บทที่ 2
“ผมหมายถึง ผมต้องการให้คุณเข้ามากินข้าวเป็นเพื่อนผม…ในห้องนี้” เธอได้ฟังถึงกับลอบถอนหายใจ แต่แล้วหัวคิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดเข้าหากัน เมื่อได้ทบทวนในสิ่งที่เขาต้องการ
“นี่เป็นคำสั่งหรือว่าหน้าที่ที่เลขาต้องทำคะ” นั่นสินะ ก่อนหน้าถ้าเขาไม่ออกไปหาอะไรกินข้างนอก เธอก็มีหน้าที่เตรียมเข้ามาให้เขากินในห้อง เหมือนที่กำลังจะทำตอนนี้
“ก็ถ้าคิดแบบไหนแล้วสบายใจก็แบบนั้นแหละ” สิ้นเสียงเขาก็ก้มลงไปง่วนกับแฟ้มงานต่อ
“ตะแต่ว่า…” เธอพยายามจะหาเหตุผลดีๆ สักข้อมาอธิบาย แต่ก็ถูกขัดอีกจนได้
“รีบไปจัดการเถอะ ผมหิวแล้ว” เขาบอกปัด ใช่! ปัดปัญหามาที่เธอนี่แหละ ก็เขาบอกว่าจะกินเหมือนเธอ แล้วเธอก็ดันเสนอข้าวกะเพรา แต่เรื่องของเรื่องคือ…เธอไม่กินใบกะเพรา ฮือ…! นี่สินะที่เขาเรียกว่าอาหารสิ้นคิด ไม่ทันคิดเลยจริงๆ ว่ามันจะออกมาในรูปแบบนี้ แต่ตอนนี้คงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามชะตากรรม
เธอเดินคอตกออกมาด้านนอก เพื่อสั่งอาหารที่ว่าด้วยความทดท้อใจ
“ถ้าสั่งกะเพราไก่ แต่ไม่ใส่ใบกะเพราได้ไหมเนี่ย ฮือ! สั่งไปมีหวังโดนด่าสามวันไม่ซ้ำแน่ เอาวะกินก็กินวะ ฮือ! แต่ใบกะเพราะมันเหม็นจริงๆ นะ” เธอพยายามทำใจ แต่ก็ยังไม่ทันจะได้กดเบอร์เพื่อโทรสั่ง เสียงใครคนนึงก็ดังแทรกขึ้นมา
“คุณศิครับ พอจะมีเวลาสักครู่ไหมครับ” พิภพพนักงานหนุ่มเนิร์ดจากแผนกไอทีเดินมาหยุดยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าโต๊ะเธอ และใช่! นี่คือหนึ่งในบรรดาหนุ่มๆ ที่มาติดพันเธอ
“เอ้อ…คุณภพภูมิมีอะไรกับฉันเหรอคะ” เธอถามออกไปอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ไม่ใช่ว่าไม่อยากคุย แต่เพราะยังไม่มีกะจิตกะใจจะคุยกับใครตอนนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะใบกะเพรานั่นแหละ
“พะผมพิภพครับ” หนุ่มเนิร์ดแก้ให้หลังถูกเรียกชื่อผิด
“เอ้อ…ค่ะคุณพิภพ” เธอยิ้มแหยให้อย่างลุแก่โทษ แต่ดูเหมือนเสียงหวานๆ ของเธอจะช่วยเยียวยาทุกอย่างได้ เพราะมันทำให้เจ้าของชื่อถึงกับยิ้มหน้าบาน เพียงแค่ถูกเธอเรียกชื่อ
“นี่ครับ” พิภพเอาของที่ตัวเองแอบไว้ด้านหลังมาวางให้บนโต๊ะ ก่อนจะกลับมายืนบิดไปบิดมาที่เดิม
“คะ?” เธอรับมาแบบงงๆ
“เห็นว่าคุณยังไม่ออกไปทานข้าวเที่ยง ผมก็เลยซื้อสปาเก็ตตี้คาโบนาร่ากับสเต๊กปลาแซลม่อนมาให้ ทะทานให้อร่อยนะครับ” พิภพพูดไปก็เขินไป แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่อยู่ที่อาการดีใจจนออกนอกหน้าของคนที่ไม่ต้องกินกะเพราแล้วต่างหาก
“พระเจ้า! คุณเหมือนฟ้ามาโปรด เหมือนฝนที่ตกลงบนทุ่งนาที่แห้งแล้ง เหมือนแสงสว่างกลางถ้ำที่มืดมิด คุณคือเทพบุตรของฉัน ขอบคุณนะคะคุณจักรภพ” พิภพตัวแทบลอยกับคำสรรเสริญเยินยอ กระทั่งต้องมาหน้าเจื่อนเพราะสาวที่แอบปลื้มดันเรียกชื่อผิดอีก
