“น้ำพลอยนะเหรอจะทำเอง คงเอาแต่ชี้นิ้วสั่งคนอื่นทำเสียมากกว่า”
“เพชร! อย่าถือว่าเกิดก่อนห้านาทีแล้วนายจะมาทำตัวเป็นพี่ฉันนะยะ” น้ำพลอยเถียง
“ก็ช่วยไม่ได้ เธอยันฉันออกมาก่อนนี่” น้ำเพชรยักไหล่แล้วก้มลงม้วนพรมที่ปูพื้นเก็บเข้าที่
“เอาเถอะๆ แม่แป้งจะไปดูในครัวก็แล้วกันนะ”
“ค่ะ-ครับ แม่แป้ง”
ฝาแฝดแย่งกันพูด ปาณิศาหัวเราะแล้วเดินออกจากห้องไป น้ำพลอยถอนหายใจแล้วมองรูปพ่อของตนเอง
“ช่วงนี้แม่แป้งดูเหนื่อยๆนะ พ่อบอกให้เราดูแลแม่แป้งดีๆ ถ้าพ่อเห็นแบบนี้พ่อจะโกรธเราไหม”
“คงเหนื่อยเรื่องทำโรงงานมากกว่า” น้ำเพชรพูดขึ้นแล้วมองรูปพ่อ
“แล้วเพชรคิดยังไงเรื่องที่พ่อสั่งเสียไว้”
“เรื่องอะไร พ่อสั่งไว้เยอะเลย”
“ก็เรื่องที่บอกว่าถ้าแม่แป้งจะแต่งงานใหม่ก็ให้พวกเราอย่าไปขัดขวางไง”
“อ้อ...ก็คงอย่างนั้นแหละ” น้ำเพชรยักไหล่
แม่แท้ๆ ของพวกเขาตายจากไปตั้งแต่ทั้งคู่อายุแค่10ขวบ หลังจากนั้นพ่อก็รับแม่แป้งหรือปาณิศาเข้ามาอยู่ด้วยในฐานะภรรยาคนใหม่ แรกๆ ทั้งคู่ก็ต่อต้านตามประสาเด็ก แต่แม่แป้งของพวกเขาก็ใจเย็นและไม่คิดโกรธลงโทษเวลาที่ทำผิด มีแต่คอยสอน ดูแลพวกเขา หรือตอนที่ป่วยเป็นอีสุกอีใส แม่แป้งก็ดูแลพวกเขาอย่างดี คอยทายาที่เป็นแผลเป็นให้อีกต่างหาก แถมยังสอนอ่าน-เขียนได้ดีกว่าครูพิเศษเป็นไหนๆ ความดีของแม่แป้งทำให้ฝาแฝดยอมรับ ส่วนพ่อเองก็ยุ่งกับงานในไร่ ตอนนี้พวกเขาอายุ 20 แล้ว เข้าใจอะไรมากขึ้น พ่อรับปาณิศาเข้ามาก็เพราะต้องการให้ดูแลพวกเขาทั้งสองคน และก็เป็นความคิดที่ดีเพราะหลังจากพ่อรับปาณิศาเข้ามาเป็นภรรยาเพียงแค่ 7 ปีก็จากไปด้วยโรคหัวใจล้มเหลว
ตอนนั้นทั้งคู่เพิ่งอายุแค่17ปี พ่อทิ้งสวนผลไม้เกือบร้อยไร่ให้พวกเขาต้องดูแล ถ้าไม่มีปาณิศาในตอนนั้น ทั้งสองคงไม่ได้ใช้ชีวิตสุขสบายถึงตอนนี้
“พ่อบอกว่า...พ่อรู้สึกผิดกับแม่แป้ง แม่แป้งเคยมีคนรักด้วยนะ แต่ก็ยอมมาแต่งงานกับพ่อมาดูแลลิงซนๆอย่างพวกเรา” น้ำพลอยพูดเสียงเบาลง
“นั้นมันเรื่องของผู้ใหญ่” น้ำเพชรยักไหล่ “พลอยเองก็อย่าเอาแต่เล่นสนุกนัก ช่วยดูแลงานในไร่ของพ่อบ้าง ถ้าวันหนึ่งแม่แป้งแต่งงานใหม่ เราจะได้ดูแลไร่ของพ่อได้”
“พลอยก็เข้าใจอยู่หรอกนะ แม่แป้งทั้งสาวทั้งสวย พ่อก็ตายมาสามปีแล้ว เห็นมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มาจีบตั้งแยะแต่แม่แป้งไม่สนใจเลย”
“ก็บอกแล้วว่านั้นมันเรื่องของผู้ใหญ่” น้ำเพชรเขกหัวน้ำพลอย
“โอ๊ย! เขกหัวทำไมล่ะ”
“เลิกทำตัวเป็นเด็กได้แล้ว ต่อไปนี้เราต้องให้แม่แป้งมีความสุขของแม่แป้งบ้าง”
