บทที่10หยกเสี้ยวพระจันทร์
หลังจากที่ข้าแช่น้ำอุ่น 1 เค่อ ก็ชำระร่างกาย ข้าทำทุกอย่างด้วยความคล่องตัว เมื่อเปลี่ยนชุดที่ใส่นอนแล้ว ข้ารีบเร่งเดินลมปราณ อาจเพราะความตื่นเต้นหรืออย่างไรลืมไปว่ายังมิได้ปิดหน้าต่าง แล้วมิได้เรียกฮวาฮวาน้อยออกมาด้วย คิดว่าจะลองเดินลมปราณโดยที่มิมีฮวาฮวาน้อย
ระหว่างที่ข้านั่งเดินลมปราณอยู่นั้น คราแรกร่างกายอยู่ในอุณหภูมิห้อง พอเวลาผ่านไปกลับรู้สึกอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ ยามนี้เส้นผมที่เปียกชื้นแห้งหมดแล้ว แต่เหตุใดข้ารู้สึกร้อนยิ่งนักเล่า จากที่ร่างกายอุ่นกำลังดี ยามนี้ข้ารู้สึกร้อนระอุ เหงื่อออกทั่วลำตัวและใบหน้า หรือข้าเดินลมปราณข้ามขั้นตอนไป รีบลืมตาขึ้นมา เพื่อจะเรียกฮวาฮวาน้อย แต่สายตาข้าปะทะกับบุรุษใส่หน้ากากเงินนั่งอยู่บนหน้าต่าง เมื่อพวกเราสบตากัน มินานชายหนุ่มรีบหันหน้าทางอื่น
ด้วยความอยากรู้ว่าคนตรงหน้ามาทำไม ใช่คนเดียวกับคนที่ลงไปงมหาร่างนี้ไหม จึงชวนคุยด้วยโดยลืมไปว่ายามนี้ข้าใส่ชุดนอนบางพลิ้ว ที่มิเรียบเรียบ ภายในร่างกายก็ร้อนเหมือนไฟ เรื่องทั้งเรื่องข้ากลัวว่าบุรุษผู้นี้จะโดดลงไปเสีย ก่อนที่ข้าจะรู้ความจริงมากกว่า
“คุณชาย ท่านมาในยามวิกาลเช่นนี้ มีจุดประสงค์อันใดหรือ” เงียบกริบมิมีเสียงตอบรับ เหงื่อข้าเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้าเริ่มหายใจติดขัด
“งั้นข้าถามท่านใหม่ ท่านคือผู้ที่ลงไปช่วยหลี่…เอ่อ…ข้าใช่ไหมเจ้าคะ” เงียบกริบ
“เช่นนั้นท่านคงเป็นใบ้ใช่ไหมเจ้าคะ…เชิญท่านกลับไปก่อน ข้ามิพร้อมจะรับแขก…โอ้ยย…นี่ท่าน!!!” อยู่ ๆ คุณชายที่นางชวนคุยด้วยกลับเข้ามาหานางด้วยความรวดเร็ว โดยที่นางมิได้ตั้งตัว แล้วพลิกตัวนางให้หันไปทางหน้าต่าง เขาอยู่ข้างหลังนาง พร้อมกับจับไหล่สองข้างนางไว้
“ผู้ใดสอนเจ้าเดินลมปราณเช่นนี้…นั่งหลังตรง…” ที่แท้ท่านก็พูดได้นี่นา…ข้ามิได้พูดออกมา แต่รีบทำตามที่บอก เหมือนมือสองข้างของเขาที่วางบนแผ่นหลังข้าได้ส่งความอบอุ่นมาให้ ประมาณ 1 เค่อได้ จากร่างกายที่ร้อนระอุค่อย ๆ ลดลง จนเหลืออุณหภูมิห้อง เหงื่อที่มีก่อนหน้านั้นยามนี้แห้งสนิท ร่างกายนางกลับมากระปรี้กระเปร่า เหมือนว่าเมื่อสักครู่มิมีอันใดเกิดขึ้น
