“ท่านพี่สามีท่านงามมาก” เซี่ยซือหยางเอ่ยขึ้นหลังก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องนอนของพวกเขาแล้ว
ทันใดนั้นคนบนเตียงนอนก็ลืมตาขึ้นข้างเดียว เงี่ยหูฟังด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มไปหมด ก่อนหน้าเซี่ยซานซานผุดลุกผุดนั่ง คลายความขบเมื่อยอยู่หลายรอบ พอได้ยินเสียงคนเดินมานางก็รีบกลับไปนอนนิ่งอยู่ตามเดิม นางเองก็อยากเห็นพี่เขยของตัวเองเหมือนกัน ตั้งแต่ถานจ้านพิการเขาก็ไม่ค่อยออกจากบ้านไปไหน ภาพจำของนางจึงติดอยู่ตอนก่อนที่เขาจะพิการ
“เจ้าอย่าได้เอ่ยคำนี้ต่อหน้าพี่ถานจ้านเด็ดขาด บุรุษไม่พึงพอใจให้ผู้อื่นชมตนเองว่างามหรอก ต้องชมว่าหล่อเหลาเข้าใจไหม”
“เช่นนั้นข้าก็ต้องหล่อเหลาใช่ไหมท่านพี่” เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นยิ้มตาหยีให้พี่สาว
“ถูกต้องน้องเล็กของข้านั้นหน้าตาหล่อเหลาเหลือเกิน ปานเทพเซียนตัวน้อย ๆ” เซี่ยซือซืออุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมา แล้วแนบแก้มถูไถเบา ๆ
“ท่านพี่บุรุษสตรีไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน”
“ไอหยา ! เจ้าตัวเท่านี้ไม่นับว่าเป็นบุรุษหรอก” นางอุ้มน้องชายขึ้นแล้วหมุนไปรอบ ๆ เจ้าตัวส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างชอบใจ ยามพี่สาวหยุดหมุนก็ส่งเสียงเร่งเร้า “ท่านพี่เอาอีก หมุน ๆ อีก ฮะ ๆ ๆ”
เซี่ยซานซาน “...”
ท่านพี่เล่นสนุกกันเชียว ท่านอย่าลืมข้าสิ นางปรือตามองทั้งคู่อย่างอิจฉา นางให้คำสัญญากับพี่สาวไปแล้วว่าจะเชื่อฟังทุกคำ จึงต้องแสดงละครบทนี้ต่อไป
เหมือนเซี่ยซือซือจะล่วงรู้ความคิดของน้องสาว นางวางเซี่ยซือหยางให้นั่งเล่นอยู่มุมห้อง เดินไปทิ้งสะโพกลงนั่งบนขอบเตียง จับมือน้องสาวมาบีบเบา ๆ เอ่ยกระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“เมื่อครู่ท่านป้าถานพาข้ากับน้องเล็กไปทำความรู้จักกับพี่ถานจ้าน ข้าขอดูสถานการณ์ในบ้านสกุลถานไปสักวันสองวันก่อน ถ้าท่านป้าถานดีไว้ใจได้เจ้าค่อยฟื้นขึ้นมานะอาซาน” นางเอ่ยจบก็ตบหลังมือน้องสาวเบา ๆ
เด็กน้อยที่นั่งเล่นอยู่คนเดียว แต่สายตากลับมองไปที่เตียงนอนอยู่ตลอดเวลา ในหัวเซี่ยซือหยางเต็มไปด้วยความสงสัย อดใจที่จะตะโกนถามขึ้นไม่ได้ “ท่านพี่พี่รองยังไม่ฟื้น ท่านพูดไปนางก็ไม่รู้เรื่องหรอก”
เซี่ยซานซาน “...”
เซี่ยซือซือถึงกับหัวเราะออกมาเบา ๆ “ข้าก็พูดไปเรื่อย ไม่แน่นะพี่รองของเจ้าได้ยินเสียงของข้าแล้ว อาจจะตื่นขึ้นมาวันพรุ่งนี้เลยก็ได้”
“จริงหรือท่านพี่ !” เซี่ยซือหยางก้าวขาสั้น ๆ มาหาพี่สาวทั้งสองคน แววตาฉายประกายความหวังขึ้นมา ทำท่าจะใช้ขาสั้น ๆ ปีนขึ้นเตียงนอน
“เจ้าทำอันใด”
“ข้าก็จะพูดกับพี่รองอย่างไรเล่า เสียงของข้าพี่รองต้องประทับใจจนตื่นขึ้นมาแน่”
เซี่ยซานซาน “...”
ข้าไม่ต้องการ !
ก่อนที่น้องเล็กของพวกนางจะก่อเรื่อง เซี่ยซือซือก็อุ้มเจ้าตัวน้อยหมุนตัวไปรอบ ๆ บริเวณห้อง ทำให้เขาหลุดความสนใจออกจากเซี่ยซานซานไปได้ ปากของเซี่ยซือหยางเอาแต่พร่ำบอกว่า “ฮะฮะ ท่านพี่ สูง ๆ”
ภายในห้องนอนของถานจ้าน นางถานพยายามอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกชายฟังอย่างใจเย็น แม้ว่าลูกชายของนางจะหน้านิ่วคิ้วขมวด พร้อมถอนหายใจหนัก ๆ ออกมาอยู่บ่อยครั้งก็ตาม
“ท่านแม่ ท่านขาดทุนแล้วล่ะ” ถานจ้านเอ่ยขึ้นหลังมารดาของเขาเล่าจบ มีอย่างที่ไหนซื้อหนึ่งแถมสอง คนหนึ่งป่วยนอนแน่นิ่งขยับตัวไม่ได้ อีกคนยังเป็นเพียงเด็กเล็กอยู่ ไม่ใช่ว่าต้องเสียเงินเสียทองดูแลมากกว่าคนทั่วไปหรอกหรือ
“ขาดทุนอันใดกัน เจ้ามีภรรยาคอยดูแลแล้ว ต่อไปข้าก็ตายตาหลับ”
“ท่านแม่ท่านอย่าได้พูดเช่นนี้” สีหน้าของถานจ้านเจ็บปวดเหลือคณา ย่อมรู้ว่ามารดาทำเช่นนี้เพราะหวังดีต่อเขา กระทั่งเงินเก็บก้อนสุดท้ายยังเอาไปซื้อภรรยามาให้เขา
“ซือซือสาบานต่อหน้าฟ้าดินแล้วว่าจะไม่ทอดทิ้งเจ้าเด็ดขาด ข้าเชื่อนาง”
“นางอายุเท่าใดกันท่านแม่ จะมาดูแลข้าได้อย่างไรกัน แล้วดูนางสิผอมแห้งขาดสารอาหารปานนั้น ข้าว่าท่านมีแต่จะเพิ่มภาระหนักให้ตัวเองมากกว่า”
“เอาเถอะ ๆ คนก็ซื้อมาแล้วจะไล่กลับก็ไม่ได้”
“ท่านเลี้ยงเด็กสามคนไม่ได้ ยิ่งมีคนหนึ่งนอนติดเตียงแบบนั้นด้วย”
“ซือซือสัญญาแล้วว่าเรื่องอาหารการกินของน้อง ๆ ของนาง จะไม่มาหยิบฉวยเอาจากบ้านเรา”
“ท่านเชื่อนางหรือท่านแม่” ด้วยนิสัยของมารดา มีหรือจะดูดายเด็กพวกนั้นได้
“เรื่องยังมาไม่ถึงเจ้าก็อย่าเพิ่งคิดไปก่อน เอาเป็นว่าคืนนี้ข้าจะให้ซือซือมานอนกับเจ้าก็แล้วกัน”
“ท่านแม่นางยังเด็ก !”
“เด็กแล้วอย่างไร นางคือภรรยาของเจ้า ให้นางมาคอยดูแลเจ้ายามค่ำคืน คอยหยิบกระโถนให้เจ้าอย่างไรเล่า”
“หยิบกระโถน ?” ข้าคงคิดมากไปเองสินะ
“ข้าไม่ชอบนอนกับผู้อื่น”
“ให้นางนอนพื้น !”
ถานจ้าน “... ”
นางถานเดินออกจากห้องลูกชายไป ตรงไปหาเซี่ยซือซือที่ห้องของนาง ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของเด็กน้อยดังอยู่ในห้อง ในใจของนางถานรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา นางอยู่กับถานจ้านมาหลายปี แทบไม่ได้ยินเสียงหัวเราะเลยสักครั้ง ลูกชายของนางไม่ใช่เด็กช่างเล่น พอโตขึ้นก็เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาหาความรู้ ยามมีสหายจากตำบลมาหา ก็พากันท่องตำราอย่างเคร่งเครียด ไหนเลยจะมีเสียงหัวเราะให้ได้ยินเช่นวันนี้
“ซือซือ” เพราะประตูเปิดแง้มไว้ นางถานจึงผลักออกแล้วเดินเข้าไปได้เลย
“ท่านป้าถานคุยกับพี่จ้านเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ”
“อืมเสร็จแล้ว ข้าจะมาบอกให้เจ้าเอาเสื้อผ้าไปไว้ในห้องของจ้านเออร์”
“ท่านป้าถานนี่ท่าน” เซี่ยซือซือหรี่ตาลงอย่างไม่ไว้วางใจ นางอายุสิบสามปีเท่านั้นเอง อย่าได้ลืมเชียวละ
“เจ้าเป็นภรรยาจ้านเออร์ก็ต้องนอนห้องเดียวกับเขาสิ ไปเอาเสื้อผ้าเจ้าออกมา” นางถานกุลีกุจอช่วยยกห่อผ้าของลูกสะใภ้ไป ไว้ในห้องนอนของลูกชาย ไม่ลืมดึงมือของเซี่ยซือซือให้เดินตามไปด้วย
เซี่ยซือหันมามองน้องชายตนเองเล็กน้อย “น้องเล็กเจ้าอยู่เป็นเพื่อนพี่รองที่นี่ก่อนนะ”
“ขอรับท่านพี่” เด็กน้อยมองตามหลังพี่สาวไปอย่างไม่เข้าใจ
ไม่ใช่ว่าเพิ่งไปห้องของพี่เขยมาไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงได้ไปอีกแล้วล่ะ
นางถานเดินนำหน้าลูกสะใภ้ไปยังห้องนอนของลูกชายตนเอง นางรู้ว่าเซี่ยซือซือต้องมีคำถามอีกมากมายตามมา “เจ้าไม่ต้องถามอันใดอีกซือซือ ทำตามที่ข้าบอกเป็นพอ”
เซี่ยซือซือไม่ได้ตอบกลับทำเพียงพยักหน้าลงอย่างเชื่องช้า มองประตูห้องของถานจ้านด้วยความไม่สบายใจ
“จ้านเออร์ข้าเอาเสื้อผ้าของซือซือมาไว้ในห้องของเจ้านะ” บอกแล้วเดินเอาห่อผ้าไปใส่ไว้ในตู้เสื้อผ้าของลูกชาย “ซือซือเจ้าอยู่ดูแลสามีของเจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน น้อง ๆ ของเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าจะดูแลให้เอง วันนี้เจ้าไม่ต้องหาอาหารให้น้อง ถือว่าข้าเลี้ยงต้อนรับสะใภ้ก็แล้วกัน”
เอ่ยเพียงเท่านั้นนางถานก็เดินออกจากห้องของลูกชายไป ปล่อยให้เซี่ยซือซือยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่กลางห้อง ส่วนเจ้าของห้องนั้นทำเหมือนนางเป็นฝุ่นผงในอากาศ หันไปคัดตำราของตนเองต่อ
เจ้าเด็กหน้าตายนี่ !
“เอ่อ ข้าควรเรียกท่านว่าอย่างไร” นางทำใจกล้าเดินเข้าไปหาถานจ้านใกล้ ๆ แต่เขาไม่ตอบไม่รับรู้การมีตัวตนของนางด้วยซ้ำ
“พี่จ้าน”
“ท่านพี่”
“หรือว่า...สามี”
ถานจ้าน “...!”
มีปฏิกิริยาแล้วสินะ เจ้าไม่อยากได้ข้าเป็นภรรยา ข้าก็ไม่อยากได้เจ้าเป็นสามีเหมือนกัน แต่ข้ายังเด็กอยู่ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกกับน้อง ๆ ตอนนี้ยังไม่ได้ รอข้าร่ำรวยก่อนเถอะ !
ถานจ้านวางพู่กันในมือลง เงยหน้าขึ้นมามองภรรยาตัวน้อยของตนเอง สีหน้าใสซื่อเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอันใด ช่างขัดใจเขานัก “เรียกข้าว่าพี่จ้านก็พอ ส่วนสองคำนั้นอย่าได้คิด ซือซือเจ้าอายุสิบสามใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ”
“ยังเด็กเกินไป”
“ถูกของท่าน ข้านั้นยังเด็กอยู่ยังเข้าหอไม่ได้เจ้าค่ะ !”
ถานเจ้า “...!” เจ้าคิดไปถึงไหนกัน “เช่นนั้นเจ้ามีประโยชน์อันใดต่อข้า”
“ประโยชน์ ?” เซี่ยซือซือกะพริบตาปริบ ๆ
ไม่ใช่ท่านแม่ของเจ้าหรอกหรือที่ซื้อข้ามา ทำไมยามนี้กลายเป็นข้าต้องมามองหาประโยชน์ของตัวเองเสียแล้วล่ะ ประโยชน์ของข้านั้นเกินจะคณานับ เพียงแต่ข้าต้องใช้มันกับคนที่คู่ควรเท่านั้น เซี่ยซือซือคิดแล้วก็ปรายตามองไปที่ขาด้านซ้ายของเขา ตั้งแต่เข้าบ้านหลังนี้มานางยังไม่เห็นตอนเขายืน
ถานเจ้าชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ น้อยคนนักจะหาญกล้ามองขาข้างซ้ายของเขาตรง ๆ “ว่าอย่างไร ข้าถามว่าเจ้าทำอะไรได้บ้าง”
เซี่ยซือซือยกนิ้วขึ้นมานับระหว่างเฟ้นหาประโยชน์ของตัวเอง “ข้าปัดกวาดเช็ดถูได้ ทำอาหารได้ ซักเสื้อผ้าได้...” พลันสมองก็คิดต่อไม่ออก
“หยิบกระโถนด้วย” ถานจ้านต่อคำให้นางเอง
“หา หยิบกระโถน ?”
“ท่านแม่ให้เจ้ามานอนในห้องของข้า ต้องการให้เจ้าช่วยหยิบกระโถนให้ข้ายามค่ำคืน เพราะข้าเดินเหินไม่สะดวก”
เซี่ยซือซือ ” ...”
เกินไปแล้ว ! เจ้ามนุษย์หน้าตายผู้นี้ ต้องการให้นางหยิบกระโถนถ่ายหนักถ่ายเบาให้ตอนกลางคืนเช่นนั้นหรือ นางผงะอย่างตกใจเล็กน้อย
“ท่านป้าถานคงไม่ได้ซื้อข้ามาเป็นคนใช้ท่านใช่ไหม” นางอดถามออกไปตรง ๆ ไม่ได้
ถานจ้านกลอกตามองคนถามเล็กน้อย จากนั้นก็ระบายลมหายใจแผ่วเบาตามมา “ก่อนถึงวัยปักปิ่น[1]เจ้าย่อมเป็นคนใช้ไปก่อน”
เป็นคนใช้ไปก่อน ! เซี่ยซือซือโกรธจนหน้าดำคล้ำ เจ้าเด็กนี่อยากให้นางมาเป็นคนรับใช้ พอถึงอายุสิบห้าก็เลื่อนตำแหน่งเป็นภรรยา ไหนเลยจะมีเรื่องดีเช่นนั้น ขาของเจ้าข้าไม่รักษาให้แล้ว !
[1] พิธีปักปิ่น หรือ จี้หลี่ คือพิธีบรรลุนิติภาวะของเด็กสาว เป็นหญิงสาวเต็มตัว พร้อมที่จะออกเรือน พิธีจะจัดขึ้นเมื่อเด็กหญิงอายุครบ 15 ปี โดยการนำปิ่นปักผมมาเสียบบนเรือนผมที่รวบขึ้นมาไว้กลางศีรษะ