“พิภพครับ”
“เอ้อค่ะคุณพิภพ ขอบคุณมากนะคะ ว่าแต่คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันยังไม่ทานข้าว” หลังจากหายเครียดเรื่องกะเพรา เธอถึงได้เอะใจขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ตอบ เสียงโทรศัพท์ภายในก็ดังขึ้น
“…….” เธอรีบคว้าโทรศัพท์มากรอกเสียงลงไปอย่างรวดเร็ว ด้วยรู้ดีว่าปลายสายเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ผู้ชายที่ทำตัวเหมือนเจ้าชีวิตเธอ
“ค่ะบอส”
“เข้ามาพบผมในห้อง” ยังไม่ทันที่เธอจะได้ถามอะไร ปลายสายก็วางไปอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ…งั้นฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งสำหรับอาหารสุดพิเศษมื้อนี้” เธอค้อมศีรษะพลางยิ้มให้ก่อนเดินหายเข้าไปในห้อง ในขณะที่อีกฝ่ายก็ได้มองตามตาปรอยจนลับสายตา
“บอสอยากได้อะไรเพิ่มไหมคะ” เพราะคิดว่าแค่ข้าวกะเพราจานเดียวอาจจะไม่เพียงพอสำหรับผู้ชายตัวใหญ่อย่างเขา เธอจึงถามออกมา
“ไปเตรียมตัว อีกห้านาทีเราจะออกไปข้างนอก” เขาตอบสั้นๆ อีกทั้งเสียงก็ห้วนๆ ราวกับไม่พอใจอะไรสักอย่าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นอีกนั่นแหละ ประเด็นคือ…นี่มันเวลาพักของเธอนะ ที่สำคัญทำไมถึงตอบไม่ตรงคำถาม
“ละแล้วมื้อกลางวันล่ะคะ” นั่นสินะ ปลาแซลมอนกับสปาเก็ตตี้รอเธออยู่นะ และเธอไม่ควรปล่อยให้พวกมันนอนหง่าวอยู่บนโต๊ะแบบนั้น
“ผ่านไปแล้วสองนาที” นอกจากจะไม่ตอบคำถามแล้ว พ่อคุณยังทำให้เธอลนลานจนต้องรีบวิ่งออกไปเตรียมของตามที่เขาว่า แต่แล้วพอจะหยิบแฟ้มเอกสาร เธอก็เหมือนจะนึกขึ้นมาได้
“จะไปไหนก็ไม่บอก ออกไปพบใครก็ไม่แจ้ง คิดว่าฉันนั่งทางในรู้เองได้รึไง แล้วจะรู้ไหมเนี่ยว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง” เธอบ่นตามประสา โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่ตัวเองแอบนินทายืนกอดอกพิงประตูฟังอยู่
“แค่เอกสารสัญญาของคุณเจตต์ก็พอ” ถึงจะเป็นแค่เสียงเนิบนาบ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เธอหันขวับไปมอง
“เอ่อ…แต่เรามีนัดกับคุณเจตต์ตอนบ่ายสองนะคะ เหลือเวลาอีกตั้งเกือบสองชั่วโมง ทำไมเราไม่เอ่อ…จัดการมื้อเที่ยงให้เสร็จ” เธอเหลือบไปมองกล่องอาหารที่กำลังส่งกลิ่นยั่วน้ำลายอย่างแสนเสียดาย
“ผมรู้ว่ากำลังทำอะไร คุณแค่ทำตามที่ผมสั่งก็พอ หยิบแฟ้มแล้วตามผมมา” เขาออกคำสั่ง ก่อนเดินเข้าไปรอในลิฟต์ ในขณะเธอทำได้เพียงแอบย่นจมูกใส่ ก่อนจะกลับมาปั้นหน้ายิ้มแล้วเดินตามเขาไป โดยไม่ลืมหยิบถุงสปาเก็ตตี้ติดมือไปด้วย
ทันทีที่เห็นของที่อยู่ในมือเธอ เขาก็ทำหน้าไม่ชอบใจนัก แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร กระทั่งทั้งคู่ลงมาถึงด้านล่าง เพื่อจะเดินออกไปขึ้นรถ จู่ๆ เขาก็เดินชนเข้ากับใครบางคน
“อุ๊ย!” กำแพงมนุษย์ที่ทั้งสูงทั้งใหญ่ดูจะไม่สะทกสะท้าน ต่างกับสาวร่างบางอย่างแวววิวาห์ที่ถูกชนจนเกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น โชคดีที่เขาตวัดแขนโอบรอบเอวไว้ซะก่อน ให้ตายสิ! ภาพนี้อย่างกับฉากรักในละคร ตอนที่พระนางเจอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงทุ้มๆ ของเขาที่ฟังยังไงก็พระเอกชัดๆ
“เป็นอะไรไหม” น้ำเสียงชวนฝันของเขาทำเอาแวววิวาห์สะเทิ้นสะท้านบิดไปบิดมาด้วยความเขินอาย ในขณะที่ศิศิราได้แต่ยืนกลอกตามองบนกับอาการเขินเกินเบอร์ของเพื่อน ใช่! แวววิวาห์หนึ่งในเพื่อนรักของเธอ และก็ใช่อีกที่รายนี้ออกอาการเพ้อพกถึงขั้นคลั่งไคล้ในตัวท่านรองประธานของเธอเป็นที่สุด เจอแบบนี้เข้าไปคงเพ้อไปอีกหลายวัน
“เป็นคนที่แอบมองเธออยู่ไกลๆ เอ้อ…! คือดิฉันหมายถึง ดิฉันไม่เป็นไรค่ะ” แวววิวาห์เผลอตอบในสิ่งที่ใจคิด ก่อนจะตั้งสติได้ในเวลาต่อมา
“นั่นปะไร ไม่ทันไรก็เพ้อซะละ เฮ้อ!” ศิศิราพึมพำกับตัวเองพลางส่ายหน้าน้อยๆ กับอาการของเพื่อน
“อืม! งั้นไปกันเถอะ” เขาหันไปบอกศิศิรา ก่อนจะเดินนำออกไป แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หยุดเดินดื้อๆ ทำเอาคนที่เดินตามหลังมาติดๆ ชนเข้ากับแผ่นหลังเขาเต็มๆ
“พังหมดแล้วมั้งเนี่ยจมูกฉัน ดีนะที่ของแท้แม่ให้มา ไม่งั้นมีเบิกค่าจมูกใหม่แน่” เธอบ่นอุบขณะยืนลูบจมูกตัวเองป้อยๆ แต่เขาก็หาได้สนใจ กลับมองเลยไปที่เพื่อนของเธอที่ยังยืนเพ้ออยู่ด้านหลัง มิหนำซำยังเรียกชื่ออีกฝ่ายให้รายนั้นยิ่งเพ้อหนักยิ่งกว่าเดิม
“แวววิวาห์”
“หมดกันเพื่อนฉัน ใจเหลวหมดแล้วมั้งนั่น” เห็นอาการเดินบิดไปบิดมาของเพื่อน ศิศิราก็พึมพำอีก
“คะ? ท่านรอง” แวววิวาห์เดินมาหยุดยืนมองผู้ชายในฝันด้วยนัยน์ตาหยาดเยิ้ม ราวกับว่าหลงใหลผู้ชายตรงหน้าเสียเต็มประดา
“แกควรสงวนท่าทีมากกว่านี้วา” ศิศิราทนดูไม่ได้จึงขยับเข้าไปกระซิบใกล้ๆ จังหวะนั้นเองจู่ๆ ถุงแซลม่อนกับสปาเก็ตตี้ก็ถูกฉกชิงไปต่อหน้าต่อตา
“นี่ให้คุณ” ภากรยื่นถุงที่เพิ่งดึงมาจากศิศิราไปให้แวววิวาห์หน้าตาเฉย ทำเอาคนรับแทบละลายกลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟ ต่างกับเจ้าของตัวจริงที่กำลังจะอ้าปากประท้วง แต่ก็ถูกดึงแขนให้รีบเดินออกไปจากตรงนั้น
“นั่นมันของฉันนะคะ บอสไม่มีสิทธิ์เอาของของฉันไปให้คนอื่นแบบนั้น” เธอหันไปมองถุงในมือเพื่อนรักที่ยืนอยู่ไกลๆ ด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะหันมาเกรี้ยวกราดใส่คนที่จับจูงเธอออกมา
“แต่นั่นไม่ใช่คนอื่น นั่นเพื่อนคุณ” เขาหันมาตอบหน้าตาเฉย