“เส้นลมปราณเจ้าเปิดถึงระดับ 5 แล้ว เหตุใดยังเดินลมปราณผิดอีก” ก็ข้าเร่งรีบ แล้วตื่นเต้นด้วย นางมิได้พูดออกมา
“ต่อไปก่อนจะเดินลมปราณ เจ้าต้องนั่งทำสมาธิก่อน เมื่อร่างกายพร้อมทุกด้าน ค่อย ๆ เริ่ม” แล้วเขานำผ้าห่มมาคลุมให้นาง จากนั้นไปนั่งที่โต๊ะ ตรงที่ฮวาฮวาน้อยออกมา อ่า……ข้าลืมไปว่ายังมิได้ใส่ชุดคลุม
“ข้าน้อยขอบคุณคุณชายมากเจ้าค่ะ…” ข้าสบตาผู้มีพระคุณอีกครั้ง ใช่แล้ว ดวงตาคู่นี้ที่โดดลงไปในบึงบัวหลวง แล้วท่านแนะนำตัวเองแบบที่ทำให้นางอึ้งเล็กน้อย
“พี่เยี่ย”
“ยินดีที่ได้รู้จักพี่เยี่ย…ข้าน้อยหลี่เฟยเฟย ขอบคุณพี่เยี่ยที่ช่วยชีวิตข้ามา 2 คราแล้ว” พี่ก็พี่…ข้ามีพี่ชายที่ลึกลับก็น่าตื่นเต้นมิน้อย หรือใบหน้าท่านจะเป็นแผลนะ ช่างเถอะ…
ท่านด้านเยี่ยหลาง ก่อนที่จะมาที่นี่ ชายหนุ่มเห็นคู่รักแสดงความรักกันบนเนินสูง เขาก็รีบมาหาหญิงสาว วันนี้ที่ตลาดมีการพูดถึงหญิงสาวเรื่องที่มารดาฝ่ายชายไปยกเลิกการหมั้นหมายที่จะถึงอีกไม่นานนี้ เขาเป็นห่วงนางมิน้อย อีกอย่างอยากมาเห็นนางด้วยตา ก่อนที่จะเดินทางไปทางเหนือ
สิ่งแรกที่เขาเห็น ใบหน้างดงามกำลังมีความสุข ทำให้เขาละสายตาไปจากนางมิได้ นางเปลี่ยนไปมิน้อย อยู่ ๆหัวใจด้านซ้ายเกิดเต้นแรง ไม่จริง ที่ผ่านมาแม้จะแอบมาหานางบ่อย ๆ เยี่ยหลางมิได้มีความรู้สึกเช่นนี้นี่นา แล้วครานี้เกิดอันใดขึ้นกับหัวใจเขา ชายหนุ่มถามใจตัวเอง พี่ใหญ่เคยบอกว่ายามที่เจอสตรีทำให้หัวใจเราเต้นแรง สตรีนางนั้นคือรักแรกของเรา…
เยี่ยหลางยกมือทาบลงบนหัวใจ มันยังคงเต้นดัง ตึก ตึก ตึก แปลก ดวงตาดำขลับยังจ้องใบหน้างดงาม คราแรกเยี่ยหลางคิดว่านางต้องร้องห่มร้องไห้ แต่มาเห็นนางด้วยตาตัวเอง สีหน้าท่าทางของนางเหมือนมิได้อาลัยอาวรณ์บุรุษผู้นั้น แล้วเหตุใดเขาต้องรู้สึกดีด้วยนะ…
นั่นนางจะเดินลมปราณหรือ เขาเห็นว่านางเดินลมปราณผิด รอดูว่านางจะกลับตรงจุดตันเถียนได้ไหม แต่เวลาผ่านไป ยิ่งทำให้ลมปราณที่เดินไร้ทิศทางการควบคุม ร่างบางเหงื่อเต็มใบหน้ายามที่สบตากับนาง…แล้วนางลืมตาขึ้นทั้งคู่สบตากัน…เยี่ยกลางรู้สึกหัวใจสิ่งเต้นแรง
เลยละสายตามาสำรวจการแต่งกาย ชายหนุ่มรีบละสายตาจากใบหน้างามอีกครั้ง เขามิคิดว่าจะเจอนางในสภาพนี้ นางใส่ชุดคลุมบาง ๆ จึงพยายามมิมองรูปร่างของนางอีก จากนั้นหญิงสาวทำท่าตื่นเต้น แต่สีหน้ากระอักกระอ่วน จนเขาต้องเข้าไปถึงเนื้อถึงตัวนาง เพื่อช่วยถ่ายลมปราณให้สมดุลกัน
