.
..
...
....
“ขอบคุณค่ะ”
“ดูแลตัวเองด้วยนะคะ ฉันมาส่งคุณได้เท่านี้คงต้องกลับแล้ว”
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
อินทิราโผเข้ากอดปราลีอย่างแนบแน่น จากนั้นทั้งสองสาวก็แยกย้ายกัน อินทิราจ้องมองตั๋วเครื่องบินที่อยู่ในมือด้วยความกังวลใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถอนหายใจเสียงดัง จากนั้นก็เดินเข้าไปยังเกตเพื่อรอขึ้นเครื่อง เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางนั่นคือเมืองแห่งแสงสีและการเสี่ยงโชค...ลาสเวกัส
การเดินทางที่แสนยาวนานของเธอได้ผ่านพ้นไปแล้ว หลังจากเครื่องบินแลนดิ้งลงผืนแผ่นดินประเทศที่มีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจการค้าโลกอย่างสหรัฐอเมริกา
ลงมาจากเครื่องแล้วอินทิราก็ชะเง้อมองหาป้ายชื่อตนเองท่ามกลางฝูงชนที่แน่นขนัด ไม่นานก็สะดุดตากับป้ายขนาดกลางๆ ที่อยู่ในมือหนุ่มหล่อคมเข้มตามฉบับหนุ่มละติน สวมชุดสูทสีเข้มดูเท่ไม่หยอก เห็นอย่างนั้นเจ้าหล่อนก็ยิ้มแล้วเดินเข้าไปหาโบกมือทักทายด้วยความดีใจ
“สวัสดีค่ะ ฉันอินทิราคนที่คุณมารอรับค่ะ”
“สวัสดีครับผม แอนดริวเป็นเลขาคุณบาสเตียน ท่านให้มารับคุณครับ” หนุ่มหล่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ขอบคุณค่ะ”
“เชิญทางนี้เลยครับ” แอนดริวผายมือให้ทางผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้ม
“ค่ะ”
ระหว่างนั่งรถลีมูซีนคันหรูมาด้วยกัน อินทิราก็เอาแต่นั่งเกร็งด้วยความตื่นเต้นปนตื่นตากับแสงสีของเมืองที่ผู้คนต่างกล่าวขานว่าเป็นเมืองบาป นั่นเพราะเมืองทั้งเมืองเจริญเติบโตขึ้นมาจากความก้าวหน้าของกิจการการพนัน ที่เป็นแรงดึดดูดให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา แต่ปัจจุบันนี้ได้มีการพัฒนาไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ศูนย์ประชุม ร้านอาหารและห้างสรรพสินค้า เป็นหนึ่งในจุดมุ่งหมายทางที่ผู้คนทั่วโลกต้องมาสักครั้งในชีวิต
โชคดีที่แอนดริวเป็นคนช่างพูดทำให้อินทิรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น สามารถคุยกับชายหนุ่มได้อย่างไม่เคอะเขินเหมือนตอนแรกที่เจอกัน
“ถึงแล้วครับ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นอินทิราก็มองผ่านกระจกรถออกไป ก็พบกับคฤหาสน์หรูสไตล์ยุโรปหลังใหญ่โต แค่นี้เธอก็รู้แล้วว่าเขาคนนั้นรวยมากขนาดไหน เจ้าหล่อนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะผ่อนออกมาอย่างช้าๆ เพื่อเรียกความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับนายจ้างที่เขายังไม่เคยเห็นแม้กระทั่งรูปร่างหน้าตา
ลงจากรถแล้วแอนดริวก็สั่งให้คนขับรถนำกระเป๋าหญิงสาวผู้มาใหม่ขึ้นไปเก็บในบ้าน ก่อนจะเดินนำหน้าอินทิราพาเดินเข้าไปด้านใน เพื่อไปพบกับผู้เป็นเจ้านายที่นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่น
“คุณแอนดริวทำงานกับคุณบาสเตียนนานรึยังคะ”
“ประมาณปีนึงแล้วครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ว่าแต่คุณรู้เรื่องฉันหรือเปล่าคะ” เธอเอ่ยถามไปตรงๆ เพราะหากแอนดริวรู้เรื่องแล้วจะได้ทำตัวถูก
“รู้สิครับ ถ้าเป็นเรื่องงานที่บอสสั่งให้ทำผมรู้หมดทุกเรื่อง เพราะผมเป็นเลขาเขานี่ครับ” ชายหนุ่มยิ้มให้
“ถ้างั้นคุณคงรู้เรื่องที่ฉันจะมาเป็นแม่อุ้มบุญแล้วสินะ” เธอเอ่ยออกไปตรงๆ
“แม่อุ้มบุญ!” ชายหนุ่มหน้าคมนัยน์ตาหวานหยุดชะงักด้วยความประหลาดใจ บาสเตียนไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขาเลย บอกเพียงแค่ว่าให้มารับพนักงานคนใหม่เท่านั้นเอง
“คุณยังไม่รู้เรื่องนี้เหรอคะ”
“ใช่ครับ บอสบอกผมแค่ว่าคุณเป็นพนักงานคนใหม่เท่านั้นเอง”
“ใช่ค่ะฉันเป็นลูกจ้างเขา ส่วนงานที่ฉันจะมาทำนั่นคือการเป็นแม่อุ้มบุญ”
“ผมยังงงเล็กน้อยว่าทำไมจู่ๆ บอสถึงได้อยากมีทายาท ทั้งๆ ที่ท่านยังไม่มี...” แอนดริวพูดยังไม่ทันจบป้าสมัยก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน
“อ้าว! มาถึงกันแล้วเหรอคุณบาสเตียนรออยู่ด้านในนานแล้วค่ะ”
ทั้งสองหันไปมองยังต้นเสียงพร้อมกัน
“กำลังจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ล่ะครับป้า” แอนดริวเอ่ยกับแม่บ้านสูงวัยที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
“สวัสดีค่ะป้า” เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนไทยด้วยกัน อินทิราจึงยกมือไหว้ตามมารยาท
“สวัสดีค่ะ ที่แท้แขกคุณบาสเตียนก็คือคุณนี่เอง แถมยังเป็นคนไทยอีกด้วย ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ป้าชื่อสมัยเป็นแม่บ้านที่นี่” ป้าสมัยเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“หนูชื่ออินทิราค่ะป้าเรียกหนูว่าอินก็ได้ ดีใจจังที่ได้เจอคนไทยด้วยกัน” อินทิราเริ่มใจชื้นขึ้นมาบ้างเมื่อรู้ว่าอย่างน้อยก็มีคนไทยอยู่ที่นี่ พอให้เธอได้พูดคุยสนทนาด้วยได้
“เข้าไปกันเถอะค่ะตอนนี้คุณบาสเตียนกำลังรออยู่นานแล้ว”
จากนั้นทั้งสามก็เดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่น ที่ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้กำลังนั่งคอรอยการมาถึงของหญิงสาวอย่างใจจดใจจ่อ
“คุณบาสเตียนคะมาถึงกันแล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นชายหนุ่มผู้ซึ่งนั่งสนใจแท็บเล็ตในมือ ก็ละสายตาขึ้นไปมองหน้าหญิงสาวที่เขาตั้งตารอมานานหลายวัน ใบหน้าเรียวรูปไข่ที่สวยละมุนทำเอาชายหนุ่มหัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ช่างคล้ายกับพลอยดาวเหลือเกินนั่นคือสิ่งที่มาเฟียหนุ่มคิดในใจ