บทที่5ฮวาฮวาน้อย
หลี่ฟานได้รับรายงานจากท่านพ่อบ้านและจิงจิง เรื่องที่น้องสาวกินยาจนหมดถ้วย เขาดีใจมาก ดูเหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นหลังจากที่น้องฟื้นขึ้นมา พอดีจิงจิงยกยาไปให้น้องสาวที่ห้อง
“จิงจิง ข้าจะเอายาไปให้นางเอง เจ้าไปทานข้าวเถอะ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ นี่ลูกอมเจ้าค่ะ” จิงจิงยื่นลูกอมให้คุณชายใหญ่ แล้วนางไปกินข้าวที่ห้องครัวด้วยหัวใจที่เบิกบาน คุณชายจะต้องได้เห็นด้วยตา ว่าคุณหนูมีความพยายามแค่ไหน…
“เฟยเอ๋อร์ พี่เข้าไปนะ…”
“เข้ามาเลยเจ้าค่ะพี่ใหญ่” เย็นนี้ท่านป้าฮวาทำข้าวต้มให้ นางกินหมดเกลี้ยง จิงจิงบอกว่าเมื่อก่อนนางกินข้าวได้น้อย นางเลยบอกไปว่าในเมื่อตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว ก็จะทำให้ได้ดีที่สุด
“ถึงเวลาที่เจ้าต้องทานยาแล้วหนาเฟยเอ๋อร์” หลี่ฟานมิคิดว่าน้องสาวจะรับถ้วยยามาจากมือเขาโดยมิได้พูดอะไร จากนั้นยกถ้วยยากลั้นหายใจดื่มเข้าไป เขารีบแกะลูกอมให้นาง
“อี๋…เมื่อไรยาจะหมดเจ้าคะพี่ใหญ่…ขอบคุณเจ้าค่ะ” สีหน้าเหยเกนั้น แสดงว่านางฝืนใจดื่มมิน้อย แต่ทำให้เขาเห็นถึงความพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองของนาง
“อีก 3 วัน แต่พี่ควรดีใจหรือเสียใจที่เจ้าดื่มยาโดยมิอ้อนพี่แล้ว หึ หึ หึ” ปกติยามที่น้องน้อยไม่สบาย จะพูดอ้อนวอนมิขอให้ดื่มยา…
“พี่ใหญ่ควรดีใจ ที่น้องจะเปลี่ยนแปลงตัวเองนะจ้าคะ สัญญาก่อนว่าต่อไปจะมิให้ท้ายน้อง” นางชูนิ้วก้อยขึ้นมา แต่คนพี่ทำหน้างง
“ต่อไปนี่ ถ้าข้าใช้นิ้วก้อยเกี่ยวก้อยกับพี่ใหญ่ เป็นการแทนคำสัญญาเจ้าค่ะ” นางบอกให้พี่ชายชูนิ้วก้อยออกมา จากนั้นเกี่ยวก้อยกัน หลี่ฟานได้ความรู้ใหม่ ว่าการทำสัญญา แค่ใช้นิ้วก้อยเกี่ยวกันเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว
“พี่จะจำไว้ เฟยเอ๋อร์ พี่ขอถามเจ้าในวันที่ก่อนเกิดอุบัติเหตุได้หรือเปล่า” โชคดีแค่ไหน ที่นางได้ความทรงจำช่วงนั้นพอดี ถ้าพี่ชายถามเรื่องอื่นวันอื่น นางอาจต้องโกหกเอาตัวรอดไป
“ได้เจ้าค่ะ…พี่ใหญ่อยากรู้เรื่องใดเจ้าคะ”
“ก่อนที่เจ้าถลำตัวไปข้างหน้า เจ้ารู้สึกว่ามีอะไรไหม”
