต่ถึงแม้จะงานยุ่งขนาดไหน เขาก็ไม่เคยเพิกเฉยต่อการติดตามความเคลื่อนไหวของสาวน้อยจอมซน
“งั้นวันเสาร์นี้ แด๊ดดี้จะไปหาดีไหมคะ” เสียงทุ้มของคุณพ่อตัวโตที่งานรัดตัวจนแทบไม่มีเวลาจะกระดิกตัวไปไหนถามหยั่งเชิงเจ้าจอมซน ทั้งที่รู้ดีว่าน้องมิเกลไม่อาจตอบเป็นอื่นอยู่แล้ว
“ดีค่ะ แด๊ดดี้สัญญาแล้วนะคะ” แล้วก็เป็นดังที่คาด เมื่อได้ยินถ้อยคำแสนโดนใจ แม่หนูน้อยก็กลบเสียงสะอื้นไห้ด้วยเสียงหัวเราะใสๆ ตอบคำถามด้วยอาการลิงโลดจนมาร์โบโลต้องส่ายหน้าและเผยยิ้มกว้างอยู่คนเดียว
“สัญญาจ้ะ” คุณพ่อตัวโตยืนยันให้หนูน้อยมั่นใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทว่าแฝงไปด้วยความอ่อนโยน
“เย้ๆๆ มิเกลจะได้เจอแด๊ดดี้แล้ว” สาวน้อยวัยกระเตาะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้แม่นม แล้วยิ้มร่าวิ่งออกไปตะโกนอวดสาวใช้อยู่หน้าห้องนอนด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว
“มาเรียยังอยู่หรือเปล่าครับ” เจ้าพ่อหนุ่มเอ่ยถามหลังจากเสียงใสๆ ของน้องมิเกลขาดหายไป น้ำเสียงนุ่มละมุนมีแววเคารพรักในตัวหญิงชราที่เลี้ยงเขามาประดุจดั่งลูกในไส้
“อยู่ค่ะ” คนแก่ขานรับด้วยเสียงเอื้ออาทรที่นางมักจะแสดงออกกับเจ้านายหนุ่มเป็นประจำ
“แล้วครูที่จ้างมาสอนมิเกลเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เป็นยังไงบ้างครับมาเรีย”
ถามถึงครูสาวซึ่งเป็นคนที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจนับได้ที่เขาจ้างมาสอนลูกสาวถึงที่บ้านเพราะมิเกลไม่ยอมไปเรียนร่วมกับเพื่อนที่โรงเรียน เอาแต่กอดอกส่ายหน้าท่าเดียว ทั้งที่อายุก็ถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว ด้วยความไม่อยากบังคับจิตใจลูก เขาจึงจ้างครูมาสอนถึงที่บ้าน แต่ด้วยความดื้อด้าน แสนซนและเอาแต่ใจของหนูน้อยมิเกล ทำให้ครูแต่ละคนต่างพากันเข็ดขยาดและอยู่ได้ไม่ถึงเดือน
“มาเรียกำลังจะบอกอยู่พอดี เธอเพิ่งลาออกไปเมื่อวานนี้เองค่ะ” พอได้ยินเจ้าพ่อหนุ่มเอ่ยถามอย่างนั้น คนแก่ที่ชักจะลืมหน้าลืมหลังก็นึกขึ้นมาได้
“งั้นผมจะกลับบ้านวันเสาร์นี้ พร้อมกับหาคุณครูคนใหม่ไปให้มิเกลด้วยก็แล้วกันนะครับ” ชายหนุ่มสรุปให้มาเรียฟังเสียงทุ้ม
“แล้วมาเรียสบายดีไหมครับ” ถามถึงสุขภาพของอีกฝ่ายอย่างอาทร เพราะทุกครั้งที่โทรกลับบ้านความสนใจทั้งหมดของเขาก็จะไปตกอยู่ที่ลูกสาวเสียเป็นส่วนใหญ่
“มาเรียสบายดีค่ะ แล้วคุณมาร์สล่ะคะสบายดีหรือเปล่า” แม่นมตอบพร้อมทั้งรอยยิ้มเต็มใบหน้าที่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลา ก่อนจะถามประโยคเดียวกันกับอีกฝ่าย
“สบายดีครับ” เสียงทุ้มฟังดูนุ่มนวลยังคงดังมาตามสาย
“งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ คุณหนูมิเกลเรียกมาเรียแล้ว” บอกพลางพยักหน้าให้สาวน้อยวัยซนที่กำลังกวักมือเรียกให้แม่นมไปเล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง
“ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ” รับคำพร้อมกับจบบทสนทนาระหว่างกันลง
หลังจากวางสายจากมาเรีย มาร์โบโลก็ต่อสายไปหาฟรานซิส เรียกให้อีกฝ่ายเข้ามาพบเพื่อจะพูดคุยเรื่องสำคัญ ก่อนจะยืดกายสูงใหญ่ขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปนั่งตรงโซฟาหนานุ่ม เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ทอดลมหายใจร้อนๆ ออกมายืดยาว หลับตาลงแล้วยกมือขึ้นนวดคลึงขมับเกลี้ยง เพื่อผ่อนคลายและพักสายตาจากการจับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์มานานนับสองชั่วโมง
“นายเรียกผมมามีอะไรหรือเปล่าครับ” เห็นเจ้านายยังคงนั่งหลับตานิ่ง ไม่พูดว่ากระไร บอดี้การ์ดหนุ่มจึงเอ่ยราวกับจะปลุกอีกฝ่ายให้หลุดออกจากภวังค์ซึ่งมันก็ได้ผล เจ้าพ่อหนุ่มผงกหัวขึ้นลืมตาจ้องมองใบหน้าของลูกน้อง
“งานที่ฉันให้แกไปจัดการ ได้เรื่องแล้วหรือยัง” ร่างสูงสง่าที่นั่งเอกเขนกถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย คงไม่ต้องให้เขาสาธยายว่าเป็นเรื่องใด ลูกน้องก็พอจะทราบได้ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสาวไทยที่นายเพิ่งได้ตัวเธอมา
“พรุ่งนี้ทางนั้นก็จะส่งรายละเอียดทั้งหมดมาแล้วครับนาย” ฟรานซิสตอบคำถามเสียงขรึมพลางนั่งลงเมื่อเจ้านายส่งสัญญาณอนุญาตมาให้ เนื่องจากว่าเขาไม่ได้เป็นคนสืบเอง แต่จ้างนักสืบที่เมืองไทยตามเรื่องให้ มันเลยค่อนข้างที่จะล้าช้าและไม่ได้ดั่งใจเท่าที่ควร
“อืม…บอกเขาให้สืบเพิ่มมาด้วยว่า ลักษณ์ณาราเคยมีประวัติทำร้ายร่างกายผู้อื่นหรือเปล่า” สั่งให้ฟรานซิสไปบอกคนที่จ้างวานในการสืบประวัติอีกที ที่เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของลูกสาว หากจะเอาลักษณ์ณาราไปเป็นครูให้มิเกล เขาก็ต้องตรวจสอบประวัติและความเป็นมาของแม่สาวใช้ตัวแสบอย่างละเอียดถี่ถ้วน กันไว้ดีกว่าแก้ เพราะถ้าหากเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น คนที่ผิดก็คือตัวเขา
“ทำไมนายต้องให้สืบเรื่องนี้เพิ่มด้วยล่ะครับ” หว่างคิ้วเข้มของบอดี้การ์ดหนุ่มย่นเข้าหากัน เอ่ยถามเจ้านายด้วยท่าทางนอบน้อม แล้วก้มหน้าอย่างหวาดหวั่นกับคนขี้หงุดหงิดอารมณ์ร้อน ไอ้กลัวเจ้านายมันก็กลัว แต่ต่อมสอดรู้มันดันทำงานเกินพิกัดนี่สิ
“ฉันจะให้เธอไปสอนหนังสือให้มิเกล” มาร์โบโลกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ ลึกลงไปภายในจิตใจเขาก็อดเป็นห่วงในความปลอดภัยของลักษณ์ณาราไม่ได้ จากเหตุการณ์ที่เธอโดนลวนลามในวันนั้น ทำให้เขาตัดสินใจได้ว่าไม่ควรให้เธอทำงานบนเรือแกรนด์เพิร์ลต่อไป ไม่ว่าตำแหน่งอะไรก็ไม่ปลอดภัย เพราะเขาคงจะไม่มีเวลาว่างพอจะมาเฝ้าจับตาดูแม่คุณคนหัวดื้อได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
“นายแน่ใจแล้วเหรอครับว่าจะให้เธอไปสอนหนังสือให้คุณหนู” จากที่เห็นพฤติกรรมอันแก่นเซี้ยวของลักษณ์ณารามาบ้างแล้ว ทำให้ฟรานซิสไม่คิดว่าสาวน้อยจอมแสบจะไปสอนหนังสือให้คุณหนูของตนได้ ดีไม่ดีจะรวมหัวกันป่วนยกกำลังสองจนคฤหาสน์คอฟอร์ดวุ่นวายไปกว่าเดิม
“แกคิดว่าฉันมีหัวไว้ให้ผมขึ้นอย่างเดียวหรือไงวะ ไอ้ฟรานซิส” มาร์โบโลถามเสียงแข็ง จ้องใบหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นขวาง
“มิบังอาจครับเจ้านาย” ฟรานซิสรีบค้อมหัวให้ผู้เป็นนาย แล้วตั้งท่าจะเผ่นแนบเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าขึงขังอย่างกับจะวางมวยกับเขา แหมเจ้านายของเขานี่จริงๆ เลย หยอกนิดหยอกหน่อยก็ไม่ได้
“ถ้างั้นก็รีบไปจัดการตามที่ฉันสั่งเสีย” เจ้าพ่อหนุ่มออกคำสั่งเสียงเฉียบ
มาร์โบโลไม่ชินสักทีเมื่อโดนอีกฝ่ายยั่วแหย่ให้อารมณ์เสีย เช่นเดียวกับฟรานซิสที่ไม่เคยชินกับอารมณ์โมโหร้ายขี้หงุดหงิดง่ายของผู้เป็นนาย แต่ความขี้เล่นของเขาก็มักสำแดงฤทธิ์ทุกทีที่อยู่ต่อหน้าเจ้าพ่อจอมโหด ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรเช่นกัน
“ครับ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับ” ว่าพลางลุกขึ้นเต็มความสูง แต่ขายาวก้าวห่างออกไปยังไม่ทันจะถึงสามก้าว บอดี้การ์ดหนุ่มก็ฉุกคิดอะไรได้เสียก่อน จึงหันกลับมาพูดเชิงสันนิษฐาน
“อ๋อ…ที่เจ้านายให้เธอไปสอนหนังสือให้คุณหนู เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบวันนั้นขึ้นกับเธออีกใช่ไหมครับ”
คงจะไม่ต้องให้ต่อความยาวสาวความยืดก็พอจะรู้ว่าฟรานซิสกล่าวถึงเหตุการณ์ใด เพราะเขาเองก็เห็นว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับลักษณ์ณาราบ้าง แต่ที่มันน่าแปลกใจคือ เจ้านายสุดโหดจอมเนี้ยบของเขาวิ่งผลุนผลันออกจากห้องทำงานมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทั้งที่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตรงกันข้าม มันเกิดขึ้นจนนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งทุกครั้งก็จะเป็นเขาหรือไม่ก็คาร์ลอสที่จะทำหน้าที่เข้ามาไกล่เกลี่ยให้ทุกอย่างสงบลง แต่ครั้งนี้เจ้านายของเขากลับออกโรงปกป้องสาวเจ้าอย่างน่าประหลาด ทั้งที่คนอย่างมาร์โบโล คอฟอร์ด ไม่เคยแยแสต่อความรู้สึกของผู้หญิงคนไหนมาก่อนในชีวิต จะยกเว้นก็แต่คุณมิเชลกับคุณหนูมิเกล
“อย่าสู่รู้ให้มันมากนักไอ้ฟรานซิส ถ้าแกไม่อยากโดนบาทา” ร่างทรงพลังของคนโดนจี้เข้าตรงจุดกระเด้งตัวลุกขึ้นหลังจากกล่าวจบประโยค เล่นเอาอีกฝ่ายหวาดผวาสะดุ้งโหยง ก้าวถอยหลังออกมาอย่างขลาดกลัว ปากก็ละล่ำละลักปฏิเสธพัลวัน
“เมตตาลูกน้องตาดำๆ อย่างผมเถอะครับเจ้านาย บาทาเจ้านายหนักจะตาย โดนแต่ละทีแทบจะกระอักเลือด” มาร์โบโลได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอากับความช่างยั่วยุของคนสนิท บางทีมันก็ทำท่ากลัวหงอ บางทีมันก็กวนโมโหจนเขาอยากจะเตะซักทีสองที