“ลู่เหวินคัง ระหว่างที่รอท่านจัดการเรื่องสินสมรสของเรา เอาเป็นว่าเราแยกกันอยู่ หากท่านพร้อมเมื่อใดก็จงส่งข่าวบอกข้าให้ไปหย่าได้ทุกเมื่อ โปรดจำเอาไว้ว่าข้าน่ะ…พร้อมหย่าตลอดเวลา” เซิ่นซิงเหยียนบอกในขณะที่นางกับสาวรับใช้ใจซื่ออย่างเหมยลี่กำลังช่วยกันขนของมากองรวมกันหน้าจวนเพื่อจะได้ให้รถม้าที่ว่าจ้างมาช่วยขน
“นะ นี่ นี่เจ้าจะไปไหน ข้าเป็นสามีเจ้า เหตุใดจึงไม่ยอมบอกข้า เจ้าเป็นฮูหยินมีสามีอยู่ จะไปอยู่ข้างนอกเช่นนี้ไม่กลัวเสื่อมเสียรึ?” ลู่เหวินคังรู้สึกไม่พอใจที่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินทำอะไรไม่เห็นหัวเขา อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังไม่ได้หย่า เท่ากับว่าเขายังเป็นสามีของนางอยู่ นี่นางหักหน้าเขาชัดๆ
“โธ่!ท่านพี่ นางจะไปไหนก็ช่างนางสิเจ้าคะ ท่านจะไปแยแสทำไมกัน ไหนท่านพูดอยู่ทุกวันว่าอยากหย่ากับนางใจจะขาดอย่างไรเล่า” จูลี่หลินชักสีหน้าไม่พอใจที่จู่ๆ สามีก็เกิดไปห่วงหาอาลัยอาวรณ์ศัตรูหัวใจเสียอย่างนั้น
“เรื่องที่ว่าเราเป็นสามีภรรยากันนั้นให้ลืมไปได้เลย เพราะอีกหน่อยข้าก็จะไม่เป็นแล้ว อ้อ แล้วเรื่องที่ท่านถามว่าข้าไม่กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียงหรอกหรือ ขอตอบตรงนี้เลยว่า…ไม่กลัวเจ้าค่ะ”
“นะ…นี่ นี่เจ้า” ลู่เหวินคังไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาต่อปากต่อคำกับนางได้ วันนี้เซิ่นซิงเหยียนทำให้เขาเดือดดาลหลายรอบแล้ว
“อ้อ…เพ่ยจู เจ้าจะหลบหน้าข้าไปใย ข้ารู้หรอกนะว่าเจ้าแอบอยู่แถวๆ นี้ อย่างไรเสียเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นบ่าวรับใช้ของสกุลเซิ่น สัญญาขายตัวของเจ้าอยู่กับข้า แต่สาวใช้ทรยศเช่นเจ้าข้าคงไม่เก็บเอาไว้ พอดีข้ามีเรื่องที่ต้องใช้เงินก็เลยว่าจะขายของเก่าเอามาลงทุนเสียหน่อย เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม อีกไม่ถึงหนึ่งเค่อหอคณิกาคงส่งคนมารับเจ้าแล้ว” เซิ่นซิงเหยียนยิ้มเยาะ ท่าทางของนางนั้นดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรซะเลย
“อย่า…อย่านะเจ้าคะฮูหยิน เห็นแก่ที่บ่าวรับใช้ฮูหยินมานานเถอะเจ้าค่ะ อย่าขายบ่าวให้กับหอนางโลมเลย บ่าวไม่อยากเป็นนางคณิกา” เพ่ยจูที่กำลังหลบอยู่หลังพุ่มไม้เมื่อได้ยินว่าเซิ่นซิงเหยียนนั้นขายตนต่อให้กับหอนางโลมก็ตกอกตกใจจนต้องรีบวิ่งออกมาคุกเข่าขอร้อง
“หึ!เมื่อวานเจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ แล้วจำได้หรือไม่ว่าเมื่อวานทำอันใดกับข้าเอาไว้ คงนึกแปลกใจละสิว่าทำไมข้าถึงยังไม่ตาย” เซิ่นซิงเหยียนจ้องหน้าเพ่ยจูเขม็งจนสาวใช้ทรยศต้องรีบหลบสายตา
‘นั่นสิ เมื่อวานข้าเห็นมันสิ้นใจนอนกองกับพื้นไปแล้วแท้ๆ นี่มันอันใดกัน ไหนหลงจู๊ร้านขายยาบอกว่า ยานี้กินแล้วจะตายทันทีอย่างไรเล่า ฮื่ย!แล้วคราวนี้ข้าจะทำอย่างไรดี มิต้องกลายเป็นหญิงคณิกาหรอกหรือ?’
“ข้าละ เห็นใจในโชคชะตาของเจ้านัก แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อนี่คือสิ่งที่เจ้าเลือกเอง บทสรุปชีวิตของสาวรับใช้ทรยศอย่างไรล่ะ อ้อ นั่นแหน่ะ นั่นคงเป็นคนของหอคณิกา พวกเขาเอารถม้ามารับเจ้าแล้ว หากเจ้าไม่อยากไปจริงๆ ก็ขอร้องลู่เหวินคังกับนายใหม่ของเจ้าอย่างจูลี่หลินให้ช่วยไถ่ตัวเจ้าสิ ข้าว่าสักสองร้อยตำลึงน่าจะซื้อตัวเจ้าได้นะ”
“สองร้อยตำลึง” จูลี่หลินพึมพำเบาๆ พลางถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ตอนนี้คนของหอนางโลมซึ่งเป็นบุรุษตัวใหญ่จำนวนสามคนได้มายืนรอที่หน้าประตูจวนแล้ว เพ่ยจูเห็นดังนั้นจึงรีบกอดเข่าวิงวอนจูลี่หลินพลางร่ำไห้
“นายหญิง นายหญิงเจ้าขา ช่วยข้าที ที่ชะตากรรมของข้าต้องเป็นเช่นนี้ก็เพราะร่วมมือวางยาฮูหยินกับท่านนะเจ้าคะ ท่านจะปล่อยให้ข้าไปตกนรกที่หอคณิกาไม่ได้นะ นายท่าน นายท่านลู่ช่วยข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ ที่ฮูหยินขายข้าน้อยให้กับหอนางโลมเพราะนายหญิงจูบีบบังคับให้ข้าน้อยวางยาฆ่าฮูหยินเจ้าค่ะ เพราะนางไม่ยอมหย่าให้ท่านเสียที”
“หา!ว่าอย่างไรนะ?” ลู่เหวินคังถึงกับปากอ้าตาค้าง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยรักเซิ่นซิงเหยียน ออกจะเกลียดนางด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เคยคิดฆ่าแกงนาง เขามิใช่บุรุษที่มีใจคอโหดเหี้ยมได้ถึงขนาดนั้น
“อ้อ…นี่อย่างไร ยอมสารภาพออกมาแล้วรึ พวกฆาตกร” เซิ่นซิงเหยียนคำรามออกมาเสียงดัง
“มะ…ไม่ ไม่จริงนะเจ้าคะท่านพี่ นังบ่าวรับใช้ชั้นต่ำผู้นี้มันใส่ความข้า มันมีความโกรธแค้นกับนายของมันมาก่อนหน้านี้แล้วคิดจะมาดึงข้าเข้าไปเกี่ยวข้อง ข้าไม่รู้เรื่องอันใดด้วยเลย ท่านพี่ ท่านต้องเชื่อข้านะเจ้าคะ” จูลี่หลินร้อนรน นางจะให้สามีรู้ว่านางเป็นสตรีที่มีจิตใจชั่วร้ายไม่ได้ ที่ผ่านมาลู่เหวินคังเข้าใจมาตลอดว่านางคือสตรีอ่อนแอที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ
“เรื่องนั้น…ช่างเถอะ อย่างไรเสียข้าก็ไม่ตาย ข้ามันดวงแข็ง ว่าแต่เจ้าเถอะ เพ่ยจู นายใหม่ของเจ้าจะยอมไถ่ตัวเจ้าจากหอนางโลมหรือไม่ ตอนนี้พวกเขามาถึงแล้ว ถ้าไม่มีผู้ใดยอมช่วยเหลือเจ้าข้าก็คงต้องปล่อยให้พวกเขานำตัวเจ้าไปเพราะข้ารับเงินเขามาแล้ว” เซิ่นซิงเหยียนบุ้ยใบ้บอกให้คนของหอนางโลมเข้ามาจับตัวเพ่ยจูออกไปได้
เพ่ยจูดิ้นหนีสุดแรงเกิด แต่เรี่ยวแรงสตรีมีหรือจะสู้บุรุษร่างยักษ์ตั้งสามคนได้ จูลี่หลินนั้นหันหน้ามองไปทางอื่น ส่วนลู่เหวินคังหันหลังเดินกลับเข้าเรือน มันไม่ใช่ธุระกงการอันใดของเขาเสียหน่อย ที่เพ่ยจูสาวรับใช้ทรยศโดนขายออกไปแบบนั้นก็สมควรแล้ว และอีกอย่าง…เขาเองก็คงจะไม่สามารถนำเงินตั้งสองร้อยตำลึงมาไถ่ตัวสาวรับใช้ชั้นต่ำผู้หนึ่งได้หรอก
หลังจากเพ่ยจูสาวรับใช้ทรยศถูกคนของหอคณิกาจับตัวขึ้นรถม้าไปแล้ว รถม้าที่เซิ่นซิงเหยียนได้ว่าจ้างให้มาขนของจำนวนสิบคันก็ได้มาถึง นางให้เหล่าบุรุษที่มากับรถม้านั้นขนของใช้ส่วนตัว รวมทั้งเครื่องเรือนต่างๆ ที่ทำจากไม้ฮวาหลีราคาแพง ไม่ว่าจะเป็นตู้ เตียงนอน โต๊ะ เก้าอี้ ล้วนขนไปจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่เพียงผนังเรือนเท่านั้นกระมัง ถึงแม้ว่าเรือนแห่งนี้บิดาของนางจะเป็นผู้ออกเงินสร้างให้ แต่อย่างไรเสียก็สร้างบนที่ดินอันน้อยนิดของสกุลลู่ ตัวเรือนก็เลยจำต้องตกเป็นของสกุลลู่ แต่เซิ่นซิงเหยียนหาได้ใส่ใจไม่ นางหาที่อยู่ใหม่ได้แล้ว แต่ไรมาเซิ่นซิงเหยียนก็มิใช่สตรีที่จะมานั่งรอโชคชะตา นางผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งสามสิบกว่าปี ชีวิตต้องต่อสู้ดิ้นรนมาหลายรูปแบบ กว่าจะได้ทำงานเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินซึ่งเป็นอาชีพในฝันนางได้เรียนรู้และสัมผัสกับความล้มเหลวและความสำเร็จมานับไม่ถ้วน แต่นั่น ทำให้นางกลายเป็นสตรีที่มีหัวใจที่แข็งแกร่ง ไม่คิดงอมืองอเท้าหวังให้บุรุษเลี้ยงดูเหมือนสตรีทั้งหลายในยุคสมัยนี้
“เฮ้อ!ถึงเสียที” เซิ่นซิงเหยียนกระโดดลงมาจากรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ผิดกับเซิ่นซิงเหยียนคนเดิมที่กิริยาท่วงท่านั้นดูเชื่องช้าและมีจริตจะก้าน
“ฮูหยิน นี่ที่ใดหรือเจ้าคะ?” เหมยลี่อดถามไม่ได้ นางติดตามผู้เป็นนายแทบจะตลอดเวลา แต่ไม่เคยมาสถานที่แห่งนี้เลย
“นี่เหมยลี่ เลิกเรียกข้าว่าฮูหยินได้แล้ว ข้าไม่อยากเป็นฮูหยินของผู้ชายเฮงซวยอย่างลู่เหวินคังอีกต่อไปแล้ว เรียกข้าตามเดิมเถอะ”
“อ้อ เอ่อ เจ้าค่ะ คุณหนู ที่นี่ที่ใดหรือเจ้าคะคุณหนู?” แม้เหมยลี่จะรู้สึกว่าผู้เป็นนายเปลี่ยนไป แต่นางกลับชอบเซิ่นซิงเหยียนคนใหม่นี้มากกว่า เซิ่นซิงเหยียนทั้งฉลาด ทันคน แข็งแกร่ง ไม่อ่อนแอและอ่อนต่อโลกอย่างที่เคยเป็นมา
‘หรือว่า…ยาพิษที่เพ่ยจูให้คุณหนูกินจะเปลี่ยนให้คุณหนูกลายเป็นแบบนี้นะ? ...ก็ดีเหมือนกัน’
เซิ่นซิงเหยียนชี้บอกให้บุรุษที่มากับรถม้าช่วยกันขนของเข้าไปในบ้านขนาดกลางหลังหนึ่ง พร้อมกับบอกให้พวกเขาระวังอย่าให้ของแตกหักเสียหาย
“บ้านหลังนี้คือทรัพย์สินที่ท่านพ่อมอบไว้ให้ข้า เป็นสินเดิมของท่านแม่น่ะ บ้านหลังที่อยู่ตรงกลางนั้นพวกเราจะอยู่กัน ส่วนห้องแถวที่อยู่รายรอบนั้นท่านพ่อได้ปล่อยให้คนเช่า ซึ่งคนที่มาเช่าส่วนมากก็จะเป็นพวกศิษย์ของสำนักศึกษาต่างๆ ”
“อ้อ พวกบุรุษหนุ่มที่มุ่งหวังอยากสอบเข้ารับราชการน่ะหรือเจ้าคะ”
เซิ่นซิงเหยียนพยักหน้ายิ้มๆ
“ใช่แล้วล่ะ อีกไม่นานก็จะมีการสอบจอหงวนแล้ว การที่เรามาอยู่ที่นี่มีข้อดีอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ บ้านของพวกเราล้วนแวดล้อมไปด้วยบุรุษหนุ่ม”
“หา!คุ คุณ คุณหนูหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?” เหมยลี่นั้นไม่เข้าใจความหมายของผู้เป็นนายจริงๆ นี่คุณหนูของนางยังไม่ทันได้หย่าขาดกับสามีมิใช่หรือ
“การที่บ้านของพวกเรานั้นแวดล้อมไปด้วยพวกบุรุษหนุ่ม ก็ทำให้พวกเราไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย เราสองคนเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ หากเกิดอะไรขึ้นมาจะเอาอันใดไปสู้รบปรบมือกับเขาได้ บุรุษพวกนี้นี่แหละที่จะสามารถให้ความช่วยเหลือพวกเราได้หากมีเภทภัยอันตรายมากล้ำกราย ข้าเชื่อว่าในบรรดาบุรุษนับยี่สิบคนที่เช่าห้องอยู่ที่นี่ ต้องมีสักคนที่เป็นคนดี และยินดีให้ความช่วยเหลือพวกเรา”
เหมยลี่พยักหน้า อย่างน้อยบุรุษพวกนี้ก็มุ่งหวังอยากรับราชการและเป็นบัณฑิต คงจะมาจากพื้นเพที่ดี คงจะไม่น่ากลัวเหมือนพวกโจรขโมยหรอกนะ
หลังจากที่ข้าวของเครื่องใช้ถูกขนเข้าไปภายในบ้านเรียบร้อยแล้ว เซิ่นซิงเหยียนก็บอกกับเหมยลี่ให้ช่วยกันทำความสะอาด
“คุณหนู ไม่ต้องเจ้าค่ะ เรื่องทำความสะอาดให้บ่าวทำเอง คุณหนูไปนั่งพักเถอะเจ้าค่ะ” สาวรับใช้เป็นต้องตกอกตกใจเมื่อนายผู้เป็นคุณหนูในห้องหอที่ไม่เคยหยิบจับอะไรเลยจู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาหยิบผ้าขี้ริ้วทำความสะอาดบ้าน
“ได้อย่างไรล่ะ เหมยลี่ ต่อไปนี้เราสองคนมิใช่นายบ่าวอีกต่อไป เจ้าซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อข้ามาตลอด ข้าจะนับเจ้าเป็นน้องสาว ตอนนี้ชีวิตข้าก็ไม่เหลือผู้ใดแล้ว ท่านแม่ก็จากข้าไปตั้งแต่ข้ายังเล็กๆ ท่านพ่อก็เพิ่งจากไปอีกคน ส่วนสามีรึ…ฮึ…ถ้ามีแบบนั้นไม่มีซะยังดีกว่า ตอนนี้เรามีกันแค่สองคน เรามาเป็นพี่น้องกันดีกว่า”
“คุ…คุณ คุณหนู” เหมยลี่อ้ำอึ้งและซาบซึ้งยิ่งนัก แต่ไหนแต่ไรมาเซิ่นซิงเหยียนนั้นเป็นคุณหนูผู้เอาแต่ใจ ถือตนว่าอยู่เหนือผู้อื่น อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่เคยนึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น นางนึกไม่ถึงเลยว่ายาพิษที่เพ่ยจูให้กินจะเปลี่ยนผู้เป็นนายได้จากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้
“เจ้าไม่ต้องกลัวนะเหมยลี่ ถึงข้าจะเป็นสตรี แต่ข้ามิใช่สตรีในยุคนี้ เอ่อ…ข้าหมายถึงว่า ข้ามิใช่สตรีที่อ่อนแออีกต่อไปแล้ว ข้าจะไม่เหมือนสตรีในยุคนี้ที่ฝากชีวิตไว้กับบุรุษ ทำมาหากินเองไม่เป็น ต้องพึ่งพาบุรุษตลอด นั่นทำให้พวกบุรุษได้ใจรู้หรือไม่ พวกเขาจะข่มเหงรังแกสตรีเช่นไรก็ได้ ดูอย่างลู่เหวินคังสิ พอเห็นว่าบิดาข้าสิ้น ข้าหมดประโยชน์แล้วเลยคิดจะเขี่ยข้าทิ้ง แต่ที่เขายังไม่ยอมหย่าในตอนนี้เพราะยังหาเงินที่เป็นสินสมรสมาแบ่งให้ข้าคนละครึ่งไม่ได้ต่างหากล่ะ”