“เจ้าพักผ่อนเถอะ…เฟยเอ๋อร์” หลังจากที่เขาได้แนะนำตัวกับนางแล้ว อยากให้นางได้พักผ่อน จีงกล่าวลา…หันหลังเดินไปทางหน้าต่าง
“ประเดี๋ยวพี่เยี่ย…เอ่อ…ข้าจะได้เจอพี่เยี่ยอีกไหมเจ้าคะ…ข้ากับพี่ใหญ่อยากเลี้ยงข้าวขอบคุณพี่เยี่ยเจ้าค่ะ” ตัวข้ายังคงนั่งบนที่นอน ส่วนพี่เยี่ยเตรียมจะโดดหน้าต่าง……ที่นี่บุรุษมิใช้ประตูหรือบันไดแล้วหรือ แล้ว…เดี๋ยวก่อนนะ…พี่เยี่ยเรียกข้าว่าเฟยเอ๋อร์…ฟังแล้วรู้สึกแปลก ๆ
“มิเป็นไร เจ้าดูแลรักษาสุขภาพด้วย” เยี่ยหลางมิได้หันมามองนาง แต่ได้ทิ้งของบางอย่างไว้บนหัวนอนหญิงสาว
“เห้ออออ…ข้าจะได้ตอบแทนพี่เยี่ยไหมนะ แล้วท่านเป็นผู้มีพระคุณของข้าด้วย…แต่เหตุใดท่านเรียกข้าว่าเฟยเอ๋อร์ด้วยเล่า…ช่างเถอะไปปิดหน้าต่างก่อนดีกว่า…” เยี่ยหลางยังคงยืนอยู่บนหน้าหลังคา ชายหนุ่มได้ยินที่หญิงสาวพึมพำ เขายกยิ้มมุมปาก จากนั้นกลับไปที่สำนักชางยง
“เอ๊ะ………นี่มันหยกนี่นา” บนหัวนอนมีหยกสีขาวใสแกะสลักเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว เป็นหยกเนื้อดีไร้ริ้วรอยตำหนิ ห้อยด้วยพู่สีน้ำเงินเข้ม ดูแล้วเป็นของที่ล้ำค่ามิน้อย ที่นางรู้ เพราะอาม่าเคยนำหยกที่อากงเอาให้นางดู หยกของแท้สมัยก่อน เป็นหยกที่บริสุทธิ์และหายาก อาม่าเคยให้นางพกติดตัวไว้ บอกว่า หยกแท้จะช่วยปรับสภาพร่างกายให้มีภูมิคุ้มกันดีขึ้น ต้านทานโรคและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูก
ยังมีอีกหนึ่งเคล็ดลับที่อาม่าเคยบอกนาง ว่าสมัยอาม่าสาว ๆ จะนำหยกมากลิ้งบนผิวหน้าทุกวันเป็นประจำ มันจะช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ เนื่องจากความเย็นของหยก จะช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้นนั้นเอง แต่นางเป็นคนลุย ๆ อีกอย่างนางมิชอบพกของแพง เรื่องทั้งเรื่องกลัวหาย เลยเก็บไว้กับอาม่า
“พี่เยี่ยท่านคงทำหล่นไว้ งั้นข้าขอยืมมาใช้ละกัน ถ้าเจอกันคราวหน้า ค่อยคืนให้ท่าน” ที่นางตัดสินใจจะพกหยก เพราะนางรู้ว่าเป็นของแท้ ที่มีประโยชน์มากกว่าเก็บไว้ในห้อง หวังว่าหยกชิ้นนี้จะช่วยปรับสภาพร่างกายของนางให้มีภูมิคุ้มกันดีขึ้น ต้านทานโรคและเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและกระดูกตามที่อาม่าเคยบอกไว้
เมื่อนางมาห้อยไว้ที่เอวเสร็จ นางไปเอาชุดคลุมมาใส่จากนั้นเรียกฮวาฮวาน้อยออกมา
“สวัสดีนายหญิง”
“ฮวาฮวาน้อย ข้าอยากรู้แล้วว่าพรความดีที่ข้าได้มีอันใดบ้าง”
“ได้เจ้าค่ะ นายหญิงนั่งทำสมาธิก่อนจากนั้นเดินลมปราณ แล้วเพ่งจิตมาที่หน้าผากของข้า” นางทำตามที่ฮวาฮวาน้อยบอก ผ่านไปสัก 1 จิบน้ำชากระมัง นางมาอยู่ตรงกลางของดอกบัวในนั้นมีพิณที่เป็นอาวุธที่นางเลือกไว้
“ฮวาฮวาน้อย ข้าเข้ามาแล้ว เจ้ามิได้มาด้วยหรือ”
“ข้าเข้าไปมิได้เจ้าค่ะ นายหญิงค่อย ๆ ตามหานะเจ้าคะ ข้าจะเป็นกำลังใจให้”
“ขอบใจมากจ้ะ” ระหว่างนั้นข้านั่งลงตรงกลางดอกบัว แล้วพยายามสำรวจแต่ละกลีบของดอกบัว มีอยู่ 3 กลีบที่มิมีเหมือนกลีบอื่น ๆ เมื่อข้าแน่ใจแล้ว ส่งกระแสจิตให้ฮวาฮวาน้อย
“ถ้าเจอแล้วให้นายหญิงนั่งจับกลีบนั้น แล้วส่งกระแสจิตเข้าไป ค่อย ๆ ทำทีละใบนะเจ้าคะ”
พรความดีจ๋า มีพรอันใดบ้างนะ …นางจับใบแรก แล้วทำตามที่ฮวาฮวาบอก จากนั้นบนดอกบัวกลีบนั้นเขียนว่าพรชาวยุทธ เมื่อนางได้อ่านแล้ว ความหมายของพรชาวยุทธหลั่นไหลเข้ามาในหัว นางจะเป็นคนที่วรยุทธ ความแข็งแรงจะขึ้นอยู่กับการฝึกฝนของนางด้วย รายกายจะมีพลังลมปราณ แต่ยังเป็นมนุษย์ มีวิชาตัวเบาเหาะเหินเดินกลางอากาศได้
ข้าอยากไปพรนี้มานานแล้ว ยุคนี้การเดินทางจำเป็นที่สุด จากนั้นดอกบัวกลีบนั้นค่อย ๆหายไป แล้วนางจับกลีบที่ 2 ขึ้นมาเพ่งจิตไปที่นั่น เป็นความรู้เทคนิคการเล่นพิณที่สยบศัตรูฝ่ายตรงข้างได้ แล้วพรความดีใบสุดท้าย นางตื่นเต้นมิน้อยอาจเพราะเป็นใบสุดท้าย แต่ทุกอย่างกลับว่างเปล่า นางเพ่งมองจนมีเสียงดังขึ้นมา
“กลีบสุดท้ายเป็นพรที่เจ้าต้องขอด้วยตัวเองเท่านั้น” แล้วเสียงนั้นก็หายไป ข้าจะขออะไรดี ในขณะที่ข้ากำลังคิดว่าจะขอพรอันใดอยู่นั้น ภาพเด็กขอทานเล็ก ๆ มากมายมารุมล้อมข้า แล้วข้าคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะช่วยพวกเขาเหล่านั้นนะ
“ข้าขอถุงเงินวิเศษที่ยิ่งใช้ เงินในถุงยิ่งเพิ่มมากขึ้นเจ้าค่ะ” นางมีโอกาสกลับมาอยู่ที่นี่ทั้งที ขอทำบุญให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สำหรับนางการทำบุญทำทานแบ่งปังช่วยเหลือผู้อื่นให้มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เป็นการทำบุญที่น่าจะได้บุญยิ่งกว่าอย่างอื่นกระมัง”
