Chapter 2
จำเลยซาตาน (2)
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเมื่อเห็นหล่อนทำหน้างง แววตาดูแคลนไล่มองไปทั่วร่างกลมกลึง
"ทำไมฮึ ไม่พอใจ? ไม่พอใจที่ฉันใช้งานเธอกับแม่เหมือนขี้ข้าถ้าคิดแบบนั้น เธอก็ควรคิดใหม่นะที่รัก ควรสำเหนียกเอาไว้ว่าที่ได้มาลอยหน้าลอยตาอยู่ในบ้านหลังนี้เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะแม่เธอเอาตัวเข้าแลก ยอมเป็นเมียน้อยก็เอา ทำร้ายจิตใจคนเป็นเมียหลวงจนต้องฆ่าตัวตาย"
"คุณภู!"
"ทำไมฮึ โกรธ? โถๆ ดูสิ ทนยอมรับความจริงไม่ได้ หน้าเธอแดงหมดแล้วแก้วกัลยา"
เสียงนั้นเข่นรอดไรฟัน ตามมาด้วยเสียงหัวเราะหยันดังอยู่ในลำคอแกร่ง
"ขอเถอะนะคะ ถ้าจะด่าก็ด่าแก้วคนเดียว อย่าลามปามไปถึงคุณแม่ของแก้วเลย"
"แล้วทำไมฉันจะต้องเชื่อเธอ มีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งเจ้าของบ้าน ฉันจะด่ายิ่งกว่านี้ เอาให้ทนไม่ได้ จนกว่าเธอกับแม่ของเธอจะไสหัวไปจากที่นี่!"
เขาลืมไปสิ้นเรื่องที่ทำเมื่อตอนเย็น ปลายนิ้วแกร่งยื่นไปบีบปลายคางเรียวเอาไว้ตามแรงอารมณ์...ความเกลียดชังที่สุมอยู่ในใจบอบช้ำ คือความสูญเสียที่เขาไม่ลืมว่าใครทำให้มารดาต้องจากไปโดยไม่มีแม้คำร่ำลา
แก้วกัลยาเอี้ยวหน้าหนี พร้อมกับปัดมือแข็งราวคีมเหล็กออกจากปลายคาง แม้จะเจ็บแสนเจ็บ แต่จำต้องกัดฟันทนเพราะไม่อยากแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น...ต่อหน้าผู้ชายใจร้าย น้ำตาจะยิ่งทำให้เขาสาสมใจในสิ่งที่ทำลงไป
"จะเล่นน้ำก็ไปสิคะ แล้วก็กรุณาหลีกทางให้ด้วยค่ะ แก้วจะได้รีบไปเตรียมไวน์ตามคำบัญชาของคุณ"
แววตาฉายความเย่อหยิ่งจองหองเหลือบมองสบกับแววตาร้อนเป็นไฟทั้งที่ใจกำลังสั่นระรัว...เพื่อหลีกหนีการปะทะ หล่อนขอสงบศึกด้วยการดันบานประตูให้ปิดตามเดิม
"ปึง!"
"นี่เธอ...ยายลูกเมียน้อย กล้าปิดประตูใส่หน้าฉันเรอะ ได้!"
เสียงเข่นรอดไรฟันขู่อาฆาต ร่างสูงเดินกลับไปทางเดิมอย่างหัวเสีย...มันไม่จบง่ายๆ แน่นอน นั่นคือความคิดในหัวนคินทร์
"ฟู่..."
เสียงผ่อนลมหายใจโล่งอกเมื่อวินาทีลุ้นระทึกผ่านไป...แก้วกัลยาพิงหลังไว้กับบานประตู สูดลมหายใจเข้าออกให้ลึกเพื่อตั้งสติ จะต้องทนให้ได้เพราะถ้าไปจากที่นี่ก็จะไม่มีคนดูแลและอยู่เป็นเพื่อนมารดา ส่วนมารดาของหล่อนอยู่ที่นี่ก็เพื่อเป็นเพื่อนฝากผีฝากไข้กับนคเรศในยามบั้นปลายของชีวิต เพราะอีกไม่นานทั้งนคินทร์และพราวนภาก็จะต้องแยกออกไปมีครอบครัวเป็นของตนเอง เช่นนทีซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของบ้านเหล่าศิริชัยกุล
++++++
'ทุเรศที่สุด ทำอะไรไม่นึกถึงเลยว่ามีคนอื่นอยู่ในบ้านด้วย'
แก้วกัลยาชะงักฝีเท้า เบือนหน้าหนีภาพตรงหน้าที่ทำให้รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งสองข้างแก้ม ตรงนั้น…สองคนที่นัวเนียกอดจูบกันอยู่ในสระน้ำสีคราม ทำให้หล่อนไม่กล้าถือถังไวน์ออกไป กลัวว่าจะเป็นการไปขัดจังหวะช่วงเวลาแห่งความสุขของคนสองคน
คล้ายมีเซ้นส์ว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพังเราสอง นคินทร์ปรายมองด้วยหางตา เห็นคนยืนเขินอายหน้าแดงอยู่ตรงประตูทางออก ชายหนุ่มยิ่งนึกสนุกอยากแกล้ง ในเมื่อหล่อนไม่อยากเดินออกมา เขาก็จะยิ่งจูบโชว์ ถ้าหากจะยืนมองอยู่อย่างนั้นก็แล้วแต่เรื่องของเธอ
'รีบเอาไปวางดีกว่า จะได้จบๆ เรื่องไป'
เพราะเบื่อที่จะต้องถูกเขาหาเรื่องหากว่าหล่อนช้าไม่ทันใจ คนที่กำลังอายแทนจนแข้งขาสั่นจึงพรวดพราดออกไปแล้วส่งเสียงกระแอมให้สองคนรู้ตัว...มาลีรินทร์ผงะตกใจแล้วหันมองทั้งที่สองแขนยังคล้องเกี่ยวไว้กับลำคอแกร่ง ต่างจากอีกคนที่ตวัดมองมาด้วยแววตาหาเรื่องกันอีกครั้ง
"จริงๆ เธอน่าจะรู้มารยาทบ้าง เข้ามาขัดจังหวะคนอื่นแบบนี้ คนมีสมองเขาคิดกันได้เองนะแก้วกัลยา!"
คนถูกเหน็บขบกรามแน่นทำทีเป็นไม่ได้ยิน สองมือที่กำลังเปิดไวน์สั่นพร่าเพราะความเจ็บจุกอยู่ในหัวใจซ้ำยังทำอะไรเขาไม่ได้ เป็นแค่ผู้อาศัยไม่มีสิทธิ์มีปากเสียง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกชายเจ้าของบ้านที่มีสิทธิ์มากกว่าเธอ หล่อนรินไวน์ใส่แก้วทิ้งไว้ราวกับตัวเองเป็นบริกรในร้านอาหาร นำขวดไวน์แช่ไว้ในถังตามเดิม ที่เหลือคือให้ทั้งสองจัดการต่อ เดินหนีเข้าบ้านโดยไม่ปริปากโต้ตอบอะไรกลับไปสักคำเดียว
"อาภูพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก เธออาจไม่ได้ตั้งใจนะคะ ไม่น่าว่ากันแรงแบบนั้นเลย"
"ช่างเถอะที่รัก เลิกใส่ใจคนที่ไร้ความหมายต่อชีวิต แล้วมาพูดเรื่องของเราดีกว่า"
"แต่..."
เสียงนั้นขาดช่วง เมื่อถูกฟันซี่คมขบกัดเบาๆ ตรงริมฝีปากล่าง ตามมาด้วยมือใหญ่ที่ควานลงไปใต้น้ำ..นั่นคือการบอกเป็นนัยๆ ว่าถ้าหากไม่เลิกทำตัวเป็นแม่พระ หล่อนอาจถูกเขาลงโทษขั้นรุนแรงในสระ ข้อหาสงสารคนที่ทำให้เขาต้องสูญเสียคนที่รักมากที่สุดไป
"แก้ว ไปพักเถอะนะ เรื่องอาหารเดี๋ยวแม่ดูแลต่อเอง"
แก้วกาญจน์เดินออกมาบอกคนที่กำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมโต๊ะดินเนอร์ที่ริมสระ เหตุเพราะแก้วกัลยาเพิ่งหกล้มมาหล่อนจึงนึกห่วงกลัวว่าพรุ่งนี้เช้ารอยเจ็บจะระบมเอาได้
"แก้วทำได้ค่ะคุณแม่ คุณแม่ไปเตรียมจัดโต๊ะให้คุณพ่อดีกว่า เห็นว่าใกล้กลับมาถึงแล้วนี่คะ"
สองมือยังคงจัดดอกไม้ที่ปักใส่แจกัน เทียนหอมรูปกุหลาบสีชมพูถูกจุดทิ้งไว้สร้างบรรยากาศโรแมนติก...เครื่องดื่มพร้อมสำหรับสองคนแช่อยู่ในถังไม้ เหลือแค่รอให้นคินทร์และมาลีรินทร์แต่งตัวเสร็จแล้วลงมาดินเนอร์ใต้แสงเทียน
"ดื้อจริงๆ นะเรา แม่พูดก็ไม่ฟัง"
แก้วกาญจน์ถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของคนเจ็บ แต่เมื่อเหลือบดูเวลาแล้วก็ต้องยอมล่าถอย เพราะยังไม่ได้จัดอาหารไว้รอนคเรศที่กำลังเดินทางกลับมาจากที่ทำงาน
คล้อยหลังมารดา แก้วกัลยาเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารสำหรับสองที่...วันนี้มารดาทำอาหารไทยซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะถูกปากคนทานหรือไม่ เพราะนคินทร์ไม่เคยมานั่งทานร่วมโต๊ะด้วยเลยสักครั้ง จึงไม่รู้ว่าเขาชื่นชอบอาหารแบบใด