ดาหวันทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นหญ้า แผ่นหลังพิงกับกำแพงเย็นเฉียบ หัวใจปวดร้าวทรมาน นี่ถ้าไม่จำเป็นต้องหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว หล่อนคงลาออกจากที่นี่ไปแล้ว
หยาดน้ำตาไหลรินออกมาอาบแก้มนวล หญิงสาวไม่ได้คิดจะเช็ดมันแม้แต่น้อย หล่อนยกมือขึ้นปิดหน้าและร่ำไห้หนักยิ่งขึ้น หนักมาก... จนกายสั่นเทาน่าสงสาร
ความปวดร้าว ความทุกข์ทรมานแผดเผาหัวใจจนมอดไหม้ไม่เหลือชิ้นดี
หล่อนเจ็บ...
หล่อนทรมาน...
หล่อนไม่อยากเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมงานแบบนี้เลย แต่กลับไม่มีทางเลือก
หญิงสาวยกเข่าขึ้นมาชันเอาไว้ และซบหน้าลงไป ร้องไห้คร่ำครวญเงียบๆ แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
หล่อนรีบเอามือป้ายน้ำตาลวกๆ และเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะเผยอปากค้างเติ่ง
ผู้ชายตัวสูงยืนค้ำตระหง่านอยู่ตรงหน้า ในมือใหญ่สีขาวสะอาดของเขามีผ้าเช็ดหน้าสีน้ำเงินขลิบขอบด้วยสีขาวยื่นมาให้
“ให้ยืม”
รอยยิ้มของผู้ชายผู้เป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรเบื้องหน้า ทำให้ลมหายใจของหล่อนชะงักกึก รู้สึกร้อนผะผ่าวแปลกประหลาด
“ไม่... ไม่เป็นไรค่ะ”
เมื่อตั้งสติได้ หล่อนก็ขยับตัวลุกขึ้น และแน่นอนว่าต้องเดินหนี แต่เขาก้าวมาขวางหน้าเอาไว้ พร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนที่หล่อนปฏิเสธมาให้อีกครั้ง
“ผมไม่คิดเงินหรอก ให้ยืมซับน้ำตา”
“ขอบคุณค่ะ แต่ฉัน... เช็ดมันแห้งแล้วค่ะ”
“ยังไม่แห้งเลยครับ”
หล่อนยืนนิ่งราวกับถูกสาปให้เป็นก้อนหิน ยามที่มือใหญ่จับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาบนแก้มนวลให้
“แห้งแล้ว”
ผู้ชายแปลกหน้าระบายยิ้มให้กับหล่อน ก่อนจะยัดผ้าเช็ดหน้านั้นใส่มือของหล่อน
“ซักแล้ว ค่อยเอามาคืนนะครับ”
“เอ่อ... เรา... ไม่รู้จักกัน คุณมาทำแบบนี้ทำไมคะ”
รอยยิ้มของบุรุษนิรนามช่างน่ามองนัก หัวใจของหล่อนเต้นแรงจนต้องยกมือขึ้นกดเอาไว้เลยทีเดียว
“ผมเห็นคุณมานั่งร้องไห้ตรงนี้มาหลายปีแล้วครับ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาทักทายสักที”
“นี่คุณ... ทำงานที่นี่เหรอคะ”
ดาหวันเริ่มใช้สายตาสำรวจผู้ชายตรงหน้าอย่างจริงจัง หลังจากที่มองผ่านๆ มาสักพัก
เขาอยู่ในชุดสูทสีเข้มพอดีตัว ผมเผ้าก็ตัดแต่งไร้ที่ติ ผิวพรรณก็ขาวสะอาด ปากแดงราวกับเพิ่งไปดื่มเลือดสดๆ มา แต่หล่อนมั่นใจว่าเขาไม่ได้ทาลิปสติกอย่างแน่นอน
ท่าทางของคู่สนทนาที่หยิบยื่นไมตรีจิตให้นั้นช่างดูสง่างามและทรงเสน่ห์นัก จนหล่อนไม่คิดว่าเขาจะเป็นแค่พนักงานธรรมดาเช่นตนเอง
“คุณ... เป็นลูกค้าของที่นี่หรือคะ”
“ผมเหรอ”
“ใช่... ใช่ค่ะ”
ความสงสัยในตัวตนของเขา ทำให้หล่อนลืมความทุกข์ใจจากการถูกบูลลี่ของเพื่อนร่วมงานไปได้ชั่วขณะ
หล่อนเห็นเขานิ่งไปเล็กน้อย แต่รอยยิ้มไม่ได้จางหายไปจากใบหน้าหล่อจัดแม้แต่วินาทีเดียว
“ผมก็เป็นพนักงานเหมือนกับคุณนั่นแหละครับ”
“พนักงาน...? เหมือนฉันเหรอคะ”
“ใช่ครับ”
เขาหัวเราะเบาๆ
“ท่าทางของผมเหมือนลูกค้ากระเป๋าหนักตรงไหนเนี่ย”
ดาหวันรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย เพราะรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของผู้ชายตรงหน้า
“ท่าทางของคุณเหมือนทั้งลูกค้ากระเป๋าหนักและผู้บริหารเลยค่ะ”
ศีรษะทุยสวยของเขาส่ายไปมา
“ผมเป็นเชฟในห้องอาหารของโรงแรมนี่แหละครับ”
“เชฟ?”
“ใช่ครับ”
หล่อนเห็นเขาตอบรับด้วยรอยยิ้มขบขัน
“ท่าทางผมไม่เหมือนเชฟหรือครับ”
ดาหวันลืมตัวหัวเราะออกมา
“เดี๋ยวนี้เชฟเขาใส่สูทผูกไทปรุงอาหารกันแล้วเหรอคะ ฉันตกข่าวอีกแล้ว”
“อ๋อ... ไม่ใช่หรอกครับ แต่ผมน่ะเป็นคนชอบใส่สูทออกจากบ้าน นี่ยังไม่ได้เข้าไปทำงาน ก็เลยยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดเชฟน่ะครับ”
ยิ่งคุยกับผู้ชายคนนี้ หล่อนก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“แบบนี้ แสดงว่าคนที่บ้านของคุณจะต้องไม่รู้ว่าคุณเป็นเชฟใช่ไหมคะ”
เขายิ้มได้อย่างน่ามองอีกแล้ว
“ก็น่าจะประมาณนั่นแหละครับ”
ดาหวันเชื่อคำพูดของผู้ชายตรงหน้าอย่างสนิทใจเลยทีเดียว
“ครอบครัวของคุณคงอยากให้คุณทำงานออฟฟิศใช่ไหมคะ”
หล่อนเห็นเขาไหวไหล่ที่กว้างมากๆ ของตนเองเล็กน้อย
“ก็คงงั้นมั้งครับ”
“คุณคงอึดอัดแย่เลยที่ต้องโกหกคนในครอบครัว”
“ก็ไม่ได้อึดอัดอะไรมากหรอกครับ ผมก็แค่พูดความจริงไม่หมดเท่านั้นเอง”
“แต่นั่นมันก็เหมือนการโกหกอยู่ดีนั่นแหละค่ะ”
หล่อนเห็นเขาอมยิ้ม และมองหล่อนด้วยสายตาเป็นมิตร ซึ่งในโรงแรมนี้ ไม่มีเพื่อนร่วมงานคนไหนหยิบยื่นมันให้กับหล่อนมาก่อนเลย
“โกหกเพื่อรักษาความรู้สึกของคนที่เราแคร์เอาไว้ มันไม่น่าจะผิดนักหรอกค่ะ” เขาอมยิ้ม และพูดต่อ “ว่าแต่คุณเถอะ มีความสุขบ้างไหมที่ทำงานที่นี่น่ะ”
เมื่อถูกวกถามเข้ามาในเรื่องอ่อนไหวของตนเอง ดาหวันก็ถึงกับหน้าเจือน แต่ก็ยังฝืนยิ้มบางๆ
“ฉันไม่มีความสุขหรอกค่ะ แต่ฉันต้องการเงิน ครอบครัวของฉันยังต้องใช้เงินอีกเยอะ ฉันก็เลยต้องอดทนต่อไป”
“ชื่อเสียงของคุณไม่ดีนัก ในโรงแรมนี้”
“คุณ... รู้ด้วยเหรอคะ”
เขาพยักหน้ารับเล็กน้อย
“ก็พอได้ยินมาบ้างครับ”
หล่อนยิ้มเศร้าหมอง
“แล้วคุณไม่รังเกียจฉันเหรอคะ”
“ทำไมผมต้องรังเกียจคุณล่ะครับ คุณเป็นคนไม่ดีหรือ”