จากนั้นกลีบดอกบัวใบที่สามได้ค่อย ๆหายไป นางค่อย ๆ ลืมตา พบถุงสีทองขนาด 12 ชุ่น (12 นิ้ว)วางอยู่บนตัก แล้วเสียงฮวาฮวาน้อยดังขึ้นมา พร้อมชี้ที่แขนซ้าย
“สำเร็จแล้วนายหญิง กลีบดอกบัวหายไป 3 กลีบ แต่ก็ยังงดงามเช่นเดิม” ข้ายิ้มให้ ยามนี้นางกำลังชื่นชมดอกบัวที่แขนซ้าย พรความดีที่ฮวาฮวาพูดถึง กว่าข้าจะได้มาใช้จริง ๆ ข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด ดีนะได้พี่เยี่ยมาช่วยไว้ คืนนั้นนางหลับสนิททั้งคืน เนื่องจากใช้พลังไปเยอะ
เช้านี้ก่อนที่นางจะออกจากจวนไป นางแต่งกายเรียบร้อย ด้วยชุดที่ตัดใหม่ทั้งหมด ที่ทางร้านไผ่หลิวมาส่งให้นางถึงที่ ฝากชุดไว้กับพ่อบ้าน ทุกชุดจะมีจะเน้นโทนสีเรียบ ไม่ฉูดฉาด นางมิลืมที่จะนำหยกเนื้อดีมาห้อยไว้ที่เอว แล้วขอให้พี่จิงจิงนำถุงผ้าทั่วไปมาให้นาง 1 ผืนนางบอกว่าจะใส่ตั๋วเงินที่เหลือเมื่อวาน ที่จริงนางจะใส่ถุงสีทองเข้าไปไหวในถุงผ้าธรรมดา เพื่อมิให้เป็นที่สังเกตต่างหาก
“เฟยเอ๋อร์ เจ้าจะให้พี่ไปด้วยหรือเปล่า” พี่ใหญ่รีบมาหานางที่หน้าเรือนแต่เช้า
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ไปทำงานเถอะ น้องมีพี่จิงจิงกับองครักษ์มู่และองครักษ์จางอยู่แล้ว พี่ใหญ่มิต้องเป็นห่วง”
“นี่ตั๋วเงินนี้ เผื่อน้องพี่อยากได้สิ่งใดเพิ่มเติม…เอ๊ะ…หยกนั่นเจ้าได้มาเมื่อไร่เฟยเอ๋อร์ เข้ากับน้องสาวพี่ยิ่ง” หลี่ฟานรู้สึกคล้าย ๆ ว่าเคยเห็นหยกรูปเสี้ยวพระจันทร์ที่ไหนสักแห่ง แต่เขานึกมิออก เมื่อคือเขาดื่มเยอะด้วย เช้านี้ยังรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย
“เอ่อ… ข้าเจอในหีบเครื่องประดับเจ้าค่ะพี่ใหญ่ เห็นว่าสวยดี เลยเอามาใส่ ความจริงตั๋วเงินที่พี่ใหญ่ให้ไว้เมื่อวานยังมีอยู่นะเจ้าคะ” พี่ใหญ่ยังคงนำตั๋วเงินมาให้นางอีก 1 ปึก
“มิเป็นไรน้องรัก เพื่อความสุขของน้องพี่ อยากทำอันใดก็ทำไปเถอะ ขอเพียงไม่เดือดร้อนผู้อื่น” ข้ารับเงินมาใส่ถุงผ้า แล้วขอบคุณพี่ใหญ่อีกครั้ง จากนั้นพี่ใหญ่กับอาจงเดินทางไปที่ร้าน
“คุณหนู แม่สุ่ยปิงมาแล้วเจ้าค่ะ” ยามนี้พวกเรารอผ้าที่ทางร้านมาส่ง พี่จิงจิงกระซิบบอกนางว่า แอบเห็นคนสุ่ยปิงอยู่หบัวพุ่มไม้
“ท่านพ่อบ้าน ช่วงนี้มีบ่าวไพร่คนใดที่ว่างงานข้าอยากขอไปช่วยงานเจ้าค่ะ” เสียงดังพอที่จะให้สุ่ยปิงได้ยิน แล้วก็ได้ผล
“ข้าเจ้าค่ะ ข้าว่างเจ้าค่ะคุณหนู” สุ่ยปิงรีบเสนอตัวเข้ามา นางอยากรู้ว่าวันนี้คุณหนูที่ถูกยกเลิกหมั้นหมายจะไปที่ใด เพื่อมีข่าวไปรายงานให้คุณหนูลี่มี่
“เจ้าไหวหรือ”
“ไหวเจ้าค่ะ…ข้าทำงานได้ทุกอย่างขอ…เอ่อไม่มีอันใดเจ้าค่ะ” นางเกือบจะพูดออกไปถ้าเงินถึงนางก็ทำไหว แต่หยุดปากไว้ก่อน
“ได้ จำไว้ด้วย ว่าเจ้าสมัครใจไปเอง แล้วอย่าไปเล่าให้ผู้อื่นฟังว่าข้าบังคับเจ้า”
“จะมิเป็นเช่นนั้นแน่นอนเจ้าค่ะคุณหนู” ชุดของเด็ก ๆ ที่นางสั่งไว้เมื่อวานก็มาถึงหน้าจวน องครักษ์จางนำใบรายการมา นางนับตั๋วเงินให้องครักษ์จางไปจ่ายพร้อมกับเงินที่เป็นสินน้ำใจจำนวนหนึ่ง คนที่มาส่งผ้าประทับใจในควรมีน้ำใจของคุณหนู แล้วคิดถึงผู้คนที่เล่าขวัญนาง ต่างกับตัวจริงนางมิได้เป็นอย่างที่ทุกคนเล่าลือกัน
สำหรับองครักษ์ มู่กับองครักษ์จางเมื่อเห็นหยกเสี้ยวพระจันทร์ผูกที่เอวคุณหนู พวกเขามองหน้ากัน เป็นอันรู้กัน ว่าหยกนี้เป็นของคุณชายเล็กสำนักชางยงหรือนายเก่าพวกเขาสองคน แต่ดูเหมือนคุณชายหลี่ฟานจะนึกไม่ออก ความจริงสัญลักษณ์รูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวติดอยู่ที่หน้าสำนักงานชางยงนี่เอง
“ไปกันเถอะพี่จิงจิง”
“คุณหนูแล้วข้าละเจ้าคะ”
“เจ้านั่งไปกับเกวียนขนของละกัน พอดีข้าต้องแวะซื้อของอีก” ถ้านางหันหลังมา จะทันเห็นสายตากรอกไปมาของสุ่ยปิง ถ้าข้ามิไปหาข่าว ข้าจะมิมีวันตามทั้งคู่ออกไปเด็ดขาด…
เป๋าฮื้อมีหน้าที่รับส่งพ่อบ้านออกไปจ่ายของที่ตลาดสลับวันกับพี่ชายที่ชื่อเป๋าอู่ วันนี้เขาได้มีโอกาสออกไปกับคุณอีกครั้ง วันก่อนก็ออกไปส่งชุดให้คุณหนูที่ตลาด
ส่วนพี่ชายไปส่งพ่อบ้านไปจับจ่ายซื้อของที่ตลาด สองพี่น้องมีหน้าที่ดูแลเกวียน 2 เล่ม กับม้าสองตัว และช่วยทำงานในสวน ในวันที่พวกเขามิได้ออกไปไหน คุณหนูจ่ายเบี้ยให้พวกเขาสม่ำเสมอ เทียบกับบ่าวไพร่ในจวนอื่น พวกเขามิได้เบี้ยเลย
“แล้วอันใดที่อยู่ในกระสอบนี้ แออัดชะมัด…โอ้ยยย…เป๋าฮื้อ เจ้าบังคับเกวียนดี ๆสิ”
“ข้าลืมไปว่าแม่นางสุ่ยปิงนั่งบนเกวียนด้วย หึ หึ หึ”
“นี่ข้าคิดผิดหรือคิดถูกที่ตามพวกนางมา”
“หึ หึ หึิ…เจ้าเปลี่ยนใจมิทันแล้วกระมังสุ่ยปิง…ถ้าเจ้าลงกลางทาง ข้าจะบอกคุณหนูว่าเจ้าเป็นคนเหยียบขี้ไก่มิฝ่อ”