แม้ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนจะพร่ำบอกอย่างอ่อนโยนหรือชดเชยความผิดด้วยร่างกายของตนแล้วก็ตามที ใบหน้าของสตรีก็มิคลายอารมณ์บึ้งตึง
สุดท้ายฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนจึงยกเอาเรื่องขี่ม้ามาหลอกล่อ เพราะรู้ว่ากู่ถิงเซียงอยากออกไปเที่ยวนอกวังใจจะขาด วันนี้จึงรับสั่งให้ยกเลิกงานทุกอย่างที่มี และจูงมือพาหญิงสาวมาที่ประตูทางด้านหลังของวัง
กู่ถิงเซียงมองเห็นอาชาสีขาวเด่นเป็นสง่ามาแต่ไกล รูปร่างสูงสมส่วนดูสวยงามกว่าม้าที่พบเห็นโดยทั่วไป ถ้าในยุคของนางอาจเรียกเจ้าตัวนี้ว่าเป็น ยูนิคอร์นหรือพีกาซัสเลยก็ว่าได้
“เจ้านี่ชื่อ ไป๋ฮาว เข้ากับคนง่าย เชื่อฟังไม่ก้าวร้าว ข้าคิดว่าคงเหมาะกับเจ้า” ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนอธิบายด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยทว่าแฝงความละมุนไว้
กู่ถิงเซียงเดินเข้าไปใกล้เจ้าม้าตัวสูง ยื่นมือไปลูบหัวและสันคอของมันคล้ายจะทำความรู้จัก หญิงสาวพยายามอย่างมากที่จะไม่แสดงอาการตื่นเต้นออกมา เว้นแววตาที่ทอประกายระยิบระยับจนไม่จากจะเก็บซ่อน
มุมปากฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนโค้งขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“เอ่อ...หม่อมฉัน ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนชำเลืองมองคนแปลกหน้าด้วยหางตา เห็นเป็นสตรีร่างเล็กใบหน้าอ่อนหวานก็พลันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“นางชื่อหวงเจียวจู เป็นสหายคนสนิทของหม่อมฉัน”
กู่ถิงเซียงรีบวิ่งเข้ามายืนข้างเพื่อนของตนพร้อมแนะนำนางต่อฮ่องเต้หนุ่ม “หม่อมฉันให้เหมยซานไปตามเจียวจู เพราะอยากให้นางได้ออกไปเที่ยวนอกวังด้วยกันเพคะ”
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนนิ่งเงียบ ย่นหัวคิ้วลงเล็กน้อย “สหายเจ้า นางเป็น...”
“เป็นหนึ่งในสตรีที่เข้าวังมารับใช้ฝ่าบาทพร้อมหม่อมฉันเพคะ ชื่อหวงเจียวจู”
กู่ถิงเซียงจงใจย้ำชื่อของ หวงเจียวจู เป็นครั้งที่สอง โดยหวังให้ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนจำได้ ทว่าปฏิกิริยาท่าทางของเขากลับทำนางและสหายเสียวสันหลังวาบ
นัยน์ตาสีเข้มดูอึมครึมอย่างชัดเจน รังสีเยือกเย็นแผ่ออกมาจนคนรอบด้านสัมผัสได้
“เกาหยาง! จงไปนำม้าอีกตัวออกมา” เสียงทุ้มสั่งการเสียงดัง แววตายังเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
หวงเจียวจูรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้น่ากระอักกระอ่วนนักจึงกระซิบบอกกู่ถิงเซียง “ถิงเซียง ข้าไม่ไปแล้วได้หรือไม่”
“ไม่ได้ โอกาสดีๆ เช่นนี้หาไม่ได้ง่ายๆ เชียวนะ”
กู่ถิงเซียงตบบ่าของหวงเจียวจูพร้อมกล่าวโน้มน้าวต่อ “ไหนเจ้าว่าอยากทำความรู้จักฝ่าบาทอย่างไรเล่า”
“ก็ใช่ แต่ว่า...ฝ่าบาทดูเหมือนจะไม่ชอบข้า”
“หือ เจ้าคิดมากไปแล้ว เจ้าน่ารักถึงเพียงนี้ เหตุใดฝ่าบาทจะไม่...”
กู่ถิงเซียงแอบชำเลืองมองบุรุษร่างสูง หัวใจกระตุกวูบทันทีที่สบตา นางคลี่ยิ้มกว้าง หวังให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย กระทั่งองครักษ์นาม มู่เกาหยาง เดินกลับมาพร้อมเจ้าสัตว์สี่ขาสีน้ำตาลเข้มท่าทางซุกซน
“เจ้าไปกับเขา ส่วนเจ้าไปกับข้า”
หลังจากชี้สั่งการ ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนก็ก้าวเข้ามาดึงแขนกู่ถิงเซียงและอุ้มนางขึ้นหลังไป๋ฮาว ส่วนตนกระโดดขึ้นตามหลัง แล้วเริ่มควบม้าออกไป ไม่แม้จะหันกลับมามองหวงเจียวจูแม้แต่น้อย
เฮ้! จอมเสเพล ท่านกล้าทิ้งสาวงามไว้กับบุรุษอื่นได้อย่างไร ไหนในซีรีส์ท่านออกจะเป็นคนเจ้าชู้กะล่อนปริ้นปร้อนมิใช่หรือไง
กู่ถิงเซียงเงยหน้ามองฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยน กำลังจะอ้าปากถามว่าทำไมทิ้งเพื่อนนางไว้อย่างนั้น แต่เมื่อเห็นใบหน้านิ่งขรึมดูอารมณ์เสีย นางจึงเลือกจะสงบปากไว้ก่อน และหันไปมองทางด้านหลังว่าทั้งสองขี่ม้าตามมาหรือไม่
“หันหลังหันซ้ายอยู่ได้ ถ้าไม่อยากไปก็บอกมา ข้าจะได้พากลับ”
กู่ถิงเซียงนิ่งงัน เหลือบตาขึ้นมองก็เห็นสายตาดุดันมองกลับมา หญิงสาวยิ้มแห้งพลางกล่าวประจบโดยทันที
“ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้ว หม่อมฉันแค่เป็นห่วงเจียวจู นางตัวเล็กแสนบอบบาง ไม่รู้ว่าองครักษ์ของพระองค์จะดูแลนางดีหรือไม่”
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ควรพานางมาตั้งแต่แรก”
“อยู่ในวังแสนน่าเบื่อ หม่อมฉันอยากพานางมาเปิดหูเปิดตา”
“เจ้าควรบอกข้าก่อนตัดสินใจทำอะไรโดยพลการ”
“แค่ออกมาขี่ม้า ทำไมฝ่าบาทต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ด้วย”
“หากออกมาพร้อมข้าทาสคอยดูแลก็คงไม่เป็นไร แต่นี่มีแค่ข้ากับองครักษ์หนึ่งคน หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าแล้วจะทำเช่นไร คิดว่าบุรุษสองคนแข็งแกร่งพอจะปกป้องสตรีสองนางงั้นหรือ”
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนตำหนิเสียงดุ ทำหญิงสาวนิ่งไปชั่วครู่ เม้มฝีปาก ไม่กล้าโต้เถียงคำใดอีก
“แล้วหากข้าเลือกปกป้องเจ้าแค่คนเดียว สหายของเจ้าจะรู้สึกเช่นไร ไม่คิดบ้างหรือว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่คือการทำร้ายนาง รวมทั้งทำร้ายข้าด้วย” เสียงโกรธขึ้งแฝงความน้อยเนื้อต่ำใจ
กู่ถิงเซียงเอนกายพิงอกของบุรุษ ก้มหน้าลงและเอ่ยเสียงเบา “หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันคิดไม่รอบคอบเอง”
จริงสินะ อย่างเมื่อครู่หวงเจียวจูยังรู้สึกถึงพลังด้านลบของฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนจนเอ่ยบอกขอไม่ตามมาด้วยอยู่เลย ไม่รู้ว่าตอนนี้หวงเจียวจูจะรู้สึกเช่นไร จะรู้สึกแย่ที่โดนหมางเมินหรือไม่
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนบังคับม้าให้หยุดตรงทางแยก พลางชี้บอกว่าเส้นทางทั้งสองจะนำพาไปยังสถานที่ที่แตกต่างกัน ทางซ้ายจะมุ่งสู่ป่ารกชันซึ่งทะลุผ่านไปยังเมืองอื่นที่อยู่ถัดออกไป ส่วนทางขวาจะพาวกกลับเข้าเมืองหลวง ผ่านตลาดและร้านค้ามากมาย
กู่ถิงเซียงรู้ได้ทันทีว่าฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนคงอยากให้นางเลือกว่าอยากจะไปที่ไหนเป็นแน่
เฮอ...อุตส่าห์ออกจากวังทั้งที ขอไปชมความงามของธรรมชาติให้เบิกบานใจก่อนดีกว่า
“ซ้ายเพคะ”
ทั้งสองเดินทางกันมาเรื่อยๆ คงต้องยกความดีให้ไป๋ฮาวที่มีฝีเท้ามั่นคง ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป กู่ถิงเซียงเหลียวมองรอบๆ ด้วยดวงตาเป็นประกายราวเด็กน้อย ทว่าก็ไม่ลืมหันไปมองทางด้านหลังเป็นครั้งคราว
เมื่อเห็นว่าหวงเจียวจูยังคงตามมาหากแต่ทิ้งระยะห่างพอสมควรก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก สีหน้าของหวงเจียวจูดูไม่ได้เศร้าหรือหงุดหงิดอย่างที่กู่ถิงเซียงเป็นกังวล
“เอ๊ะ”
จู่ๆ ไป๋ฮาวก็หยุดเดินกะทันหัน ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนพ่นลมหายใจก่อนจะกระโดดลงไปที่พื้น และยื่นมือมาอุ้มกู่ถิงเซียงให้ลงไปด้วยกัน
ดวงหน้าหวานเอียงคอด้วยความงุนงง
“ข้อเสียของเจ้านี่ก็คือเอาแต่ใจตัวเอง คิดอยากจะหยุดเดินก็หยุดซะดื้อๆ”
กู่ถิงเซียงร้อง ออ ก่อนยกมือขึ้นลูบบริเวณใบหน้ายื่นยาวของไป๋ฮาว “เจ้าคงเหนื่อยสินะ เดินมาตั้งไกล ไหนจะต้องแบกคนตัวใหญ่ถึงสองคนอีก”
ไป๋ฮาวแสนรู้รีบส่งเสียงฮี้ๆ ขานรับ
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนขมวดคิ้วทันทีที่เห็นเจ้าม้าตัวแสบทำท่าออเซอะกู่ถิงเซียงอย่างออกนอกหน้า
“แม้รูปลักษณ์จะสวยงามแต่เมื่อเทียบกับนิสัยแล้วช่างไร้ประโยชน์นัก คงจะดีกว่าหากขึ้นไปอยู่บนสำรับอาหารของข้า”
เสียงเรียบกล่าวอย่างเย็นชา ทำทั้งกู่ถิงเซียงและไป๋ฮาวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “ฝ่าบาท ล้อเล่นใช่ไหมเพคะ”
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนเหยียดยิ้มชวนขนลุก ก่อนสะบัดหน้าและเดินตรงไปยังลำธารเบื้องหน้า กู่ถิงเซียงที่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามไปในทันที
“ฝ่าบาทตรัสเล่นใช่ไหมเพคะ ฝ่าบาทไม่ได้คิดจะ...ทำเช่นนั้นกับไป๋ฮาวจริงๆ ใช่ไหมเพคะ” กู่ถิงเซียงวิ่งเข้ามาดักหน้า พร้อมถามเซ้าซี้ไม่หยุด
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนเห็นท่าทางร้อนรนของนางก็นึกสนุกอยากแกล้งต่ออีกสักหน่อย จึงแสร้งเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแทน
“หากฝ่าบาททำอะไรไป๋ฮาว หม่อมฉันจะไม่คุยกับพระองค์ไปตลอดชีวิต!” หญิงสาวว่าพลางทำหน้างอ แก้มป่อง
มือใหญ่ข้างหนึ่งจึงยกขึ้นหยิกแก้มเนียนจนยืดยาวด้วยความมันเขี้ยว
“โอ๊ย! ฝ่าบาทปล่อย”
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างชอบใจ คราวนี้ยกมือข้างที่เหลือหยิกไปที่แก้มอีกข้างของกู่ถิงเซียง บังคับใบหน้าที่บูดเบี้ยวหันซ้ายทีขวาทีราวกับเป็นเรื่องสนุกสนาน
ครั้นเล่นจนหนำใจแล้วจึงปล่อยหญิงสาวเป็นอิสระ กู่ถิงเซียงถลึงตาใส่ ยกมือขึ้นลูบแก้มทั้งสองของตนพลางบ่นเสียงอู้อี้ไปด้วย
จังหวะนั้นหางตาของหญิงสาวพลันหันไปเห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งพักอยู่ไม่ไกล ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนมองตามสายตาของนาง ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“นั่นคือกลุ่มคนเดินทาง บ้างย้ายมาจากเมืองอื่นเพื่อมาหาที่ทำกินในเมืองหลวง แต่ก็มีพวกที่ออกจากเมืองหลวงไปหาที่ทำกินในเมืองอื่นเช่นกัน แต่ดูจากลักษณะของคนกลุ่มนั้นแล้ว เสื้อผ้าเก่าขาดดูยากจนข้นแค้น คงจะเข้าเมืองหลวงเสียมากกว่า”
กู่ถิงเซียงพยักหน้าเข้าใจ นางมองสำรวจกลุ่มคนที่นั่งพักอย่างอ่อนล้า เห็นหนึ่งในนั้นมีทั้งเด็กและคนแก่ก็นึกสงสารจึงเอ่ยกับฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยน ขอแบ่งน้ำและอาหารที่เตรียมมาให้กับกลุ่มคนนั้นได้หรือไม่
“พวกเรารอกินส่วนของเจียวจูกับองครักษ์มู่ก็ได้ หรือหากฝ่าบาทกลัวว่าจะไม่อิ่ม หม่อมฉันยกส่วนของหม่อมฉันให้พระองค์เพิ่มด้วยเพคะ”
ฮ่องเต้ซีหยางเจี่ยนยืนนิ่ง จ้องสตรีที่เขย่าแขนของตนด้วยความแปลกใจ ไหนหลายคนบอกว่านางนั้นร้ายกาจ ไม่เคยคิดถึงผู้ใด แต่กับคนเร่ร่อนพวกนี้ กลับอยากแบ่งอาหารให้ ถึงขึ้นยอมทนหิวเพื่อคนที่ไม่รู้จักพวกนั้นเนี่ยนะ
กู่ถิงเซียงเงยหน้าสบตากับนัยน์ตาดำขลับนั้น เม้มปากเล็กน้อยพลางกะพริบตาถี่ ครั้นเห็นบุรุษผงกศีรษะช้าๆ นางก็กระโดดดีใจและวิ่งตรงไปปลดถุงหนังใบหน้าที่ผูกติดอยู่กับตัวไป๋ฮาว
หญิงสาวเดินตรงไปยังกลุ่มคนนั้น มีชายห้า หญิงสาม เด็กหนึ่ง และคนแก่อีกสอง กู่ถิงเซียงถอดถอนหายใจเพราะเกรงว่าอาหารที่ตนมีคงไม่เพียงพอจะแจกจ่ายพวกเขา
กู่ถิงเซียงเลือกเดินไปหาชายชราสองคน จากนั้นยื่นถุงหนังในมือให้ “ข้ามีเพียงเท่านี้ แบ่งกันกินนะ”
คนที่นั่งอยู่รอบๆ เริ่มหันมามอง กู่ถิงเซียงจึงลุกขึ้นและตะโกนบอกว่าตนมีอาหารอยู่นิดหน่อยแต่จะแบ่งให้ ขอคนแก่ เด็กและผู้หญิงมารับกันไปก่อน
โชคดีที่ผู้คนเชื่อฟังและไม่กรูกันเข้ามาแย่งอาหารเหมือนซอมบี้แตกรัง เพียงขยับตัวเข้ามาเพื่อรอรับส่วนแบ่งของตนเงียบๆ
กู่ถิงเซียงเฝ้าสังเกตคนเหล่านั้นอย่างระวัง ทว่าไม่ทันจะหมุนตัวกลับ ใบหน้าของหนึ่งในชายฉกรรจ์กลับทำใจหญิงสาวพลันเต้นแรงขึ้น
ใบหน้าคมเข้มดุดันคล้ายลูกครึ่งของชนเผ่าทางเหนือ แม้ไว้หนวดเครารุงรัง ทว่าไม่อาจซ่อนไว้ซึ่งความหล่อเหลาที่มี
ไม่ผิดแน่ ชายผู้นี้คือ หม่าลู่เสียน!?