Chapter 4
มายาเสน่หา (2)
มินิคูเปอร์เหลืองถอยหลังเข้าช่องจอดภายในห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง...มาลีรินทร์ดับเครื่องยนต์แล้วคว้ากระเป๋าสะพายมาถือไว้เพื่อเตรียมลงจากรถ วันนี้หลังจากหมดชั่วโมงเรียนหล่อนจึงมาตามนัดของนคเรศ อีกฝ่ายนัดมาโดยบอกแค่ว่าอยากชวนหล่อนมาทานอาหารด้วยกันเผื่อผูกสัมพันธ์สร้างความสนิทสนม และหล่อนไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร หากแต่ไม่อาจปฏิเสธได้เพราะนั่นคือพ่อสามี แม้หล่อนกับนคินทร์จะยังไม่ได้อยู่กินกันแบบเปิดเผย แต่ความจริงก็คือความจริง จะมีใครกล้าปฏิเสธว่าหล่อนกับเขาเป็นแค่คู่นอนไม่ใช่ผัวเมีย ในเมื่อฝ่ายชายจริงจังถึงขั้นอยากแต่งงาน สถานะของหล่อนก็คือว่าที่สะใภ้กลางของเหล่าศิริชัยกุล...นั่นคือสิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวยามเดินเข้าไปด้านในด้วยใจที่เต้นตึกตักไปพร้อมกัน
เมื่อมาถึงร้านที่นัดหมาย ถามพนักงานถึงโต๊ะที่ทางนคเรศได้จองเอาไว้ จึงได้รู้ว่าเขามาก่อนในวินาทีเฉียดฉิว สองขาพาหล่อนเดินเข้าไปหา สูดลมหายใจให้ลึกเพื่อรวบรวมความกล้า ยอมรับว่าประหม่าอยู่บ้างจากความไม่สนิทสนม และ...รู้อยู่แก่ใจ ดูเขาจะไม่ค่อยปลื้มหากหล่อนจะก้าวเข้าไปเป็นลูกสะใภ้ เป็นแม่ของหลานที่ลูกชายเขาเป็นคนเลือก นั่นคือสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจที่ต้องเผชิญหน้ากัน
"สวัสดีค่ะคุณพ่อ"
"นั่งก่อนสิมิ้นต์ อยากทานอะไรเพิ่มก็สั่งเอาเลยนะ"
มาลีรินทร์นั่งลงฝั่งตรงข้ามพลางแค่นยิ้มฝาดเฝื่อน ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้ม หล่อนไม่รู้เลยว่าเขาซ่อนความรู้สึกใดเอาไว้กันแน่...ปรายตามองอาหารที่สั่งเอาไว้แล้ว หากแต่หล่อนอยากกินอย่างอื่นมากกว่า ไม่อยากกินที่อีกฝ่ายสั่งเอาไว้รอ จึงหันไปบอกพนักงาน
"ขอข้าวหน้าปลาไหลเพิ่มค่ะ"
หันกลับมายิ้มให้คนฝั่งตรงข้าม แววตาของอีกฝ่ายดูซ่อนอะไรไว้มากมาย
'มองโดยรวมก็ดูดี แต่เรื่อง...มารยาทคงต้องสอนอีกเยอะเลยสินะ ตาภูกำลังหลงจนหัวปักหัวปำ พูดอะไรมากไม่ได้อีก'
นั่นคือความคิดในใจนคเรศ...เขาไม่รู้จะเริ่มต้นเปิดประเด็นอย่างไรเพื่อไม่ให้ดูเหมือนกำลังกีดกันความรักของคนสองคน แต่...มันมีบางเรื่องที่ทำให้เขาไม่พอใจหนักจนถึงขั้นต้องนัดคนรักของลูกชายมาคุย นั่นก็เพราะไปรู้ความลับว่าหล่อนทิ้งชุดชั้นในเอาไว้ในห้องลูกชาย ให้คนในบ้านของเขาต้องตามเก็บไปซัก และแน่นอน ในเมื่อแม่บ้านไม่อยู่ หน้าที่นั้นก็ไม่พ้นแก้วกัลยาที่ต้องก้มหน้าก้มตาทำโดยไม่ปริปากบ่นออกมาสักคำเดียว
นั่งคุยเรื่องทั่วไปจนกระทั่งข้าวหน้าปลาไหลมาเสิร์ฟ นคเรศจิบน้ำแล้วสูดลมหายใจให้ลึก ในเมื่อนัดมาแล้ว เขาจำเป็นต้องคุยเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว จะได้นำไปปรับปรุงตัวเองใหม่ ให้สมกับที่จะก้าวเข้ามาเป็นสะใภ้ที่ต้องช่วยสามีหาเงินเข้าบ้าน ไม่ใช่รักความสุขสบายแล้วนั่งกินนอนกินไปวันๆ เหมือนเด็กไม่รู้จักโต...เขาไม่ได้โฟกัสไปเรื่องฐานะ แค่อยากได้ลูกสะใภ้ที่ช่วยส่งเสริมสามีเท่านั้นเอง
"ช่วงนี้หนูคงเรียนหนักใช่มั้ย อีกไม่ถึงสองปีก็จะจบแล้ว วางแพลนอนาคตไว้ว่ายังไงบ้าง"
"เอ่อ..."
คำถามทำเอาไปไม่เป็น ความจริงคือไม่เคยคิดไปถึงขั้นนั้น รู้แค่ว่าปัจจุบันมีหน้าที่เรียนแล้วก็รับเงินจากลูกชายของเขา อยู่กับความสุขสบายโดยไม่ได้คิดถึงอนาคตหลังเรียนจบว่าจะไปทำอะไร
แค่นี้นคเรศก็รู้ไปถึงไหนต่อไหน เขายิงคำถามต่อทันที
"เห็นตาภูเคยเปรยเอาไว้ เรียนจบก็จะแต่งงานกันเลยเหรอ"
"อาภูบอกมิ้นต์แบบนั้นค่ะ รอให้เรียนจบเราก็จะแต่งงานกัน"
"อืม..."
"....."
"จริงๆ ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับหนูหรอกนะ แต่...ควรจะรอสักปีสองปีดีกว่าไหม มันเร็วเกินไปหากเพิ่งเรียนจบแล้วจะแต่งงาน บางทีคนเราก็ต้องลองใช้ชีวิตในโลกกว้างดูบ้าง โลกนี้ยังมีผู้คนมากมายให้ได้พบเจอ และ...คนที่ใช่บางทีก็อาจจะยังไม่ผ่านเข้ามา"
พูดแบบนี้ต้องการจะสื่ออะไร มีผู้ชายมากมายให้เลือกแทนที่จะมาเกาะลูกชายของเขาใช่ไหม...นั่นคือคำถามในใจคนฟัง หล่อนนั่งก้มหน้านิ่งถือตะเกียบค้างไว้แบบนั้น ข้างที่วางทาบไว้บนตักกำเข้าหากันด้วยความอึดอัดใจ
"แต่นั่นเป็นความต้องการของอาภูเองนะคะ มิ้นต์ไม่ได้ร้องขออะไรเลย ไม่ได้รบเร้าให้เขามาขอ ไม่ได้อยากแต่งจนตัวสั่นขนาดนั้น"
เหมือนถูกเด็กตบหน้าด้วยถ้อยคำย้อนยอก นคเรศนั่งนิ่งหน้าชา...มีอะไรก็ไปคุยกับลูกชายตัวเองแทนที่จะมาบอกคนอื่น เขาแปลความหมายในถ้อยคำได้แบบนี้จริงๆ
"ฉันรู้...และก็รู้ด้วยว่าบางครั้งความรักจนกลายเป็นหลง ก็ทำให้คนเราเกิดความคิดชั่ววูบได้เหมือนกัน"