“รู้แล้วละน่า”
“รู้แล้วก็ช่วยกันเก็บข้าวของให้เรียบร้อยซิ”
“เรื่องแค่นี้เรียกคนรับใช้มาช่วยก็ได้” น้ำพลอยเบ้ปาก
“ก็เพราะเรื่องแค่นี่แหละ ถึงต้องทำเองไง” น้ำเพชรส่ายหน้า “มานี่เลยมาช่วยกันยกพรมไปเก็บ”
“บ่นยิ่งกว่าแม่แป้งอีก” น้ำพลอยบ่นแต่ก็ช่วยจัดเก็บข้าวของเข้าที่อย่างดี
ปาณิศาเดินเข้ามาในครัว ป้าใจแม่ครัวคนเก่งและยังครองตำแหน่งแม่บ้านกำลังจัดการแบ่งอาหารที่เหลือจากถวายเพลพระใส่ถุงร้อนเตรียมแบ่งให้คนงานเอากลับไปกินที่บ้านคนถุงสองถุง หญิงสาวเดินมานั่งที่เก้าอี้ในห้องครัวแล้วยื่นมือไปจะช่วยหยิบขนมใส่ถุง แต่ป้าใจดุเข้าเสียก่อน
“คุณแป้งไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ เหนื่อยงานทั้งวันแล้ว แค่นี้ป้าทำเองได้”
“เป็นอะไรกันไปหมดนะ เด็กๆก็ไล่ให้ไปพักผ่อน มาในครัวป้าใจก็ไม่ให้ช่วยอะไรอีก” ปาณิศาหัวเราะน้อยๆ
“เมื่อสองวันก่อนคุณเพิ่งเป็นลมไปไม่ใช่หรือคะ ใครต่อใครก็ต้องเป็นห่วงทั้งนั้นละคะ”
ปาณิศาถอนหายใจ “ก็นอนน้อยไปหน่อยค่ะ จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นอีก”
“เรื่องป่วยไข้ใครจะไปห้ามได้ละคะ” ป้าใจหัวเราะเสียงดังตามแบบฉบับของนาง
“เอาเป็นว่าทุกคนเป็นห่วงคุณแป้งนะคะ”
“แป้งก็รอแค่เด็กๆ เขาโตพอดูแลกิจการของพ่อเขาได้ ถึงตอนนั้นแป้งก็จะกลับไปอยู่บ้านเดิมของแป้งค่ะ”
ปาณิศาพูดอย่างจริงใจ เธอไม่ได้ต้องการทรัพย์สมบัติอะไรจากคุณบารมีเลย แต่ที่เธอต้องแต่งงานกับเพื่อนของพ่อก็ด้วยความจำเป็นทางการเงินจริงๆ ตลอดสิบปีมานี่เธอมักถูกนินทาว่าร้ายอยู่บ่อยครั้ง ยอมเป็นเมียเสี่ย มีสามีรุ่นพ่อ เพียงเพราะหวังเงินทองของตระกูลนี้ เธอได้แต่ก้มหน้ายอมรับและอดทนกับสิ่งเหล่านั้น
สิบปีที่แล้ว หลังจากเรียนจบไม่นาน พ่อก็ป่วยหนักต้องผ่าตัดทำบายพาส จำเป็นต้องใช้เงินหลายแสนบาท คุณบารมีทราบข่าวก็เข้ามาช่วยแต่ยื่นข้อเสนอที่เธอไม่อาจปฏิเสธได้ คือการที่เธอต้องยอมเป็นภรรยาของเขา
หญิงสาวพยายามวิ่งเต้นหาเงินมารักษาพ่อ เธอเพิ่งรู้ว่าแม่เอาบ้านจำนองกับธนาคารไปนานแล้ว แม่เป็นเพียงแม่บ้านไม่มีรายได้อะไร ก่อนที่พ่อจะป่วยหนักจนต้องลาออกจากงานนั้นก็มีเงินเก็บอยู่จำนวนหนึ่ง แต่เมื่อต้องจ่ายค่ายา ค่าเรียน และยังค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว เงินที่เคยมีก็หมดไป การผ่าตัดจำเป็นต้องทำโดยด่วน เธอไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนจึงจำใจยอมตกลงรับข้อเสนอ