ฉันกลับมานั่งข้างเซย์ แต่เราก็ไม่ได้คุยอะไรกันเลยเพราะต่างฝ่ายต่างเคืองกันโดยไร้สาเหตุ... มั้ง? เพราะฉันลืมไปแล้วว่าโกรธมันเรื่องอะไร เง้อๆ เปิดเพลงฟังดีกว่า
“โทรศัพท์!!”
เซย์ร้องลั่นเมื่อเห็นฉันดึงอุปกรณ์สื่อสารออกมาต่อหูฟัง อะไรของมันอีกล่ะ?
“ก็โทรศัพท์อะดิ แล้วทำไม?”
ฉันถามพลางสวมหูฟังไปพลาง ขณะที่เซย์ทำท่าเหมือนอยากลาตายกับคำตอบของฉัน ตกลงมันจะสื่ออะไร =_=
“ฟังนะแฟร์” เซย์ยื่นมือมาจับบ่าฉัน สีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก “ที่อยู่ในมือเธอน่ะ เราเรียกว่าอุปกรณ์สื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์ และมันสามารถใช้ติดต่อคนข้างนอกให้มาปล่อยเราสองคนออกไปจากที่นี่ได้”
“ก็ใช่ ถ้ายอดเงินในนี้ไม่ได้เหลือศูนย์สตางค์ -_-+”
“ก็แล้วทำไมไม่เติมตังค์เล่า ยัยเบ๊อะ!”
แล้วนายจะตะคอกฉันหาสวรรค์วิมานอะไรเล่า ไอ้ยอดมนุษย์ T^T!
พอเห็นฉันไม่ตอบโต้ (เพื่อสวัสดิภาพของตัวเองเพราะต้องติดอยู่กับมันอีกนาน) เซย์ก็นั่งเอกเขนกพาดขาบนโต๊ะเรียนแบบนักเลงมาก ต๊าย! หยาบคายที่สุด พรุ่งนี้ฉันจะฟ้องอาจารย์เลอลักษณ์ให้มันกราบโต๊ะ
แต่วันนี้ขอหุบปากให้สนิทไว้ก่อน ไม่งั้นอาจโดนมันฆ่าหมกถังขยะหลังห้องได้ แงๆ
“...”
เงียบได้อีก...
“ฟังป่ะ? เดี๋ยวถ้าฉันไม่กลับบ้านซะที แม่ก็โทรตามเองแหละ”
ฉันยื่นหูฟังอีกข้างให้เซย์ ก่อนยิ้มแหยเมื่อเพิ่งนึกได้ว่าหูข้างที่โดนกัดของหมอนั่นอยู่ชิดกับด้านที่ฉันนั่งพอดี คิดว่าเซย์จะปฏิเสธแต่เขากลับดึงหูฟังของฉันไปเสียบหูอีกข้างและเอาขาลงจากโต๊ะเลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้แบบเรียกว่าเบียดเลยดีกว่า เพราะตอนนี้ไหล่ฉันชิดอยู่กับแผงอกของเขา...
ตึกตัก... ตึกตัก...
ทำไมเสียงหัวใจฉันมันดังกว่าเสียงเพลงที่ดังเข้าโสตประสาทรับฟังโดยตรงได้ล่ะ? อ๊ากกก >///'เปรี้ยง!!! ซ่าา!
ฉันนั่งตัวแข็งทื่อด้วยความช็อกเมื่อจู่ๆก็เกิดเสียงฟ้าผ่าดังกึกก้องจนหูอื้อ ตามด้วยเสียงฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งผสานกับเสียงลมหวีดหวิวราวกับเสียงกระซิบของภูตพราย
ปัง! ปัง!
เสียงหน้าต่างที่อาจลงกลอนไม่สนิทจนกระแทกบานตามแรงลมทำให้เซย์ลุกวิ่งไปปิดหน้าต่างทันที ปล่อยให้ฉันนั่งอึ้งอยู่ที่เก่าด้วยความรู้สึกราวหัวใจกลายเป็นก้อนหิน...
ฉันหลับตาแน่น ยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างขวัญเสีย พยายามตะโกนเรียกเซย์แต่กลับไม่มีเสียงใดๆหลุดออกมาเลยสักคำ
เปรี้ยง!!
"กรี๊ดดดด"
"แฟร์!!?"
แรงเขย่าที่ต้นแขนและเสียงเรียกไม่ได้ทำให้สมองที่สั่นระริกของฉันคลายความหวาดหวั่นลงแม้แต่น้อย ฉันปิดเปลือกตา ก้มหน้าก้มตากรีดร้องเสียงดังและออกแรงผลักคนตรงหน้า พร้อมกับดีดตัวเองหนีมานั่งขดอยู่ข้างกำแพงเย็นยะเยียบ
ราวกับมีมือสีดำน่ารังเกียจกำลังยื่นมาหา
ความมืด...
เสียงฝน...
กำลังทำให้ฉันเป็นบ้า!
“แฟร์! เธอตั้งสติหน่อยสิ!!”
สองมือหนาที่ตะปบมายังไหล่ทำให้ฉันกรีดร้องหนักขึ้นและพยายามผลักไสเขาออกไป ...หากเพียงพริบตาก็กลับถูกฉุดจนตัวลอย และถูกอ้อมแขนแข็งแรงกอดไว้... ไม่นำพาว่าฉันจะทุบตีดิ้นรนอย่างไร กระทั่งที่ฉันเริ่มหมดแรง และหอบหายใจซบหน้าลงกับอกกว้าง... ที่ไม่รู้เลยว่าอุ่นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ความมืดยังคงปกคลุมรอบกาย
เสียงฝนยังคงโหมกระหน่ำราวแผ่นฟ้าจะพังทลายลงมา
หากแต่เสียงตึกตักของหัวใจที่ดังชิดใบหูกลับทำให้ฉันสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ...
ฉันสะอื้นน้อยๆ หากกำอกเสื้อเซย์ไว้ราวกลัวว่าเขาจะหนีหาย ความทรงจำเลวร้ายที่สุดที่ถูกจารจารึกในหัวใจค่อยคลี่คลายมลายไป
จริงสินะตอนนั้น...
เซย์เป็นคนฉุดฉันออกมาจากขุมนรกที่ฉันเป็นคนเหยียบย่างลงไปด้วยความไม่เดียงสาของตัวเอง...