'ก็บอกมาตามตรงสิคะว่าไม่ต้องการลูกสะใภ้คนนี้ คนที่คุณพ่อชอบและถูกใจต้องเป็นแบบแก้วสินะ คงอยากจะยัดเยียดลูกติดเมียน้อยให้ผัวชาวบ้าน มิ้นต์ดูออกเพราะสายตาคุณพ่อฟ้องชัดเจน'
นั่นคือความคิดในใจมาลีรินทร์ รู้สึกอิ่มขึ้นมาทันทีเมื่ออีกฝ่ายแสดงออกมาชัดเจนแล้ว...เขาไม่อยากให้ลูกชายแต่งงานกับเธอ
"มิ้นต์เข้าใจค่ะว่าคุณพ่อไม่อยากให้รีบ แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เราก็แค่คุยกันเล่นๆ เท่านั้น เรื่องแต่งงานยังไม่อยู่ในหัวมิ้นต์เลยค่ะ มิ้นต์เคยบอกอาภูไปแล้วว่าขอทำงานก่อน เพราะจริงๆ ก็ยังไม่พร้อมเหมือนกันค่ะ"
หล่อนฝืนยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึก...นคเรศรู้สึกโล่งใจไปบ้าง
แม้จะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมานั้นคือความจริงหรือไม่ แต่อย่างน้อย การแสดงท่าทีปฏิเสธแบบละมุนละม่อม ก็อาจทำให้หล่อนนำกลับไปนอนคิดทบทวน
สองคนที่ต่างช่วงวัยซ้ำยังมีช่องว่างของความไม่สนิทใจนั่งทานอาหารต่อไปด้วยบรรยากาศแสนอึดอัด มันช่างเป็นมื้ออาหารอันแสนจะกร่อยที่สุดในความคิดของมาลีรินทร์ หากแต่ก็แสดงออกถึงความไม่พอใจไม่ได้ แม้ลึกๆ จะรู้สึกเจ็บใจที่เส้นทางรักกำลังถูกกีดกัน หล่อนคิดมโนไกลจากการแสดงออกหลายๆ อย่าง...เขาต้องการจับคู่แก้วกัลยากับลูกชายตัวเองให้มาแทนที่ตนแน่นอน
ที่หน้าหอพักติดกับมหาลัยฯ มินิคูเปอร์เหลืองแล่นมาจอดเทียบท่าเพื่อรอใครบางคนที่กำลังลงมาจากชั้นสาม...มาลีรินทร์นั่งรอในรถด้วยใจที่กระสับกระส่าย รู้สึกเครียดจนอยู่ในห้องคนเดียวไม่ได้ และ...ณัฐพลคือเพื่อนสนิทที่หล่อนเลือกมาหาหวังปรับทุกข์กับเรื่องราวที่ติดค้างอยู่ในใจ
รอไม่นานอีกฝ่ายก็ลงมา หญิงสาวเปิดประตูลงจากรถ พยักพเยิดส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเข้าไปทำหน้าที่คนขับแทนตน
"เป็นอะไรเหรอมิ้นต์ อยู่ดีๆ ถึงอยากไปเที่ยว"
"เครียด ช่วยขับรถพาไปเที่ยวทีสิ ไปที่ไหนก็ได้"
"....."
ณัฐพลทำท่าลังเลครุ่นคิด เพราะมันกะทันหันเกินไปไม่ทันได้คิดเอาไว้...สักพักหล่อนก็โพล่งมันออกมา
"ไปพัทยาดีมั้ย ไปเมากันที่นั่นดีกว่า"
"เอ่อ...เอางั้นเลยเหรอ"
"อือฮึ พรุ่งนี้มิ้นต์ไม่มีเรียน นัทก็ไม่มีเรียน ไปพัทยาก็แล้วกัน"
หล่อนดันร่างคนที่ยืนงงให้เข้าไปนั่งยังที่คนขับ ปิดประตูให้อีกฝ่ายเสร็จสรรพ ก่อนเดินอ้อมรถไปอีกฝั่งแล้วเข้าไปนั่งข้างๆ กัน
"ทะเลาะกับเขาเหรอ...ถึงได้..."
"ไปเถอะ มิ้นต์ยังไม่อยากพูดถึงอะไรทั้งนั้น"
ณัฐพลรู้อยู่เต็มอกว่าเพื่อนเป็นเด็กใคร หล่อนมีเจ้าของตามคุมและเขาคนนั้นก็เปย์หนักทั้งรถทั้งคอนโดรวมทั้งเงินที่เพื่อนมีใช้ไม่ขาดมือ มาลีรินทร์มักจะเป็นฝ่ายเลี้ยงเพื่อนฝูงด้วยเงินที่ได้มาง่ายๆ อยู่เสมอ และรถที่เขาขับอยู่นั้นหล่อนได้มาอย่างไรเขาก็รู้อีกเช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกในสายตาของเขา เหตุเพราะเห็นจนชาชินกับความเป็นจริงในสังคม ทุกชีวิตล้วนดิ้นรนตะเกียกตะกายไขว่คว้าเพื่อต้องการยกระดับตัวเอง นั่นคือเรื่องส่วนตัว...เขาไม่อาจสอนใครได้เพราะว่าชีวิตใครชีวิตมัน และคนๆ นั้นเลือกที่จะขีดเส้นทางเดินชีวิตต่างกันออกไปตามความต้องการทะยานอยากที่ไม่เท่ากัน
'นั่นมันเด็กไอ้ภูนี่นะ เธอมากับใคร?'
ตรัยคุณไม่อาจละสายตามาจากตรงนั้นได้...ภายใต้ร่มเงาเต้นท์ผ้าใบริมชายหาด เขาเห็นมาลีรินทร์กำลังนั่งจิบเบียร์เย็นๆ เคล้าอาหารทะเลอยู่กับผู้ชายที่ดูแล้วน่าจะวัยไล่เลี่ยกัน ฝ่ายชายดูเด็กกว่าภูริชด้วยซ้ำ เขาเดาเอาว่าน่าจะเป็นเพื่อนชายที่มหาลัยฯเดียวกันกับหล่อนแน่นอน
ไม่คิดเลยว่าหลังนัดพบลูกค้าแล้วแวะมาหาอาหารทะเลทานจะทำให้ต้องมาเห็นอะไรแบบนี้...ชายหนุ่มสะกิดเตชินทร์ให้มองไปตรงนั้น และก่อนที่หล่อนจะรู้ตัว เขารีบลากเพื่อนให้เดินไปหาที่นั่งโซนอื่นเพื่อความปลอดภัย ถ้าหากหล่อนเห็นพวกเขาแล้วอาจจะปั้นหน้าไม่ถูกเพราะความคาดไม่ถึง และ...เขาไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของเพื่อนเลยสักนิดเดียว
"นั่นมันรถไอ้ภูไม่ใช่เหรอ"
เตชินทร์ปรายมองไปยังมินิคูเปอร์เหลืองที่จอดเทียบอยู่ริมฟุตบาท...จำทะเบียนรถคันนั้นได้ดี
"ขับรถที่เพื่อนมึงซื้อให้มาเที่ยวกับผู้ชาย...ถึงเป็นเพื่อนกัน แต่มากันสองคนแบบนี้ก็ได้เหรอวะไอ้เต"
เตชินทร์นิ่งเงียบไม่ออกความเห็น...เขาไม่อยากออกตัวแรงเรื่องนี้ เพราะรู้ว่าเพื่อนทั้งรักและหลงคนที่พวกเขากำลังแอบมองจนหัวปักหัวปำ แสนลำบากใจเหลือเกินหากจะนำเรื่องนี้ไปเตือนเพื่อน กลัวจะได้รับคำยอกย้อนว่าพวกเขากำลังใส่ร้ายและทำให้คนสองคนต้องผิดใจกันเพราะความหวาดระแวง...หวาดระแวงว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนอกใจก่อนถึงวันที่สัญญาเอาไว้ว่าจะแต่งงานกัน