“นี่พวกเจ้า ได้อ่านประกาศหรือยัง?”
“ประกาศอันใด ที่ไหนรึ?”
“ก็ประกาศด้านหน้าทางเข้าตลาดอย่างไรล่ะ เห็นบอกว่าเช้านี้ราวๆ ยามซื่อ (09.00-10.59น.) เซิ่นซิงเหยียน บุตรสาวเสนาบดีเซิ่นผู้ล่วงลับจะเปิดขายสินค้าที่ร้านค้าของนาง”
“หืม… เซิ่นซิงเหยียน ? ลู่ฮูหยินน่ะหรือ ได้ข่าวว่านางกำลังจะหย่าขาดกับลู่เหวินคังผู้เป็นสามีมิใช่รึ?”
“ใช่นางนั่นแหละ ดูสิ ว่าคุณหนูในห้องหออย่างนาง หากหย่าขาดจากสามีแล้วจะทำมาหากินอันใด?”
ระหว่างที่บุรุษวัยกลางคนสองคนสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ ก็มีสตรีวัยกลางคนอีกคนขอเข้ามาร่วมวงสนทนา
“นี่ เมื่อสักครู่ข้าเดินผ่านหน้าร้านค้าของคุณหนูเซิ่น เห็นมีผู้คนรุมล้อมอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ว่าร้านของนางมีอันใดดีรึ?”
“นี่พวกเจ้าตกข่าวรึ วันนี้จิวหลินเยว่แห่งหอเหมยฮวาพันราตรีจะมาช่วยขายของให้กับคุณหนูเซิ่น พวกข้าต้องรีบไปแล้ว ไปช้าเดี๋ยวนางกลับไปก่อน อดยลโฉมอี้จี้ผู้เลอโฉมกันพอดี” ผู้คนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินอย่างรีบเร่งมุ่งตรงไปยังใจกลางตลาดตะโกนบอกมาระหว่างเดินผ่านมาได้ยินบทสนทนาพอดี
ที่จวนสกุลลู่
“ว่าอย่างไรบ้าง ได้ความอันใดบ้าง?” จูลี่หลินที่เดินไปเดินมารีบถามเมื่อเห็นสาวรับใช้วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
เสี่ยวเชียงทรุดลงนั่งกับพื้น ก่อนจะพูดไปหอบไป
“ฮูหยิน เอ๊ย…เซิ่นซิงเหยียน มันให้อี้จี้จากหอเหมยฮวาพันราตรีมาช่วยขายสินค้าเจ้าค่ะ ตอนนี้ผู้คนต่างหลั่งไหลไปที่ร้านของมัน ท่าจะขายดีนะเจ้าคะ”
จูลี่หลินเมื่อได้ฟังก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง นางหวังจะให้ศัตรูหัวใจอย่างเซิ่นซิงเหยียนขาดทุนเจ๊งไม่เป็นท่า แล้วนี่อะไร นางเล่นลูกไม้สกปรก คิดเอานางคณิกาจากหอนางโลมมายั่วยวนพวกบุรุษมักมากในกามารมณ์สินะ
“แล้วนี่นางขายอันใด?”
“อะ…เอ่อ…” สาวรับใช้อ้ำๆ อึ้งๆ นางไม่อาจฝ่าฝูงชนที่เบียดเสียดกันเข้าไปสืบข่าวมาได้ว่า วันนี้เซิ่นซิงเหยียนนั้นขายอะไรกันแน่
“ไปสืบมา หากไม่ได้เรื่องไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้า” จูลี่หลินตวาดพร้อมๆ กับปาถ้วยชาลงพื้นจนแตก
เพล้ง!
เสี่ยวเชียงรีบวิ่งออกมาแทบไม่ทัน นางรู้ดีว่าเวลาที่ผู้เป็นนายมีอารมณ์โมโหมักจะปาข้าวของใส่นางจนบางครั้งได้รับบาดเจ็บต้องนอนซมมาก็หลายครั้ง
ที่ร้านค้ากลางตลาดเมืองเทียนหวง
“มาเลยเจ้าค่ะ ทางนี้เจ้าค่ะ วันนี้แม่นางจิวหลินเยว่ อี้จี้ ดาวเด่นแห่งหอเหมยฮวาพันราตรีจะมาทำการแสดงพิณให้พี่ป้าน้าอาได้ฟังกัน ท่านบุรุษทั้งหลาย หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่ยังไม่เคยชมการแสดงของเทพธิดาแห่งหอเหมยฮวาพันราตรีเรียนเชิญทางนี้เจ้าค่ะ” เซิ่นซิงเหยียนร้องประกาศเสียงดัง นางเลียนแบบพวกพ่อค้าแม่ค้าตามตลาดนัดนั่นแหละ
ได้ผล…ตอนนี้ผู้คนต่างพากันหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ เทพธิดาแห่งหอเหมยฮวาพันราตรีเริ่มบรรเลงเพลงพิณ นอกจากมีความงามที่เป็นเลิศแล้วเรื่องของศิลปะการดนตรี จิวหลินเยว่นั้นก็คล้ายดั่งได้รับพรมาจากเทพเซียน เสียงพิณของนางนั้นช่างมีมนต์ขลัง สามารถสะกดทุกผู้ทุกคนให้ยืนนิ่งราวกับถูกสาป รอยยิ้มอันยั่วยวนของนางสามารถกระชากวิญญาณของเหล่าบุรุษผู้ลุ่มหลงในรูปรสกลิ่นเสียงได้ไม่ยาก
จบการบรรเลงเพลงพิณ เซิ่นซิงเหยียนก็ส่งห่อใบตองให้ จิวหลินเยว่รับมาด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยงดงาม ตอนนี้สายตาทุกคู่กำลังจับจ้องไปที่ห่อใบตองในมือของนางนั้น
จิวหลินเยว่ค่อยๆ เปิดห่อใบตองนั้นออก เผยให้เห็นอาหารบางอย่างอยู่ในนั้น
“ข้าวเหนียวหมูฝอยเจ้าค่ะ ทุกๆ ท่าน” เซิ่นซิงเหยียนร้องประกาศเสียงดัง จากนั้นเสียงฮือฮาก็ดังขึ้น
“ข้าวเหนียวเช่นนั้นรึ?”
“เคยได้ยินแต่แป้งข้าวเหนียว”
“เอามาทำเป็นอาหารให้เรากินได้ด้วยรึ?”
“นี่คืออาหารจากสวรรค์ เป็นของแปลกใหม่ คนเมืองเทียนหวงย่อมไม่เคยกิน หรือแม้แต่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้าน้อยจิวหลินเยว่จะลองกินให้ทุกๆ ท่านดู” พูดจบเทพธิดาแห่งหอเหมยฮวาพันราตรีก็ใช้ตะเกียบแบ่งข้าวเหนียวออกเป็นก้อนๆ และคีบเข้าปากพร้อมกับหมูฝอยทอด
ผู้คนต่างรอลุ้นว่าอากัปกิริยาของอีจี้ผู้เลอโฉมจะเป็นอย่างไรเมื่อคีบอาหารจากสวรรค์เข้าปาก
จิวหลินเยว่หลับตาพริ้มขณะที่ท่าทางการเคี้ยวและกลืนนั้นช่างดูเอร็ดอร่อยซะเหลือเกิน ตอนนี้เหล่าบุรุษพากันกลืนน้ำลายตาม
“พี่ป้าน้าอา อาหารจากสวรรค์นี่มันอร่อยมากจริงๆ ข้าบรรยายไม่ถูก แต่ข้าขอซื้อสิบห่อไปฝากคนที่หอเหมยฮวาพันราตรีด้วยนะคุณหนูเซิ่นช่วยเป็นธุระให้ที” จิวหลินเยว่นั้นถึงกับติดอกติดใจข้าวเหนียวหมูฝอย รสชาติกลมกล่อมแปลกลิ้น นางอยากให้ท่านแม่และพี่น้องที่หอเหมยฮวาพันราตรีได้ลองชิมด้วย
“งั้น ข้าขอด้วย ข้าเอาหนึ่งห่อ”
“ข้าเอาสองห่อ”
“ข้าเอาห้าห่อ”
“ของข้าด้วย โอ๊ย!อย่าเบียดข้า”
“ข้าด้วย ข้าเอาสิบห่อไปเลย”
“ใจเย็นๆ เจ้าค่ะลุงป้าน้าอา อาหารจากสวรรค์ของเรานั้นวันนี้เตรียมมาหลายร้อยห่อ ราคาไม่แพง เพียงห่อละสามสิบอีแปะเท่านั้นเจ้าค่ะ กินห่อเดียวอิ่มนานเลยทีเดียว”
“ข้าเอาห้าสิบห่อ”
“เฮ้ย!เจ้าจะซื้อไปทำไมมากมาย ปะเดี๋ยวคนอื่นๆ ก็ไม่ได้กินกันพอดี”
“ข้าจะเอาไปแจกคนงานที่กำลังก่อสร้างสะพานน่ะสิ”
เพียงเวลาไม่ถึงสองเค่อ (1เค่อ = 15 นาที) อาหารจากสวรรค์ของคุณหนูเซิ่นก็ขายหมดเกลี้ยง
วันนี้เริ่มต้นได้ดีจริงๆ ข้าวเหนียวหมูฝอย 500 ห่อ ขายห่อละ 30อีแปะ ทั้งหมดรวมเป็นเงิน 15000 อีแปะ หรือ 15 ตำลึงนั่นเอง
“โอ้โห!คุณหนู เพียงชั่วเวลาแป๊บเดียวท่านทำเงินได้ถึงสิบห้าตำลึงเลยนะเจ้าคะ แล้วนี่เราได้กำไรเท่าไหร่เจ้าคะ” เหมยลี่นั้นมีท่าทางดีอกดีใจนักหนา งานนี้นางกับคุณหนูของนางรอดแล้ว
เซิ่นซิงเหยียนทำท่านับนิ้ว
“เราใช้ข้าวสารไปแค่ไม่ถึงครึ่งกระสอบ วันนี้หักลบแล้วกำไรน่าจะได้สักครึ่งหนึ่งกระมัง”
“ยอดเยี่ยมที่สุดเจ้าค่ะคุณหนู คราวนี้ล่ะลู่เหวินคังและอนุของเขาจะต้องเสียหน้า” เหมยลี่พูดพลางเบ้ปาก คนพวกนั้นสบประมาทคุณหนูของนางแต่แรกแล้วว่า ‘คงไปไม่รอด’ มิวายต้องกลับไปขายตัวเป็นสาวรับใช้ที่จวนสกุลลู่เป็นแน่
“เจ้าอย่าเรียกจูลี่หลินว่าอนุสิ นั่นน่ะฮูหยินของลู่เหวินคังเชียวนะ ข้าอุตส่าห์ยกตำแหน่งนี้ให้นางแล้ว” ก็ตำแหน่งนี้เซิ่นซิงเหยียนไม่คิดอยากได้อยู่แล้ว ตำแหน่งฮูหยินของบุรุษเฮงซวยแห่งเมืองเทียนหวง
“เอ๊ะ!คุณหนูเจ้าคะ ทางด้านหน้าร้านมีผู้คนมาทำอันใดมากมาย”
“ไหนเราลองไปดูซิ”
ตอนนี้ทางด้านหน้าร้านของเซิ่นซิงเหยียนนั้นมีผู้คนมาออกันอยู่มากมาย ต่างพูดคุยโขมงโฉงเฉง
“เอ่อ….ท่านลุง ท่านป้า ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดกันหรือเจ้าคะ”
“ก็ข้าได้ยินผู้คนไปร่ำลือว่า ที่ร้านค้านี้มีอาหารจากสวรรค์ขาย ข้าเลยอยากจะลองชิมเสียหน่อย”
“ใช่ๆ เห็นบอกว่า ข้าวนั้นเป็นข้าวเหนียว รสชาติแปลกลิ้นไม่เหมือนข้าวจ้าวที่พวกเรากินกัน”
“มีเหลือกี่ห่อ ข้าขอเหมาหมด” บุรุษผู้มาทีหลังตะโกนข้ามหัวคนอื่นๆ เข้ามา
เซิ่นซิงเหยียนอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะทำการโค้งคารวะด้วยอากัปกิริยาที่นอบน้อมงดงาม
“ต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะเจ้าคะ บัดนี้อาหารจากสวรรค์ที่มีชื่อว่า ข้าวเหนียวหมูฝอยนั้น ได้ขายหมดตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ เดี๋ยววันพรุ่งนี้เราจะทำมาขายอีกนะเจ้าคะ ขอให้ทุกท่านมาในวันพรุ่งนี้นะเจ้าคะ”
“ฮื่ย!นี่ข้ามาไม่ทันหรือนี่”
“น่าเสียดายจริงๆ ข้าอุตส่าห์เดินมาตั้งไกล”
เซิ่นซิงเหยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยออกมา
“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ ปกติแล้วข้าวเหนียวหมูฝอยของทางร้านเราขายที่ราคาห่อละสามสิบอีแปะ แต่สำหรับท่านที่มาไม่ทันในวันนี้ ข้าจะเขียนใบส่วนลดให้ หากพวกท่านนำกระดาษใบนี้มาซื้อในวันถัดไป จะได้ราคาที่ห่อละยี่สิบห้าอีแปะเจ้าค่ะ ถือว่าเป็นการขออภัยจากข้าที่วันนี้ทำอาหารจากสวรรค์ออกมาขายน้อยเกินไปเจ้าค่ะ” เซิ่นซิงเหยียนใช้ยุทธวิธีให้ส่วนลดเพื่อเอาใจลูกค้าและเพิ่มยอดขาย ซึ่งวิธีนี้ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนล้วนใช้ได้ผลดี
“ฮ้า!ดียิ่ง เข้าเอาใบส่วนลดด้วย”
“ข้าด้วย”
“ข้าขอด้วย”
หลังจากตัดกระดาษซวนจื่อออกเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กแล้วเซิ่นซิงเหยียนจึงใช้หมึกเขียนราคาส่วนลดว่า ยี่สิบห้าอีแปะ พร้อมกับลงลายเซ็นเหมือนเมื่อครั้งนางยังเป็นแอร์โฮสเตส แน่นอนว่า คงไม่มีผู้ใดปลอมลายเซ็นนางได้ จากนั้นได้แจกจ่ายกระดาษส่วนลดนั้นให้กับผู้ที่มาไม่ทันซื้อข้าวเหนียวหมูฝอยคนละแผ่น
“เฮ้อ!ทีนี้เราจะได้กลับบ้านเสียที วันนี้เหนื่อยกันมาเต็มที่แล้ว” พูดจบเซิ่นซิงเหยียนก็ทำท่าจะเก็บข้าวเก็บของเตรียมกลับบ้าน ซึ่งบ้านของพวกนางนั้นอยู่ไม่ไกลจากตลาดนัก ห่างออกไปเพียงแค่หนึ่งลี้เท่านั้น พวกนางสามารถเดินเท้ากลับบ้านได้
“ช้าก่อน คุณหนูเซิ่น”
บุรุษที่มานั้นมีท่วงท่ากิริยาไม่ต่างกับขันทีในวัง หากแต่เขามิใช่ขันที แต่เป็นคนของหอเหมยฮวาพันราตรี
“อะ เอ่อ ไม่ทราบว่าท่านผู้นี้คือ…?”
“ข้าชื่อ ชินหลาง เป็นคนสนิทของเจ้าของหอเหมยฮวาพันราตรี ตามที่เจ้าได้ตกลงกับจิวหลินเยว่เอาไว้ หากทางหอเหมยฮวาพันราตรีนั้นสนใจอาหารจากสวรรค์ของเจ้า ขอให้ทางเจ้าส่งให้กับทางเราแต่เพียงผู้เดียว ห้ามส่งให้กับหอคณิกาอื่นๆ หรือแม้กระทั่งหอสุรา โรงน้ำชา โรงเตี๊ยม”
เซิ่นซิงเหยียนถึงกับตบเข่าฉาด มันต้องอย่างนี้สิ ลูกค้ารายใหญ่ของนางมาแล้ว
“ได้เจ้าค่ะ เช่นนั้นสำหรับราคาขายส่ง ข้าจะขายให้ทางหอเหมยฮวาพันราตรี ในราคาห่อละยี่สิบแปดอีแปะ เพราะโดยปกติแล้วข้าขายข้าวเหนียวหมูฝอยในราคาห่อละสามสิบอีแปะเจ้าค่ะ”
ชินหลางถึงกับลอบอมยิ้ม ก่อนที่จะเอ่ยกับเซิ่นซิงเหยียนออกมาว่า
“เอาตามนี้ เช่นนั้น…ในช่วงเวลากลางวัน เจ้าก็ขายข้าวเหนียวหมูฝอยของเจ้าไป ส่วนในเวลาค่ำคืนทางหอเหมยฮวาพันราตรีของเราจะเป็นฝ่ายขายบ้าง”
“เอ่อ…แล้ว จะให้ข้าส่งของให้วันไหนเป็นวันแรกเจ้าคะ แล้วจะรับกี่ห่อดีเจ้าคะ”
“เอาคืนนี้เลย ทันหรือไม่ ทางเราว่าจะลองรับสักสองร้อยห่อก่อน”
‘สองร้อยห่อ ยี่สิบแปดอีแปะคูณสองร้อย เท่ากับ ห้าพันหกร้อยอีแปะ หรือเท่ากับห้าตำลึงกับหกร้อยอีแปะ แหม…งานนี้เงินเข้ารัวๆ ’ เซิ่นซิงเหยียนนึกคำนวณเงินในใจพลางลอบอมยิ้ม
“ได้เลยเจ้าค่ะ แล้วจะให้ทางเราส่งของให้เวลาใด?”
“เอาเป็นตอนปลายยามโหย่ว (17.00-18.59น.) ละกัน เมื่อถึงต้นยามซวี (19.00-20.59น.) ลูกค้าก็จะเริ่มทยอยกันมาแล้ว อ้อ เดี๋ยวตอนที่เจ้าเอาอาหารมาส่ง ท่านแม่จะให้เจ้าลงชื่อในสัญญาค้าขายระหว่างเราด้วยนะว่าทางเจ้าจะส่งข้าวเหนียวหมูฝอยให้หอเหมยฮวาพันราตรี แต่เพียงผู้เดียว”
“ตกลงตามนั้นเจ้าค่ะ ข้าจะรีบทำข้าวเหนียวหมูฝอยไปส่งให้กับทางหอเหมยฮวาพันราตรีให้ทันตามกำหนดเวลาเจ้าค่ะ”
เซิ่นซิงเหยียนรีบตอบกลับไปอย่างลิงโลด เพราะความดีใจทำให้นางลืมไปเสียสิ้นว่าตอนนี้คือต้นยามเซิน (15.00-16.59น.) แล้ว
ทางด้านหอเหมยฮวาพันราตรี หลังจากที่หลิงอ้ายฉี เจ้าของหอนางโลมชื่อดังได้สั่งให้คนมาสังเกตกาณ์ตอนที่เซิ่นซิงเหยียนเปิดตัวร้านค้าโดยใช้อีจี้ของนางเป็นตัวล่อเหล่าบุรุษน้อยใหญ่ให้เข้ามา นางยอมรับว่า วิธีนี้เหนือชั้น แต่อาหารจากสวรรค์ที่เรียกว่าข้าวเหนียวหมูฝอยนั้นกลับมีรสชาติที่อร่อยกลมกล่อมยิ่งนัก ยิ่งกินยิ่งติดใจ นางคนเดียวกินไปถึงสองห่อ นอกนั้นเด็กๆ ของนางก็พากันแบ่งกันกิน เหล่านางคณิกาน้อยต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทางหอเหมยฮวาพันราตรีน่าจะขายอาหารจากสวรรค์นี้ด้วย หลิงอ้ายฉีนั้นมีหัวการค้าอยู่แล้ว นางจึงผูกขาดการขายข้าวเหนียวหมูฝอยนี้แต่เพียงผู้เดียว และตอนหัวค่ำจะให้เสี่ยวเอ้อของนางไปร้องป่าวประกาศด้านหน้าตลาดและหน้าหอเหมยฮวาพันราตรีด้วยว่าวันนี้ทางเรามีอาหารจากสวรรค์มาขายด้วย นางคิดคำนวณเอาไว้แล้ว รับมาห่อละยี่สิบแปดอีแปะ เอามาขายห่อละร้อยอีแปะ ฟาดกำไรไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ตอนนี้นางเองก็ภาวนาขอให้ลูกค้าติดใจรสชาติข้าวเหนียวหมูฝอยเฉกเช่นนางด้วยเถิด