“ข้ารู้สึกเหมือนมีคนดีดก้อนหินใส่ข้อเท้าเจ้าค่ะ แล้วมันเจ็บมาก ข้าทรงตัวมิได้ ตั้งใจจะคว้าชายเสื้อพี่… เอ่อ…คุณชายเหว่ยไว้ แต่คว้ามิทัน เลยเป็นอย่างที่ทุกคนเห็นเจ้าค่ะ”
หืมมม…คุณชายเหว่ยหรือ ปกติหลี่ฟานได้ยินแต่ชื่อท่านพี่เหว่ย…นี่น้องสาวจะเปลี่ยนสถานะให้ผู้นั้นด้วยหรือ เขายกยิ้มมุมปาก แล้วพูดเรื่องที่ก้อนหิน
“เฟยเอ๋อร์ พี่ว่าเรื่องที่เจ้าเล่าให้พี่ฟังมิใช่อุบัติเหตุ พี่อยากให้เจ้าระมัดระวังตัวให้มากขึ้น เอาเช่นนี้พี่จะหาองครักษ์คุ้มครองเจ้า 2 คน ในยามที่น้องพี่จะออกไปทำธุระข้างนอกได้ไหม” อย่างน้อยก็ต้องถามนางก่อน ที่ผ่านมาหลี่ฟานเคยพูดกับนางแล้ว แต่น้องสาวกลับตอบว่า “มีท่านพี่เหว่ยอยู่ด้วย นางมิเป็นอันใด”
“ข้าก็คิดเช่นพี่ใหญ่ แต่มิมีผู้ใดเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น…พวกเราจึงทำอันใดมิได้” หลี่ฟานลูบศีรษะน้องสาว ถ้าเป็นเมื่อก่อนน้องสาวจะบอกเขาว่านางไม่ระวังตัว แล้วพร้อมจะปกป้องเหลียงเหว่ย แต่ยามนี้มิใช่แล้ว…สักวันหนึ่งเจ้าจะเสียใจเหลียงเหว่ย…
“พี่เชื่อว่าสักวัน สิ่งที่พวกมันทำกับน้องพี่ กรรมจะตามสนองพวกมัน แล้วเรื่ององครักษ์เจ้าว่าอย่างไรเฟยเอ๋อร์”
“ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่เป็นห่วงข้า…เพื่อความสบายใจของพี่ใหญ่ข้าจะรับไว้ แต่…”
“แต่อันใดเล่า”
“พี่ใหญ่ต้องให้สองคนนั้นเป็นคนของข้า…ฟังคำสั่งข้าผู้เดียว”
“ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วน้องรัก พวกเขาจะเป็นคนของพี่ได้อย่างไรเล่า…เอ่อ…พี่มีอีกเรื่องที่จะถามเจ้า…”
“เรื่องคุณชายเหว่ยใช่ไหมเจ้าคะ” หลี่ฟานพยักหน้าช้า ๆ
“ในเมื่อน้องบอกพี่ใหญ่ว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง รวมถึงเรื่องนั้นด้วยเจ้าค่ะ ที่ผ่านมาน้องโง่งมยิ่งนัก…”
“เฟยเอ๋อร์ ความรักเป็นสิ่งสวยงาม น้องพี่มิได้โง่งมสักนิด เจ้าเป็นคนที่ซื่อสัตย์กับความรักต่างหากเล่า” แววตาที่มองน้องสาวนั้นมีความปลื้มปริ่ม ภูมิใจและเอ็นดู ชายหนุ่มรอคอยวันนี้มานานแล้ว…
“ขอบคุณพี่ใหญ่ ต่อไปนี้คุณชายเหว่ยจะมิได้อยู่ในสายตาน้องอีกต่อไปแล้วนะเจ้าคะ” พี่ใหญ่เข้ามากอดนางไว้ พร้อมลูบศีรษะนางเป็นการปลอบใจ (ข้ามิได้รู้สึกอันใดกับเหลียงเหว่ย แค่อยากตัดคนแบบนี้ออกไปจากชีวิตเท่านั้น) นี่เป็นความคิดของหลี่เฟยเฟยคนใหม่
“พี่ดีใจที่เจ้าคิดเช่นนี้ วันข้างหน้าเจ้ามีต้องกลัวว่าจะมิมีผู้ใดมารัก เจ้าอายุยังน้อย ต้องพบเจอผู้คนอีกมากมาย พี่เชื่อว่าน้องพี่จะได้พบรักแท้ ถึงจะมิได้พบ แต่เจ้ารู้ไว้ ว่าพี่ชายคนนี้เลี้ยงเจ้าได้ตลอดชีวิต”
“ขอบคุณพี่ใหญ่ ข้าช่างโชคดียิ่ง …ขอบคุณนะเจ้าคะ…จริงสิ พี่ใหญ่รู้จักบุรุษที่ช่วยน้องขึ้นมาจากน้ำหรือเปล่าเจ้าคะ”
“พี่กำลังจะถามเจ้าอยู่พอดี จิงจิงบอกว่าบุรุษผู้นั้นใส่หน้ากากที่ทำจากเงิน หลังจากนั้นมิมีใครพบเห็นเขาอีก…เจ้าถามทำไมหรือ”
“ข้าแค่อยากขอบคุณเขาเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
“พี่ก็อยากขอบคุณเขาเช่นกัน…แต่เขามิหวังสิ่งใด พวกเราก็ปล่อยเขาไปเถอะ พี่มารบกวนเจ้านานไปแล้ว พักผ่อนเยอะ ๆ พรุ่งนี้พี่จะไปส่งเจ้าไปที่ตลาด”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ…พี่ใหญ่ก็ไปพักผ่อนด้วยนะเจ้าคะ” หลังจากที่ออกจากห้องน้องสาว หลี่ฟานเรียกอาจงมา แล้วให้ไปหาท่านติงเล่อ ให้คัดเลือกองครักษ์ฝีมือดี 2 คน เรื่องเงินมิใช่ปัญหา…
คืนนั้น ข้าให้พี่จิงจิงกลับไปนอนที่ห้องของนาง ซึ่งมีอยู่ถัดจากห้องนอนข้านี่เอง ที่ผ่านมานางนอนไม่อิ่มติดต่อกันหลายคืนแล้ว
“คุณหนูเช่นนั้น ถ้าเกิดเรื่อง คุณหนูต้องตะโกนเรียกหาพี่นะเจ้าคะ”
“ข้าทราบแล้ว พี่ย้ำ 10 ครั้งได้กระมัง คริ คริ คริ”
“คุณหนู มิถึงสักหน่อย แค่ 8 ครั้งเองเจ้าค่ะ” หลังจากที่พี่จิงจิงออกจากห้องไปแล้ว ข้าเดินไปดูกลอนประตู หน้าต่าง เมื่อทุกอย่างล็อกสนิทแล้ว ข้านำตะเกียงมาตั้งที่โต๊ะแต่งหน้า จากนั้นแหวกเสื้อออกมา เพื่อสำรวจดอกบัวที่เห็นเมื่อเช้า
ข้ามองไปที่กระจก ทำท่าเหมือนเกาะอกไว้ ใช้นิ้วชี้ข้างขาวค่อย ๆแตะไปที่กลีบดอกบัว ทันทีที่นิ้วชี้สัมผัสกับกลีบล่างสุดของดอกบัว เกิดเป็นแสงสว่างจ้าขึ้นมา จากนั้นมีเสียงดังขึ้นมา
“นายหญิง ยินดีต้อนรับเข้าสู่ดอกบัวแห่งความดีเจ้าค่ะ” เสียงใสๆ นี่มาจากไหนกัน ข้ามองรอบ ๆ ห้อง แล้วต้องตกตะลึง เพราะบนโต๊ะมีดอกบัวกำลังบานเหมือนที่อยู่บนแขนซ้ายของข้า
“ดอกบัว เจ้าพูดได้หรือ”
“เจ้าค่ะนายหญิง…ข้าน้อยยังมิมีชื่อนายหญิงตั้งชื่อให้ข้าหน่อยนะเจ้าคะ” ข้ากำลังคิดว่าจะให้ชื่อที่อะไรดี
