EP.3 ลงโทษ

1462 คำ
ฉันกับธัญญ่าและเพื่อนของมันที่เรียนอยู่คณะเดียวกันอีกคนมาถึงร้านตอนสองทุ่ม เป็นช่วงเวลาที่คนกำลังทยอยเข้าร้านเลยไม่ค่อยแน่นเท่าไหร่นัก เราจึงเลือกที่นั่งแบบบาร์ติดกับโซนระเบียงชั้นหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเวทีนักร้องพอสมควร ตรงนี้จะมองเห็นระเบียงอีกฝั่งของชั้นสอง ที่มีนักท่องราตรีนั่งอยู่ประปราย “เอาจริงๆ ฉันไม่คิดว่าผู้ชายคนที่แกชอบจะเลวขนาดนี้เลยนะ เห็นมาตั้งแต่ตอนเข้ามาเรียนมอปลาย ก็ไม่คิดจะเป็นแบบนี้” ธัญญ่าพินิจพิจารณาเรื่องของพี่คีตะที่กระทำกับฉัน สีหน้าของมันจริงจังเอามากๆ จนเพื่อนอีกคนยังตั้งใจฟัง “คือถ้าไม่คิดอะไรด้วยเขาก็น่าจะเห็นใจในความเป็นคนรู้จักไหม” คนรู้จักที่ว่านั้นก็คงจะหมายถึงการเป็นเพื่อนของพราวแฟนของพี่เธียตั้งแต่ตอนเรียนมัธยม ถึงจะเป็นอย่างนั้นฉันก็ไม่เคยได้เข้าใกล้พี่คีตะจนถึงขั้นเป็นคนรู้จักสักหน่อย ตอนนี้ภายในร้านมีนักร้องร้องเพลงคลอเบาๆ อยู่ตรงหน้าเวที ยังไม่คึกคักมานักเราถึงนั่งคุยกันแข่งกับเสียงเพลงได้ “เดี๋ยวนี้มีเยอะแยะไหม ผู้ชายแบบนี้” เพื่อนอีกคนออกความเห็น ก่อนจะชงเหล้ามาให้ฉันเต็มแก้วเพราะเพิ่งจะกระดกมันไปจนหมดเพื่อประชดชีวิตอันน่าสมเพชของตัวเอง ฉันกับธัญญ่าไม่ได้เล่าอะไรให้มันฟังหรอกแต่มันน่าจะดูออกเพราะวันก่อนนั้นมันเองก็มาเที่ยวด้วยกันแล้วมันก็เคยได้ยินเรื่องที่ฉันแอบชอบพี่คีตะด้วย คงปะติดปะต่อเรื่องแล้วเข้าใจได้เอง “ฉันมันดูง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะพวกแก ดูไม่มีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่าฉันไม่สวย ไม่เหมาะจะเป็นแฟนใคร” เอาจริงๆ ฉันไม่เคยมีความคิดแบบนี้มาก่อน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์บ้าๆ หลายวันมานี้ฉันคิดมากจนด้อยค่าตัวเองไปหมด “แกสวยมากนะเว่ย นิสัยก็ดี ฉันยังชอบแกเลยดรีม มันไม่เกี่ยวกันหรอก ผู้ชายมันเฮงซวยมากกว่า” เพื่อนต่างคณะพูดแล้วเอื้อมมือมาบีบไหล่ของฉันอย่างให้กำลังใจ ส่วนธัญญ่ากลับนั่งเงียบเหมือนใช้ความคิดอยู่ “แต่ฉันว่าเขาแปลกตั้งแต่ใช้ของแพงๆ แล้วนะดรีม แกไม่ตงิดใจบ้างเหรอ” ตอนนั้นที่มันบอกฉันไม่ค่อยเชื่อนักหรอกเพราะบ้านพี่คีตะไม่ได้รวยขนาดนั้น จนมารู้ว่านาฬิกาข้อมือเรือนนั้นราคาหลักแสนถึงเริ่มคิดว่าแปลกเหมือนกัน ฉันเงียบแล้วคิดถึงสิ่งที่มันเคยบอก แต่ก็ถูกตัดบทดัวยเสียงของมันอีกที “พอๆ ช่างเถอะ มาสนุกไม่ใช่เหรอ” ว่าแล้วมันก็ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นมา ก่อนจะชนแก้วของเพื่อนเบาๆ แล้วดื่มน้ำสีเหลืองเข้มลงไปเกือบครึ่ง พอเริ่มดึกคนก็เริ่มแน่นร้าน เสียงเพลงจากจังหวะช้าๆ ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้น พวกเราก็พากันขยับโยกย้ายตามประสา ถ้าเทียบกันฉันยังเมาไม่เท่าวันนั้นที่แทบจะไม่มีสติหลงเหลือ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากลับห้องยังไง ยัยธัญญ่ามันก็ไม่ห้ามกันเลยเพราะเห็นว่าเป็นพี่คีตะ อยากจะตีเพื่อนนักแต่ทั้งหมดนั้นก็คงเพราะความดื้อรั้นของตัวฉันเอง มันคงห้ามแล้วแต่ฉันเมามากเลยไม่ฟังเอง “แก! ใช่คนวันนั้นไหม!” วาวาตะโกนถามฉันท่ามกลางเสียงของนักท่องราตรีและเพลงในร้านที่ดังกระหึ่ม ก่อนจะพยักพเยิดหน้าให้มองไปทางระเบียงชั้นสอง ฝั่งที่มีห้องกระจกอยู่ด้านหลัง ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของลูกค้าแต่น่าจะเป็นที่ทำงานของเจ้าของร้านหรือหุ้นส่วน “เขามองแกอยู่ยัยดรีม!” คนที่ยัยวาวาพูดถึงกำลังถือแก้วอยู่ในมือ เขาเท้าแขนกับระเบียงแล้วมองมาทางฉัน ถึงแม้ตรงนั้นจะมืดสลัวแต่แสงไฟที่สาดส่องไปเป็นระยะนั่นทำให้ฉันเห็นสีหน้าและแววตาของเขาที่กำลังยิ้มกวน ๆ อยู่ตอนนี้ พี่คีตะ… “อย่าไปสนใจ” ธัญญ่าเอ่ยแล้วหมุนตัวฉันให้หันกลับมาอีกทางก่อนที่มันจะสะบัดหน้าพรืดใส่คนที่อยู่ชั้นสองเหมือนเกลียดชัง “พอเมาแล้วก็สนใจแก ผู้ชายแบบนี้ฉันเกลียดจริงๆ เห็นผู้หญิงเป็นของเล่น!” ฉันไม่รู้แล้วว่าเขาทำหน้ายังไงต่อ ทั้งที่ในใจอยากรู้แต่ไม่กล้าหันไปดูเพราะกลัวยัยพวกนี้มันจะด่าเอา หัวใจของฉันมันสั่นไหวแปลกๆ ที่เห็นเขายิ้มแบบนั้น แล้วยังสับสนกับสิ่งที่เขาเป็นด้วย กลางวันไม่แม้แต่จะแล กลางคืนกลับมองเห็นฉันแม้อยู่ในความมืด ทั้งที่เขาไม่เคยสนใจฉันมาก่อน ขนาดว่าไปให้เห็นหน้าทุกวันตอนที่พราวคบกับพี่เธียในโรงเรียน เขาก็ทำเหมือนฉันเป็นอากาศธาตุ เขาต้องการอะไรกันแน่ “ฉันจะไปห้องน้ำ ดรีมแกไปกับฉันไหม” ธัญญ่าเอ่ยถาม ฉันจึงพยักหน้าก่อนจะหันไปบอกวาวาแล้วเดินตามมันออกไป ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว จะบอกว่าพวกเรายังปกติก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ช่วงแรกจะดื่มกันเบาๆ แต่พอเริ่มได้ที่ก็พากันยกถี่ขึ้นเรื่อยๆ “ฉันขอเข้าก่อน ไม่ไหวแล้วยัยดรีม” ธัญญ่าบอกแล้วยัดมือถือมาใส่มือฉัน ก่อนจะวิ่งเข้าไปด้านในที่มีพวกผู้หญิงรอกันแน่นไปหมด ห้องน้ำเวลานี้คนเยอะยิ่งกว่ามารอเขาแจกข้าวกล่องฟรี ถึงจะมีหลายห้องก็ยังไม่พอใช้ หมับ! “อ๊ะ” อยู่ๆ มือใหญ่ใครบางคนก็คว้าข้อมือของฉันแล้วดึงเขาไปในมุมตึกที่มีแค่ไฟสลัวๆ พอให้มองเห็นหน้า ฉันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจพลันหัวใจก็เต้นแรงไปด้วยเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือพี่คีตะ! “อื้อ!