ตอนที่4
“ชักช้าลีลาอยู่ได้ เร็ว ๆ หน่อยไม่ได้หรือยังไง”
ภูวดลบ่นออกมาอย่างหัวเสีย เขาบอกให้ภรรยาแต่งตัวรอตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้วเพราะว่าแม่ของเขาให้มารับอีกคนไปงานเลี้ยงด้วยกัน แต่พอมาถึงรสรินก็ยังไม่ได้อาบแม้แต่น้ำด้วยซ้ำ นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คนอย่างภูวดลหัวร้อน
“เสร็จแล้วค่ะ ๆ” ร่างบางหอบเสื้อคลุมไหล่พรุงพรังเดินออกมาจากห้องนอนของตนเอง ร่างสูงพอเห็นแบบนั้นแล้วอารมณ์ยิ่งพุ่งเคืองสูงขึ้นไปอีก เขาจำได้ว่ากำชับอีกให้แต่งตัวรอตั้งแต่ห้าโมงเย็น แต่อีกคนยังอ้างว่าเผลอหลับจนลืมเวลา เขาเองก็ไม่รู้จะพูดยังไงทำได้แค่บ่น
เมื่อมาถึงงานภูวดลเดินนำเข้าไป จะเรียกว่าเดินนำก็ไม่ได้เพราะรสรินเองที่เดินไม่ทันเลยด้วยซ้ำ ตลอดทางมีผู้คนมากมายยกมือขึ้นไหว้ภูวดล แต่เจ้าตัวเพียงมองแล้วเดินผ่านไปเท่านั้น ไม่ได้หยุดทักทายเหมือนกับคนอื่น ๆ
“ทำไมมาช้าจังละลูก” คุณหญิงรตรีเอ่ยถามลูกชายที่เดินหน้าบึ้งเข้างานมา
“รอลูกสะใภ้แม่ยังไงล่ะครับ” ข้อตกลงของทั้งคู่คือเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่แล้วต้องรักกัน แต่เหมือนว่าภูวดลโมโหจนลืมตัวไปเลยเผลอพูดออกไปแบบนั้น
“คุณแม่สวัสดีค่ะ” รสรินมาถึงก็ยกมือไหว้แม่สามีก่อนเลย สายตากลมโตก็สอดส่องมองหาผู้เป็นมารดา
“ดีจ๊ะหนูโรส มองหาแม่อยู่เหรอ” รตรีถามลูกสะใภ้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเข้ามาในครอบครัวนี้ก็มีรตรีนี่แหละที่ ใจดีกับเธอ
“ใช่ค่ะ แม่โรสยังไม่มาอีกเหรอคะ” ร่างบางกลับมาโฟกัสที่แม่สามีต่อ แล้วเอ่ยถามหาแม่ตนเอง
“อีกเดี๋ยวก็มา เราเข้าไปข้างในกันเถอะ” ว่าแล้วรตรีก็เดินนำหน้าลูกชายกับลูกสะใภ้เข้าไปที่โต๊ะรับประทานอาหาร
“นั่งก่อนจ๊ะหนูโรส” หญิงวัยกลางคนส่งสายตาให้ลูกชายขยับเกาอี้ให้รสรินนั่ง แต่ลูกชายตัวดีกลับเมินและเดินไปนั่งเก้าอี้อีกฝั่งสะแล้ว รตรีที่เห็นลูกชายทำแบบนั้นได้แต่ส่งสายตาไปแล้วเป็นคนขยับเก้าอี้ให้รารินนั่ง
“ขอบคุณนะคะคุณแม่” ร่างบางนั่งลงแล้วหันมายิ้มให้แม่สามี รตรียิ้มตอบแล้วเดินไปนั่งลงข้าง ๆ ลูกชายตัวดี
“ทำไมแกถึงไม่ดูแลเอาใจใส่หนูโรสกว่านี้หน่อย” รตรีถามลูกชายที่นั่งทำหน้าเหม็นเบื่อไม่เลิก
“ดูแลใส่ใจอะไรอีกแม่ จะต้องให้ไปลากเก้าอี้ให้นั่งงี้เหรอ” ภูวดลมองหน้าแม่แล้วถามด้วยท่าทีกวน ๆ
“แกเลิกกวนตีนฉันจะได้ไหม” เสียงของแม่เริ่มจริงจังขึ้นแต่ภูวดลก็ไม่คิดจะเกรงกลัวแม้แต่น้อย ร่างสูงที่นั่งอยู่หันไปมองอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามแล้วยักคิ้วใส่ รสรินก็แปลกใจไม่น้อยที่อยู่ ๆ อีกคนก็ทำท่าทางก่อกวนใส่
“หนูโรสไม่ต้องคิดมากนะ พีทมันเป็นแบบนี้แหละ อยู่ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกัน” ขณะที่ร่างบางกำลังงงงวยกับสามีอยู่นั่นรตรีก็เดินมาพูดขึ้นตรงหน้าก่อนจะทำเอาร่างบางสะดุ้ง
“คะ..ค่ะคุณแม่” ภูวดลที่เห็นว่ารสรินมองตนเองจนเหม่อก็แอบขำ
เมื่อเวลาผ่านล่วงเลยมาจวบจนจบงานเลี้ยงแขกทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านร่วมถึงรสรินและภูวดล วันนี้ทั้งสองถูกแม่ ๆ บังคับให้ไปนอนบ้านใหญ่ด้วยกัน
พวกเขาจึงต้องจำใจไป
“คุณอาบน้ำก่อนโรสเลยก็ได้นะคะ” ร่างบางเอ่ยเมื่อเข้ามาในห้อง วันนี้ทั้งสองต้องนอนด้วยกันที่ห้องนี้รสรินจึงเอ่ยเสนอให้สามีไปอาบน้ำก่อน
“ทำไมเธอถึงไม่อาบก่อน” ภูวดลไม่ได้ยอมทำตามคำบอกของภรรยาซ้ำยังถามอีกคนกลับปอีกว่าทำไมไม่อาบก่อน
“โรสกลัวคุณจะเหนื่อยแล้วอยากอาบก่อนเลยไม่ไปอาบค่ะ หรือคุณจะให้โรสอาบก่อนก็ได้” ร่างบางเตรียมลุกขึ้นจะไปเอาเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำ
“ไม่” ผู้เป็นสามีที่ต่อปากต่อคำกับเขาเมื่อกี้เดินเข้าห้องน้ำไปกับผ้าขนหนูผืนเดียว รสรินถึงกับงงสุด ๆ กับสามี
รสรินที่เข้าไปอาบน้ำต่อจากสามีเดินออกมา เธอเห็นสามีนอนบนเตียงดูทรงแล้วเหมือนจะหลับไปแล้ว จึงเดินไปปิดไฟแล้วก้าวขึ้นเตียงนอนอีกฝั่งไป
“เธอไปนอนข้างล่างได้ไหม ฉันอึดอัด”เสียงของภูวดลพูดขึ้นทำให้ร่างบางหันกลับไปมองคนที่นอนอีกฝั่ง
“นอนพื้นเหรอคะ” เธอถามด้วยความสงสัย อีกคนไม่ชอบเธอขนาดถึงต้องให้ไปนอนที่พื้นเลยหรือยังไง
“ฉันไม่ชินที่มีคนมานอนข้าง ๆ ถ้าเธอจะนอนด้วยฉันกลัวว่าตัวเองจะนอนไม่หลับ เดี๋ยวฉันปูผ้าให้” ว่าแล้วเดินไปเปิดไฟแล้วนำผ้าห่มขนาดพอเหมาะในตู้ออกมาเพื่อปูลงข้างเตียงให้ภรรยาได้นอน
“ขอบคุณค่ะ” ร่างบางนอนลงโดยที่มีแค่ผ้าบาง ๆ ผืนหนึ่งปูกับพื้นกระเบื้อง ส่วนผ้าที่จะห่มก็ไม่มีเพราะว่าแม่เอาไปซักหมดแล้ว จะไม่ปูพื้นก็เย็นเกินไป ตอนนี้รสรินทำได้แค่นอนกอดตัวเองให้อุ่นแค่นั้น
เวลาผ่านไปนับชั่วโมงทั้งคู่ก็ยังคงนอนไม่หลับผลิกไปมาหลายหน สาหตุก็มาจากกันและกันทั้งนั้น ภูวดลเป็นห่วงภรรยายกลัวว่าอีกคนจะหนาว ส่วนรสรินก็คิดมากที่สามีให้มานอนพื้นเพราะรังเกียจตนเอง ความคิดนั้นอยู่ในหัวเธอได้ไม่นานก็ค่อย ๆ หายไปพร้อมกับเจ้าตัวที่หลับใหลในที่สุด
ภูวดลเช็คดูอยู่นานว่าภรรยาหลับหรือยัง พอได้รู้ว่าอีกคนหลับไปแล้วก็รีบนำผ้าห่มที่ตนเองห่มอยู่มาห่มให้รสรินทันที เขาไม่ได้เป็นห่วงเด็กนี่ แต่เขากลัวจะโดนแม่ด่าถ้าเด็กนี่ป่วยขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น