“งั้นเจ้าชื่อฮวาฮวาดีไหม่” พอนางพูดจบ ดอกบัวที่อยู่บนโต๊ะกลายร่างเป็นเด็กผู้หญิงน่ารัก อายุประมาณ 5 ขวบได้ ที่หน้าผากตรงกลางของนางมีรูปดอกบัวตูมอยู่ด้วย
“ขอบคุณเจ้าค่ะนายหญิง”
“ฮวาฮวา เจ้ามาพร้อมดอกบัวหรือ แล้วพวกเรามีความสัมพันธ์กันอย่างไร เกี่ยวกับความดีอย่างไรหรือ”
“นายหญิง แต่ก่อนข้าเป็นดอกบัวบำเพ็ญเพียร ทำความดีอยู่บนสวรรค์ ในบรรดาสรรพสิ่งที่บำเพ็ญเพียร มีข้าเป็นดอกบัวที่อายุน้อยที่สุดและทำสำเร็จ ได้รับมอบหมายจากเจ้าแม่กวนอิมให้ลงมาอยู่กับนางหญิงเจ้าค่ะ ที่เป็นดวงวิญญาณที่ดี มีความกตัญญู…บนกลีบของข้าจะมีประโยชน์ต่อนายหญิง จะมีพรความดีอยู่ในนั้น แต่แค่ 3 กลีบเท่านั้น นายหญิงต้องตามหา 3 กลีบนั้นก่อนเจ้าค่ะ”
“อย่างงั้นหรือ…ฮวาฮวาน้อย แล้วผู้อื่นจะมองเห็นเจ้าไหม”
“มีแค่นายหญิงผู้เดียวที่มองเห็นข้า ถ้านายหญิงจะให้ข้าหายไป แค่นายหญิงสื่อสารทางจิต ข้าจะกลับไปอยู่ที่แขนซ้ายนายหญิงเจ้าค่ะ”
“วิเศษไปเลยฮวาฮวาน้อย ขอบใจมาก แล้วพรความดีมีวิชาตัวเบาที่ข้าดูในซีรีส์ไหมแล้วต้องทำอย่างไร” ถ้านางมีวิชาตัวเบา นางอยากไปไหนก็ได้ คิดแล้วก็ตื่นเต้น
“นายหญิงต้องมีลมปราณที่แข็งแรงก่อน…ถึงจะเข้าไปดูพร 3 ข้อที่อยู่บนกลีบของข้าเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ งั้นข้าต้องรบกวนเจ้าแล้ว เพื่อจะได้เปิดกลีบหาพร…อีกอย่างข้ามีเวลามากมายให้เจ้าเด็กดี” คืนนี้คงเป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้นของนาง………ในห้องที่ปิดสนิท ทุกคนคิว่านางหลับไปแล้ว ตะเกียงก็ดับไปแล้ว…แต่ตรงกลางของดอกบัวนางเข้าไปนั่งสมาธิแล้วเริ่มเดินลมปราณตามคำแนะนำของฮวาฮวา……………
เรือนอนุลี่เซียง
เรือนหลังสุดท้ายในจวนใหญ่โต…สองแม่ลูกนอนนั่งคุยกันภายใต้แสงจันทร์ที่ลอดผ่านทางหน้าต่าง นางลี่เชียงเป็นอนุของนายท่านสือเถียน ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดินในเมืองไห่เสิ่น นางเป็นอนุคนที่ 5 ของนายท่านสือเถียน ความเป็นอยู่ของอนุคนอื่น ๆต่างจากบ่าวรับใช้ตรงที่พวกนางได้รับเบี้ยมากกว่าและมีเรือนส่วนตัวเป็นของตัวเอง อย่างอื่นต้องอยู่ภายใต้อำนาจของนายหญิงใหญ่นายหญิงรองและอนุคนที่ 1 2 3 4
แต่นางโชคดีที่เป็นบุตรสาวของผู้นำเผ่าซูล่า เผ่าที่ขึ้นชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ภรรยาหรืออนุแต่ละคนของนายท่านสือเถียนไม่คิดจะยุ่งวุ่ยวายกับนางและบุตรสาวเท่าไร ที่สำคัญนางมีสินสมรสมากกว่าผู้อื่น ถึงได้เบี้ยน้อยนิด สองแม่ลูกก็มิได้มีปัญหาอันใด…
“ท่านแม่…ท่านพ่อมิมาหาท่านแม่กี่วันแล้วเจ้าคะ ข้าจะมิมีวันเป็นอย่างท่านแม่ ที่เฝ้ารอคนรักและแบ่งคนรักให้สตรีอื่นได้เชยชม”
“มี่เอ๋อร์ แม่ทนได้ทุกอย่าง ความรักที่แม่มีให้ท่านพ่อของเจ้ามีมากกว่าเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ อีกอย่างพวกนางมิได้มาวุ่นวายกับแม่และเจ้ามิดีหรือ แม่อยากให้เจ้าได้เจอคนที่จริงใจและรักเจ้า ตัวแม่นั้นจะอยู่และตายที่นี่ตระกูลนี่แหละ”
จุดเริ่มต้นที่นางได้เจอกับสามี ครั้งแรกที่นางลี่เซียงลงมาเที่ยวในเมืองไห่เสิ่น แต่โดนฉุดไปทำมิดีมิร้าย ได้พ่อของลูกมาช่วยไว้ แล้วกลายเป็นรักแรกของนาง…แม้คราแรกนางใช้ยาเสน่ห์กับเขา แต่หลัง ๆมานางมิได้ใช้แล้ว จนถึงวันนี้นางก็ยังรักเขา…แม้เขามิได้มาหานางบ่อยเช่นคราแรกก็เถอะ
“ถ้าข้าแต่งออกไปกับคุณชายเหว่ย ข้าจะแวะมาหาท่านแม่บ่อย ๆ ละกันนะเจ้าคะ ท่านแม่นี่ขนาดข้าไม่ใช่ยาเสน่ห์นะเจ้าคะ…”
“เช่นนั้นเจ้ามิจำเป็นต้องใช้…ในเมื่อคุณขายเหว่ยชอบพอเจ้าอยู่แล้ว ท่านยายบอกว่ายานั้นห้ามใช้เกิน 5 ครั้ง เจ้าจำไว้ด้วย แล้วเรื่องคุณชายเหว่ย ให้เขามาคุยกับนายแม่ใหญ่หรือบิดาเจ้าด้วยเล่า…ถึงพวกเจ้าจะรักกัน ก็ต้องผ่านบิดาและแม่ใหญ่เจ้ารับรู้ด้วย”
“เจ้าค่ะท่านแม่ อีกไม่กี่เดือนเดียวข้าจะปักปิ่นแล้ว หรือข้าจะให้คุณชายเหว่ยมาหมั้นข้าในวันนั้นเลย”
ภายใต้แสงจันทร์ สีหน้าของลี่มี่ยิ้ม โชคดีที่นางหลี่เฟยเฟยยังไม่ตาย นางอยากให้มันเห็นวันสำคัญของนางกับคุณชายเหว่ย…แค่คิดก็อยากให้ถึงวันปักปิ่นแล้ว วันนี้ช่วงบ่ายนางออกไปเดินตลาดเจอบ่าวรับใช้ที่เห็นแก่เงินคาบข่าวมาบอกนาง หึ เจ้าจะดวงแข็งอย่างไร ก็มิมีทางที่คุณชายเหว่ยจะหันกลับไปมองเจ้าหรอกหลี่เฟยเฟยเอ๋ย…
จุดประกายความแค้นและอยากเอาชนะนังหลี่เฟยเฟย เมื่อ 2 ปีที่แล้ว หญิงสาวสองคนแย่งตุ๊กตาแกะสลักไม้ที่เป็นลูกกระต่าย ลี่มี่มั่นใจว่านางเห็นก่อนแล้วรีบเดินไปจับ แต่มีคนมาจับขึ้นมาตักหน้าเสียก่อน อายุนางน่าจะไล่เลี่ยกัน มีสาวใช้ยืนข้าง ๆ ท่าทางหยิ่งยโส
“เจ้า…ตุ๊กตานี้ข้าเห็นก่อน มันต้องเป็นของข้า” วันนั้นนางออกมาซื้อของกับมารดา
“แล้วอย่างไร ข้าจับมันขึ้นมาก่อน มันต้องเป็นของข้าสิ…”
“ข้าบอกว่าข้าเห็นก่อนอย่างไรเล่า เอามานี่…” ลี่มี่เข้าไปยื้อแย่งตุ๊กตาไม้ตัวนั้น หลี่เฟยเฟยกำไว้แน่น คนอะไรมาทีหลังแล้วยังมีหน้ามาแย่งของ ๆ ที่คนอื่นหยิบขึ้นมา สำหรับหลี่เฟยเฟย ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง นางจะไม่ยอมเด็ดขาด แล้วนางก็คิดว่าเรื่องนี้นางถูก เพราะนางมาถึงก็หยิบขึ้นมา
“โอ้ยย…นี่เจ้ากระทืบเท้าข้าหรือ…ท่านแม่ ฮือ ๆ ข้าเจ็บเท้า”
“ใช่…มิเช่นนั้นเจ้าจะปล่อยมือหรือ ตุ๊กตาตัวนี้ข้าหยิบมันขึ้นมาก่อน มันก็ต้องเป็นเจ้าของข้า ในขณะที่เจ้าแค่เห็นมัน แต่มิได้หยิบขึ้นมา แล้วมาอ้างว่าเป็นเจ้าของนะเหรอ หึ…ท่านน้าช่วยอธิบายให้บุตรสาวท่านน้าฟังด้วย…ว่าของที่อยู่ในมือผู้ใดก่อน ก็ควรเป็นของผู้นั้น”
“ท่านแม่…ข้ามิยอมนะเจ้าคะ ข้าเห็นมันก่อน” ทันใดนั้นมีบุรุษหน้าตาดีเดินตามหลังหลี่เฟยเฟย แล้วคุยกันจากนั้นเข้าไปในร้านเพื่อจ่ายเงินค่าตุ๊กตาให้เถ้าแก่… ลี่มี่จำหน้าหน้าบุรุษผู้นั้นได้ดี เขาเป็นบุรุษที่นางใฝ่ฝัน รูปร่างหน้าตาคมเข้ม ดูจิตใจดี นางหมายตาบุรุษผู้นั้นไว้…แล้วเหตุใดนางมิเจอเขาก่อนนะ
“สักวันเจ้าจะเสียใจ…” ลี่มี่พูดขึ้นมา
“ข้ามิเคยเสียใจ เพราะมิเคยมีผู้ใดทำให้ข้าเสียใจ คู่หมายข้าได้จ่ายค่าตุ๊กตาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะพี่จิงจิง…ท่านพี่เหว่ย…” พอดีกับบุรุษนั้นออกมาพอดี ทั้งสามคนเดินออกไปจากร้าน ทิ้งให้นางมองตาละห้อย…”ท่านพี่เหว่ยหรือ…” ข้าจำชื่อบุรุษนั้นไว้ ที่เจ้าเอาไปมันแค่ตุ๊กตาไม้ แต่ข้าจะเอาคู่หมายเจ้ามาเป็นของข้า คอยดู…
นอกจากมารดา หรือบ่าวในเรือน ผู้อื่นมิมีใครคุยกับนาง ลี่มี่กลายเป็นคนพูดน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่นางไม่สนิทเนื่องจากยามที่ไปเรียนรวมกับพี่น้อง พวกเขาจะมิมาคุยกันนาง ไม่ว่าจะเป็นพี่หญิงใหญ่ และน้อง ๆ จากบุตรชายหญิงของบิดา…พวกเขารวมหัวกันคุยเรื่องสนุกสนาน แต่นางนั่งคนเดียว…
นางคอยสังเกตลักษณะนิสัยของพี่น้องทุกคน แต่ละคนทำตัวหยิ่งยโส มองนางเป็นอากาศ คล้ายนางมิมีตัวตน อาจเป็นเพราะมารดานางเป็นชนเผ่าซูล่ากระมัง แต่นางมิได้สนใจ ทุกวันนี้นางอยากหลุดพ้นจากจวนหลังนี้…แล้วคนที่จะพานางออกไปจากจวนได้คือคุณชายเหว่ย…ความชิงชังที่มีต่อหลี่เฟยเฟยมิเคยลดลง…บวกกับความทะเยอทะยาน ทำให้นางอดทนเฝ้ารอ…
ครานั้นมิมีผู้ใดสังเกตเห็นสายตาเคียดแค้นของแม่นางน้อยที่มองสตรีที่แย่งตุ๊กตาไปนั้นมีแต่ความอยากเอาชนะ แล้วข้าจำความรู้สึกยามนั้นได้ ข้าจดจำสตรีที่ชื่อหลี่เฟยเฟยและคู่หมายของนางที่ชื่อว่าคุณชายเหลียงเหว่ย สักวันของ ๆ นางข้าจะแย่งคืน…แล้ววันนั้นใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว เพราะยามนี้ในสายตาคุณเหว่ย มีแค่นางผู้เดียว…
เมื่อก่อนนางสืบจงรู้ว่าสุ่ยปิง บ่าวไพร่ที่ชอบแต่งหน้าแต่งตัวและใช้ชีวิตมิเหมือนบ่าวไพร่ทั่วไป นางชอบคุยไปทั่วว่าสนิทกับท่านบ้านจวนหลี่ ลี่มี่เริ่มแผนการตีสนิทกับแม่นางสุ่ยปิง แล้วจ้างนางด้วยเครื่องประทินผิวหรือเงินทองเครื่องประดับ ให้ปล่อยข่าวเสีย ๆ หาย ๆ หลี่เฟยเฟย
สุ่ยปิงรับงานนี่ทันที ยามที่นางออกมากับพ่อบ้าน จะขอให้พ่อบ้านแบ่งงานให้นางไปซื้อผัก ที่แผงนั่นโน่นนี่ เพื่อจะเสร็จไวขึ้น จากนั้นแม่นางสุ่ยนำผ้าคลุมหน้าออกมา แล้วไปยืนใกล้นางกิงลั้ง สตรีที่ชอบนินทาผู้อื่นเป็นงานหลัก สุ่ยปิงพูดเสียงดังว่า
“บ่าวไพร่ในจวนเอือมละอากับพฤติกรรมของคุณหนูหลี่เฟยเฟยที่เอาแต่ใจ ลงโทษบ่าวไพร่ให้ทำงานจนมิมีเวลาได้นั่งพัก…นางเหวี่ยงใส่ทุกคนที่ขวางหน้า…หน้าตาก็ดี เหตุใจไม้ไส้ระกำหนอ”
ทุกครั้งที่นางออกมากับพ่อบ้านโจว นางจะแต่งเต็มเรื่องขึ้นมาแล้วเข้าไปคุยกับแม่ค้าปากจัดที่นาง ที่ชอบเรื่องนินทาผู้อื่น นอกจากนางกิงลั้ง ก็นางฉวี๋อีกคน ยิ่งสองคนมานั่งใกล้กัน ข่าวกระพือไปเร็วและไกล แล้วนางไปรับเงินหรือค่าตอบแทนกับคุณหนูลี่มี่ท้ายตลาด…สุ่ยปิงลำพองใจ ว่านางหาเงินหรืออยากได้สิ่งใด แค่นางทำตามที่คุณหนูลี่มี่บอก นางก็ได้มาแล้ว
นางจึงมองบ่าวไพร่ทุกคนในจวนด้วยสายตาสมเพชเวทนา พวกเขาที่ทำงานงก ๆ แต่มิได้มีเงินทองข้าวเขาเครื่องใช้มากมายเช่นนาง………