~” ไม่ทันที่ฉันจะได้อ้าปากพูดอะไรคนร่างสูงก็ประกบริมฝีปากและบดขยี้ริมฝีปากของฉันอย่างหนักหน่วง เขาพยายามแทรกลิ้นร้อนเข้ามาภายในโพรงปากของฉันแล้วดูดเอาลิ้นเล็กของฉันไปตวัดชกชิมความหวานด้วยความเอาแต่ใจ การกระทำของเขาเล่นเอาฉันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ไม่พูดอะไรสักคำ มาถึงก็รุกกันอย่างกับคนบ้าๆ “อืม…” เขาคำรามในลำคอ เมื่อฉันพยายามขัดขืน เหมือนจะบอกให้ฉันเชื่อฟัง “ปะ…อื้อ!~” ฉันใช้แรงที่มีดันตัวเขาออก แต่ท้วงออกมาได้แค่นิดเดียวเขาก็กระแทกริมฝีปากบางของฉันด้วยริมฝีปากหนาที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นบุหรี่และลูกอมรสมิ้นท์อีกครั้ง เล่นเอาฉันรู้สึกเจ็บจนต้องนิ่วหน้า ก่อนจะเลื่อนฝ่ามือใหญ่ลงมาบีบหน้าอกอวบอิ่มภายใต้ชุดเดรสแบบสายเดี่ยวของฉัน การกระทำที่ป่าเถื่อนของเขาทำเอาฉันตื่นตระหนกจนหัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ แขนแข็งแรงของเขาโอบรอบตัวฉันจนขยับไปไหนไม่ได้ สมองอื้ออึงคิดอะไรไม่ออก “อื้อ!” ฉันท้วงในลำคอเมื่อเขาบดจูบหนักหน่วง ไม่เว้นช่องว่างให้หายใจ ทุบกำปั้นลงกับแผงอกเพื่อให้เขารู้ตัวว่าฉันจะขาดใจตายอยู่แล้วถ้าเขาไม่หยุด พี่คีตะค่อยๆ ผ่อนคลายความรุนแรงลง แต่กว่าจะเป็นแบบนั้นริมฝีปากฉันมันร้อนผ่าวไปหมดแล้วรู้สึกเหมือนมันบวมเจ่อเพราะการกระทำที่รุนแรงไ้ความอ่อนโยนของเขา “พะ…พอเถอะ แฮ่กๆ” ฉันดันตัวเขาออกอีกรอบ หายใจหอบเหนื่อยและร้องห้ามเมื่อเขาทำท่าจะจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง “เป็นบ้าอะไรถึงมาทำแบบนี้” “ลงโทษเธอไง” เขาสอดฝ่ามือเข้าในรังผมของฉันตรงท้ายทอยก่อนจะประคองใบหน้าให้แหงนมองเขา ท่าทางของเขาน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก แววตาดุดันคู่นั้นเหมือนกับฉันไม่เคยเห็นมันมาก่อน หรือเพราะเขาไม่เคยมองฉัน ถึงไม่เคยได้สัมผัสกับมัน “ลงโทษอะไร” ฉันจับข้อมือของเขาที่ประคองศีรษะฉันไว้ อีกมือดันแผงอกกว้างเพื่อไม่ให้เขาเข้าใกล้กว่านี้ “ลงโทษที่เธอหันหน้าหนีฉัน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม