บทที่ 2 : ถึงเวลาลุย (1)

1653 คำ
สี่ปีต่อมา… ณ อำเภอผาตะวัน อำเภอเล็กๆในหุบเขาที่อยู่ติดขอบชายแดนไทย-เมียนมาร์ทางตอนเหนือของประเทศไทย มีรถเก๋งยี่ห้อหรูกำลังมุ่งหน้าสู่ถนนลูกรังแคบๆ ที่คดเคี้ยวไปมา จุดหมายคือหน่วยทหารที่ตั้งอยู่บนยอดดอยสูงห่างไกลจากตัวอำเภอผาตะวันไปเกือบสามสิบกิโลเมตร ดูเหมือนคนที่ขับขี่ไม่ค่อยจะชำนาญทางอย่างที่คุยโอ้อวดไว้แต่ทีแรก ส่งผลให้สาวน้อยเจ้าของรถหรูที่นั่งอยู่ข้างๆเริ่มที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เธอไม่ได้กลัวว่ารถคันหรูของเธอจะพังเพราะถูกก้อนหินกระแทกใส่เป็นพักๆ เนื่องจากพื้นรถต่ำเกินไป เพราะเธอมีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าซ่อมรถ หรือถ้ามันอาการหนักเกินกว่าที่จะซ่อมได้ การเปลี่ยนคันใหม่เป็นสิ่งที่เธอจะทำ แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดอยู่ตอนนี้ เห็นจะเป็นความเร็วของรถที่ไม่ต่างกับเต่าคลานดีๆนี่เอง ขืนขับในความเร็วระดับนี้มีหวังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางอย่างที่ตั้งใจไว้อย่างแน่นอน “ขับเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหมไชยา เดี๋ยวก็มืดก่อนถึงหน่วยหรอก” สาวน้อยหันมาเร่งหนุ่มน้อยคู่หู ที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาหมุนพวงมาลัยด้วยความระมัดระวัง ขณะเดียวกันดวงตาก็เพ่งเล็งไปที่ถนนข้างหน้าอย่างไม่ละสายตา เพราะเกรงว่าหากเลี้ยวผิดแค่นิดเดียวจะพุ่งลงเหวไปเสียก่อน แต่ยังไม่ทันไร… “กรี๊ด!!!” ชนิกานต์กรีดร้องสุดเสียงด้วยความตกใจสุดขีด มือเล็กรีบตะครุบแขนเด็กหนุ่มไว้เมื่อรถเสียหลักพุ่งลงข้างทาง “นายขับรถยังไงเนี่ย! ไชยา เกือบตกเหวแล้วไหมล่ะ!” เมื่อหายจากอาการใจหายใจคว่ำ สาวน้อยก็หันมาเหวใส่สารถี่หนุ่มด้วยสายตาเขียวปัด เพราะเมื่อกี้หากอีกฝ่ายเหยียบเบรกไม่ทัน เธอไม่ยากจะคิดเลยว่าสภาพของทั้งคู่ตอนนี้จะเป็นยังไง “ขอโทษครับคุณหนู ก็ถนนมันแคบ แถมยังคดเคี้ยวอย่างกับงูเลื้อยแบบนี้ถึงเซียนแค่ไหนก็พลาดได้อยู่ดี” “ก็ไหนนายบอกว่าเคยมาแล้วไง” “ครับ ผมเคยมา แต่ตอนนั้นผมไม่ได้เป็นคนขับรถเองนี่ครับ พอลงจากเครื่องบินผู้กองก็ให้คนไปรับถึงในตัวเมือง ไม่ได้ขับรถเองสักหน่อย” “นี่นายกำลังจะบอกว่าฉันผิดที่ไม่ยอมโทรบอกพี่อิทว่าจะมาที่นี่ใช่ไหม!” ‘ถ้าคุณหนูโทรบอกก่อน เราก็คงไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเองแบบนี้แบบนี้หรอกครับ’ ไชยาอยากจะบอกไปแบบนั้น แต่เมื่อเห็นแววตาเขียวปัดที่เธอส่งมา เขาเลยทำได้เพียงยิ้มแห้งๆแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่านะครับ ผมไม่ได้หมายถึงแบบนั้นสักหน่อย” “แล้วไหนนายโอ้อวดนักหนาว่าเป็นนักแข่งรถไง อยู่กรุงเทพนายชอบนัดแข่งกับเพื่อนไม่ใช่เหรอ นายก็เอาวิชามาลองที่นี่เลยสิ” “แข่งในสนามกับทางแบบนี้มันคนละเรื่องกันเลยนะครับคุณหนู นี่มันถนนปรับเซียนชัดๆ” ได้ยินคำตอบของอีกฝ่ายแล้ว หัวใจชนิกานต์อ่อนยวบลงไปอย่างถนัด คิดแล้วอยากจะตบหน้าผากตัวเองแรงๆที่ตัดสินใจผิดเลือกเดินทางกันมาตามลำพังเพียงสองคน นี่ถ้าเธอจ้างชาวบ้านที่ชำนาญทางมาส่งตั้งแต่ทีแรกก็คงไม่เป็นแบบนี้ ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าถนนจะแคบและคดเคี้ยวแบบนี้ เห็นไชยาเล่าว่าเป็นถนนที่ท้าทายดีก็เลยอยากรู้อยากลองตามแบบฉบับคุณหนูชอบลองของ เพราะเห็นว่าช่วงนี้มหาวิทยาลัยของไชยากำลังปิดเทอม ส่วนตัวเองนี้ก็เพิ่งเรียนจบและกลับจากอเมริกา เลยชวนเด็กหนุ่มคู่หูเดินทางมาที่นี่ ก่อนมาก็ขออนุญาตแม่บ้านประจำคฤหาสน์ไว้เรียบร้อย ยกเว้นแจ้งกับบิดามารดาของตัวเอง เพราะหากท่านทราบว่าเธอจะเดินทางมาที่นี่คงไม่อนุญาตเป็นแน่ “อ้าว..เฮ้ย เป็นอะไรอีกเนี่ย!” ไชยาอุทานเบาๆ พร้อมกับสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ แต่ลองอยู่สองสามทีไม่ติดก็เลยหันมาทางคู่หูข้างกาย “ไชยาฉันไม่มีอารมณ์เล่นแล้วนะ อีกไม่ถึงชั่วโมงตะวันก็จะตกดินแล้ว” “ผมเปล่าเล่นนะคุณหนู แต่รถมันสตาร์ทไม่ติดจริงๆ” “นายไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหม” “ผมจะล้อคุณหนูเล่นทำไมละครับ ผมก็อยากพักเต็มแก่แล้วเหมือนกัน ตั้งแต่ออกจากกรุงเทพแล้วยิงตรงมาที่นี่ ผมได้งีบแค่ไม่กี่นาทีเองนะครับ” ไชยาพูดความจริง เพราะตั้งแต่ขับรถจากกรุงเทพมาก็สับเปลี่ยนกับสาวน้อยขับมาตลอดทาง แต่เขาเป็นคนขับเสียส่วนใหญ่ “น้ำมันก็ไม่หมดนี่ แล้วเป็นอะไรของมันวะ” หลังจากดูเข็มน้ำมันไชยาก็บ่นอุบ พร้อมเปิดประตูรถลงมาดู โดยมีสาวน้อยเดินตามลงมาติดๆ “เดี๋ยวผมขอวินิจฉัยอาการมันก่อนนะครับคุณหนู” พูดจบก็เดินอ้อมมาเปิดฝากระโปรงรถดู ราวกับผู้เชี่ยวชาญที่กำลังตรวจหาสาเหตุอาการเสียของเครื่องยนต์ “นายดูเป็นใช่ไหมไชยา” คนที่ได้แต่ช่วยลุ้นอยู่ใกล้ๆเอ่ยถามเพื่อสร้างกำลังใจให้กับตัวเองแต่คำตอบที่ได้กลับมา ทำเอาสาวน้อยรู้สึกใจแป้วลงไปถนัด “ไม่เป็นหรอกครับ” “อ้าว! แล้วจะทำยังไงกันล่ะทีนี้ นี่มันจะมืดแล้วนะไชยา จะไปถึงหน่วยกันไหมเนี่ย” สาวน้อยเริ่มโวยวายด้วยความแตกตื่น ส่งผลให้เด็กหนุ่มต้องรีบยกมือขึ้นมาปรามไว้ “ใจเย็นๆนะครับคุณหนู เรายังมีทางเลือกอื่น” ว่าแล้วก็ดึงโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋ากางเกงยีนส์ออกมากดโทรออก แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อมีแต่เสียงที่ดังตุ๊ดๆๆ!! กลับมา ไชยา กวาดสายตามองหน้าจอโทรศัพท์แล้วหันมายิ้มเหยๆให้สาวน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมเอ่ยบอก “ไม่มีคลื่นโทรศัพท์ครับคุณหนู” ได้ยินแบบนั้นชนิกานต์ก็รีบดึงโทรศัพท์ของตัวเองจากในกระเป๋าสะพายใบหรูออกมาเช็กดูคลื่นโทรศัพท์ของตัวเองบ้าง แต่แล้วก็พบว่ามันไม่มีคลื่นสักขีดเหมือนกัน “อ้าวเฮ้ย! อะไรมันจะซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้วะเนี่ย!” สองหนุ่มสาวเริ่มมีสีหน้ากังวล เพราะตอนนี้ใกล้จะมืดแล้ว หากไม่มีใครผ่านมาแถวนี้มีหวังได้ติดแงกอยู่กลางป่ากลางเขานี้ทั้งคืนแน่ คิดแล้วสาวน้อยก็ทำท่าขนลุกเมื่อคิดว่าอาจจะมีสัตว์ร้ายที่น่ากลัว หรือไม่ก็โจรป่าหน้าตาเหี้ยมโหดอยู่แถวนี้ แต่ทันใดนั้นก็เหมือนสวรรค์มาโปรดเมื่อมีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึมขึ้นมาจากเชิงเขาตรงมาที่ทั้งสอง สองหนุ่มสาวหันมายิ้มให้กันอย่างมีความหวังก่อนที่จะรีบเดินไปขอความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ไม่นานรถจี๊ปสีเขียวหลังคาผ้าใบคันใหญ่ก็ปรากฏขึ้น แล้วมาหยุดอยู่ข้างหลังรถเก๋งสีขาวคันหรู คนขับเปิดประตูรถลงมา พาร่างสูงสง่ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ทำให้สองหนุ่มสาวต้องฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ เพราะคนที่มายืนอยู่ตรงหน้าคือ หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษเสือไฟหรือในชื่อภูมินทร์ เพื่อนสนิทของอิทธิฤทธิ์ที่มาปฏิบัติภารกิจดับไฟป่าในพื้นที่แห่งนี้ในช่วงฤดูร้อนนั่นเอง “น้องแพท!” บุรุษร่างสูงสง่าตรงหน้าเรียกชื่อสาวน้อยพลางเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความแปลกใจที่บังเอิญได้มาเจอน้องสาวบุญธรรมของเพื่อนสนิทกลางเขากลางดอยแบบนี้ นี่ก็สี่ปีแล้วที่เข้าไม่ได้เจอเด็กสาวตั้งแต่วันเลี้ยงส่งเธอไปเรียนต่อเมืองนอก ไม่น่าเชื่อว่าสาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มวันนั้นได้กลายเป็นสาวเต็มตัว แถมยังสวยสะพรั่งไปทั่วทั้งเรือนร่างแบบนี้ “สวัสดีครับ/ค่ะ” ทั้งสองรีบยกมือไหว้ผู้มาใหม่ ด้วยท่าทางดีใจอย่างปิดไม่มิด “น้องแพทจะไปไหนครับ!” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถาม พลางกวาดสายตามองทั้งสองสลับกับรถหรู พร้อมเดาว่ารถต้องเสียอย่างแน่นอน อันที่จริงถนนแบบนี้ไม่เหมาะกับรถหรูราคาหลายล้านเลยแม้แต่น้อย เพราะนอกจากจะทำให้รถสวยๆพังแล้วยังไม่สามารถขึ้นดอยสูงๆได้อีกด้วย “แพทจะไปหาพี่อิทค่ะ แต่รถของแพทเสีย หัวหน้าช่วยพาไปหน่อยนะคะ” เสียงหวานออดอ้อนเห็นแล้วก็ทำให้ใจอ่อน แต่กระนั้นภูมินทร์ก็ยังไม่หยุดถาม “พี่พาไปได้ แต่ที่มาเนี่ย! ไอ้ผู้กองนั่นมันทราบหรือยังว่าน้องแพทจะมาหา” “ไม่ค่ะ แพทไม่ได้บอกพี่อิทไว้ว่าจะมา” “ว่าแล้ว ถ้ามันรู้ก็คงจะไม่ให้มาแน่ๆ” ภูมินทร์ส่ายหน้าไปมาช้าๆด้วยความรู้สึกอ่อนอกอ่อนใจ เขาพอจะทราบมาบ้างว่าชนิกานต์นั้นเอาแต่ใจ และบ้าบิ่นแค่ไหน แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะกล้ามาถึงขอบชายแดนโดยที่ไม่แจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้า นี่เธอจะรู้หรือเปล่าว่าเส้นทางนี้มันอันตรายกว่าที่คิด เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเพื่อนสนิทเขาทราบเรื่องอะไรจะเกิดขึ้น แต่ไม่ว่าจะยังไงตอนนี้ก็ใกล้จะมืดแล้ว สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็เพียงไปส่งเธอให้ถึงที่หมาย และภาวนาให้อิทธิฤทธิ์ใจเย็น และพูดจากับเธอดีๆเท่านั้นเอง ………………………………………………
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม