บทที่ 5 : ข่าวร้าย (1)

1424 คำ
ขณะที่อิทธิฤทธิ์ก้าวมาหาเพื่อนเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น ส่งผลให้ร่างสูงสง่าต้องหยุดเดินเพื่อล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดู และเมื่อพบว่าเป็นสายจากทางตำรวจก็ต้องรีบกดรับสายทันที “ผู้กองครับ ตอนนี้ไอ้เซมาหนีออกจากคุกครับ” เสียงจากนายตำรวจผู้ร่วมทีมจับกุมอดีตปลัดหนุ่มอนาคตไกล ที่พ่ายแพ้ให้กับอำนาจเงินยอมขายตัวให้กับพ่อค้ายาเสพติดข้ามชาติเอ่ยรายงานด้วยน้ำเสียงเครียด ซึ่งคนฟังก็ขมวดคิ้วเครียดไม่ต่างกัน “หนีออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่! แล้วหนีไปได้ยังไง!” นัยน์ตาคมกริบหรี่แคบลง ระหว่างรอฟังคำตอบจากอีกฝ่ายเพื่อมาประมวลผล “เมื่อตอนกลางวันครับ ตอนที่เรากำลังจะนำตัวมันไปฝากขังที่ศาล มีกลุ่มวัยรุ่นทะเลาะวิวาทกันหน้าโรงพัก พอเจ้าหน้าที่เข้าไปห้าม มันก็เลยอาศัยจังหวะชุลมุนหนีไป ตอนนี้ยังตามตัวกลับมาไม่ได้ แต่น่าจะยังไปได้ไม่ไกลครับผู้กอง” “บ้าชิบ!” อิทธิฤทธิ์สบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อได้ฟังคำรายงานจากอีกฝ่าย ใจจริงอยากจะตำหนิความสะเพร่าของชุดควบคุมตัว ทว่าอีกใจกลับเข้าใจในกำลังเจ้าหน้าที่มีไม่เพียงพอเลยทำให้เกิดช่องโหว่จนคนร้ายเห็นช่องทางหลบหนีไปได้ แต่ทั้งนี้ทังนั้นคนฉลาดเป็นกรดและมีประสบการณ์มากอย่างอิทธิฤทธิ์เชื่อว่าเรื่องนี้จะต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง เพราะคงไม่มีเหตุบังเอิญเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทในวันที่จะเอาตัวไอ้เซมาไปฝากขังแน่ๆ “ผู้กองจะเอายังไงต่อครับ” ปลายสายเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผู้กองหนุ่มเงียบไปนาน จากที่ได้ร่วมงานกันมาได้สักพักทำให้รู้ว่าภายใต้ความเงียบขรึมเย็นชานั้นซ่อนความร้ายกาจไว้มากมายแค่ไหน ยิ่งเมื่อคิดถึงสายตาคมกริบนิ่งลึกคู่นั้นแล้วก็ทำให้รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาอย่างกะทันหัน “เราจะล่าตัวมันอีกครั้ง และครั้งนี้ฉันจะไม่ใจดีกับมันเหมือนครั้งก่อนแน่!” อิทธิฤทธิ์ประกาศเสียงเหี้ยมเกรียมในตอนท้าย แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่สำหรับคนที่ถูกหมายหัวไว้ …………………………………………… “เซมาหนีออกจากคุก!” นายอำเภอหนุ่มร้องถามเสียงหลงด้วยความตกใจปนกังวล เพราะไม่ใช่เรื่อง่ายที่จะจับกุมอดีตเจ้าหน้าที่รัฐที่มีทั้งความรู้และเชี่ยวชาญในพื้นที่ป่า กว่าจะจับตัวมันส่งตำรวจได้นั้นก็ต้องวางกับดักและใช้เวลานานเป็นเดือนๆ “คราวนี้ถ้าฉันเจอตัวมัน ฉันจะไม่ปล่อยให้มันมีลมหายใจแน่ นายทำใจไว้เลยไอ้ศรัณ” ที่อิทธิฤทธิ์พูดแบบนั้นเพราะในอดีตเซมากับศรัณเป็นคู่หูในการปราบปรามพ่อค้ายาเสพติดด้วยกัน ทว่าวันหนึ่งเมื่อเซมาหลงผิดยอมขายศักดิ์ศรีให้กับพ่อค้ายานรกเพื่อแลกกับจำนวนเงินมหาศาลทำให้สองหนุ่มคู่หูได้แตกหักกันตั้งแต่นั้นมา แต่กระนั้นศรัณก็ยังใจดีจับอดีตคู่หูเข้าคุกโดยหมายจะให้กระบวนการยุติธรรมตัดสินความผิดที่มันได้ก่อขึ้น ทว่าเมื่อมันไม่สำนึกและคิดจะหนีความผิดอยู่ คนที่เกลียดขบวนการยานรกเข้ากระดูกดำอย่างอิทธิฤทธิ์จะเป็นคนตัดสินชีวิตมันให้เอง “นายจะใช้วิธีไหนก็แล้วแต่นายเถอะไอ้อิท แต่ก่อนทำอย่างที่ใจต้องการฉันกับนายก็ต้องไปหาพ่อเฒ่าซามูเพื่อแจ้งข่าวนี้กับท่านก่อน” พ่อเฒ่าซามูผู้นำจิตวิญาณที่ชาวบ้านผาตะวันต่างให้ความนับถือ โดยเฉพาะชาวบ้านที่นี่ที่มีความเชื่อและนับถือภูตผีเป็นหลัก และที่สำคัญไปกว่านั้น พ่อเฒ่าซามูยังเป็นบิดาแท้ๆของเซมา ถึงแม้ว่าท่านจะตัดขาดจากลูกชายผู้หลงผิดไปนานแล้วก็ตาม “อืม” อิทธิฤทธิ์พยักหน้าเห็นด้วย เพราะพ่อเฒ่าซามูเปรี่ยบเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่เขาให้ความเคารพนับถือ ถูกก็ว่าไปตามถูก ผิดก็ว่าไปตามผิด ถึงแม้ว่าคนๆนั้นจะเป็นสายเลือดโดยตรงก็ไม่มีการละเว้น นี่เลยทำให้เจ้าหน้าที่อย่างพวกตนที่มาปฏิบัติภารกิจอยู่ที่นี่ ยังคงเชื่อในความดีและศรัทธาในความยุติธรรมอยู่นั่นเอง “พวกนายสองคนจะทำอะไรก็ระวังตัวด้วยก็แล้วกัน แต่ถ้ามีอะไรเกินกำลังก็บอก ฉันจะได้หาทางช่วยอีกแรง” ภูมินทร์ที่นั่งฟังเพื่อนทั้งสองคุยกันอยู่นานเอ่ยบอกด้วยความเป็นห่วง เพราะถึงเขาจะมาปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการผจญไฟป่าเป็นหลัก แต่ก็ทราบดีว่าอำเภอเล็กๆที่อยู่ติดขอบชายแดนแห่งนี้เป็นเส้นทางลำเลียงขนยานรกของพ่อค้ายาเสพติข้ามชาติ ฉะนั้นนอกจากงานดับไฟป่าที่เสี่ยงอันตรายแล้วยังต้องระวังกลุ่มพ่อค้ายาอีกด้วย “ขอบใจมาก แต่ไม่ต้องห่วงหรอก พวกฉันสองคนจัดการกันเองได้ ไว้ต้องการลูกทีมเพิ่มเมื่อไหร่จะขอแรงนายมาเสริมเอง” “ยินดีและเต็มใจมากครับเพื่อน” ภูมินทร์บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนจะหันมาทางนายแพทย์หนุ่มที่นั่งกระดกเหล้าเข้าปากอย่างเงียบๆเป็นผู้ฟังที่ดี “ส่วนนายไอ้หมอ ช่วงนี้ก็โทรไปเคลียร์ใจกับคนรักซะ แต่ถ้ามีอะไรให้พวกฉันช่วยก็บอกได้เลยนะเพื่อน” “ไม่เป็นไร เรื่องของฉันไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก” เจษฎาปฏิเสธความช่วยเหลือ เพราะสำหรับเขาแล้วเรื่องปัญหาหัวใจคงไม่หนักหนาเท่าปัญหาล่าตัวคนร้ายเหมือนที่เพื่อนกำลังคุยกันอยู่ “แน่ใจนะว่าพักนี้ไม่ได้แอบร้องไห้อยู่คนเดียว” คราวนี้ศรัณเลิกคิ้วถามเปลี่ยนจากการคุยเรื่องเครียดๆมาเป็นเรื่องเบาสมอง ซึ้งไม่พ้นการแซวเพื่อนอีกจนได้ “บ้า! ไม่มี” เจษฎาปฏิเสธเสียงแข็ง หันมามองสบตากับเจ้าของคำถามเพียงแวบเดียวก่อนจะก้มหน้าให้ความสนใจกับแก้วเหล้าต่อ “นายโกหกไม่เก่งเลยรู้ตัวหรือเปล่าไอ้หมอ” “ใช่ หน้าตานายมันฟ้องว่านายอาการหนัก” อิทธิฤทธิ์เสริมด้วยอีกคน เพราะสังเกตอาการของเพื่อนมาสักพักแล้ว ถึงเจษฎาจะนิ่งๆพูดน้อยตามสไตล์ แต่สีหน้าและอาการก็ฟ้องชัดเจน “ท่าทางฉันมันฟ้องชัดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”เจษฎาย้อนถามเสียงเอื่อยๆ และก็ได้รับคำตอบกลับจากภูมินทร์ “ก็มากเอาการอยู่นะฉันว่า” “ก็ธรรมดาป่าววะ ผู้หญิงคนเดียวที่คิดวางแผนแต่งงานด้วย แต่จู่ๆก็ประกาศเป็นแฟนกับคนอื่น เป็นใครก็ต้องรู้สึกเจ็บเป็นธรรมดา” “แต่งงาน!”ภูมินทร์เป็นคนอุทานเสียงดังลั่น วินาทีต่อมาเป็นเสียงของอิทธิฤทธิ์ที่เอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “นี่ถึงขั้นคิดจะแต่งงานเลยเหรอวะไอ้หมอ ทำไมนายไม่เล่าให้พวกฉันฟังบ้าง แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครเล่าให้ฟังหน่อยไม่ได้หรือไงวะเพื่อน” “เสียใจด้วยนะเพื่อน มันยังไม่ถึงเวลาฉันไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้” “ให้ตายเถอะ! นายกำลังทำให้ต่อมเผือกพวกฉันทำงาน แล้วจู่ๆก็ตัดจบแบบนี้เนี่ยนะ!” ภูมินทร์สบถเสียงดังลั่น ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาแรงๆอย่างขัดใจ คราวนี้ก็อดรู้กันไปเลยว่าใครคือผู้หญิงใจร้ายคนนั้นที่กล้าทำร้ายจิตใจผู้ชายเพรียบพร้อมอย่างเจษฎา “เอาน่าเพื่อน ถ้าไอ้หมอไม่อยากเล่าพวกนายก็อย่าไปเซ้าซี้มันเลยนักเลย ตอนนี้เราควรเอาใจช่วยให้มันเคลียร์ปัญหาใจของมันได้สำเร็จก่อนดีกว่านะ” ศรัณพูดขึ้น เพื่อที่จะให้พายุลูกใหญ่ที่กำลังก่อตัวขึ้นสงบลง และก็ได้ผล “อืม…ฉันเห็นด้วย”อิทธิฤทธิ์พยักหน้าสนับสนุน ก่อนที่จะรินเหล้าให้กับเพื่อนๆ “เรามาชนกันดีกว่า ชน!” พูดแล้วทุกคนก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาชนพร้อมกัน ก่อนจะกระดกเข้าปากรวดเดียวหมด คอแข็งพอๆกัน จากนั้นไม่นานอาหารเย็นก็ดำเนินต่อไปโดยมีสองสาวมานั่งร่วมวงด้วย แต่เมื่อทานอาหารเสร็จสองสาวก็ขอแยกตัวกลับเข้าไปพักผ่อน เหลือไว้เพียงหนุ่มๆที่ยังคงนั่งดื่มกันต่อ จนเวลาล่วงเลยผ่านไปเท่าไหร่มิอาจทราบได้ ……………………………….………………
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม