บทที่ 4

1689 คำ
การประชุมของผู้บริหารระดับสูงในบริษัทดำเนินไปอย่างเข้มข้นร่วมหลายชั่วโมง จนกระทั่งบ่าย จึงยุติการประชุมอันเคร่งเครียดลงได้ เมฆีกลับมาห้องทำงานตัวเองแล้วนั่งแผ่ลงบนเก้าอี้ด้วยความอ่อนเพลียและเมื่อยขบไปทั้งตัว เขาต้องใช้ความคิดอย่างหนักในการร่างข้อเสนอคร่าวๆ ในเวลากระชั้นชิด เพื่อให้ทุกคนได้ลงความเห็นและกระจายแผนงานนั้นไปต่อยอดให้เข้ากับแผนงานของตน            ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ไม่เลวนัก แต่ก็ไม่ดีเท่าที่ควร...            ไม่ใช่ว่าทุกคนหรอกจะทำงานเต็มที่เหมือนอย่างเขา            “เป็นไงบ้างคะบอส...ดูท่าทางเหนื่อยแย่เลย”            “ออ...คุณเปรม ผมขอชาร้อนแก้วนึงนะ” เขาผงกศีรษะขึ้นมากล่าวกับเลขาหน้าห้องที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมคำทักทาย            “ได้ค่ะบอส บอสอยากทานอะไรด้วยไหมคะเดี๋ยวเปรมจัดการให้”            “ขอผลไม้สักจานกับชาก็พอ ผมไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”            “ได้เลยค่ะ” เปรมรตียิ้มให้เจ้านายของตนแล้วเปิดประตูออกไปด้านนอกอีกครั้ง หล่อนคิดว่าบอสของหล่อนคงอยากใช้เวลาส่วนตัวสักครู่หลังจากฝ่าสรภูมิการประชุมอันหนักหน่วงกลับมา            ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมฆีรู้สึกปวดขมับขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขารู้ว่ามันเป็นผลข้างเคียงมาจากความเครียดสะสม และการพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่เขาก็ไม่อาจละทิ้งหน้าที่ของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือว่าเรื่องครอบครัว เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อดูแลทุกอย่างอย่างจริงจังเสมอ            “บอสคะ...ผลไม้กับชาค่ะ” เปรมรตีเปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้หล่อนไม่ได้มาคนเดียว แต่มีเด็กสาวในชุดนักศึกษายืนอยู่ข้างๆ ถือถาดของว่างของเขาอยู่            “ใครกันคุณเปรม...หลานเหรอ”            “เปล่าค่ะบอส น้องนักศึกษาฝึกงานไงคะ ที่วันก่อนบอสเซ็นรับเขามาฝึกงานกับเราไง น้องเขามาฝึกงานวันนี้วันแรกค่ะ เปรมเลยให้มาช่วยจัดเอกสาร แล้วก็ช่วยหยิบโน่นหยิบนี่ไปก่อน” หล่อนบอกพลางเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของเขา ชายหนุ่มเปลี่ยนอิริยาบถเล็กน้อย            “อ๋อ...”            “น้องชื่อราดาค่ะ ชื่อเล่นชื่อช่อ”            “...” เด็กสาววางถาดของว่างลงบนโต๊ะแล้วยกมือไหว้เมฆี หล่อนยิ้มประหม่าและไม่กล้ามองหน้าเขา            “ตั้งใจทำงานนะ...อย่าเหลวไหลเหมือนคนก่อนๆ ล่ะ” เขาดึงถาดเข้ามาใกล้ตัวแล้วแล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ผ่อนคลาย            “ค่ะ...”            “อย่าดุน้องสิคะบอส แหม่...เดี๋ยวเด็กก็ตกใจเสียขวัญพรุ่งนี้ไม่กล้ามาทำงานกันพอดี”            “หึ...” เขายิ้มเบาๆ แล้วส่ายหน้ากับคำสัพยอกของเปรมรตี ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะเขาแหละหล่อนมีความสนิทกันพอสมควร เปรมรตีเป็นผู้หญิงเก่ง ขยัน ฉลาด หล่อนเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีสำหรับเขา            “ไปค่ะๆ น้องช่อ เดี๋ยวพี่เปรมจะเทรนงานให้ มีอะไรไม่เข้าใจถามพี่ได้เลยนะคะ” หล่อนจูงมือนักศึกษาสาวเดินออกไปด้วยท่าทีกระฉับกระเฉงปราดเปรียว ผิดกับผู้ตามลิบลับที่อิดออดอ้อยสร้อยแทบก้าวย่างไม่ทัน            “จะไหวไหมเนี่ยคุณเปรม...เด็กสมัยนี้เหยียบขี้ไก่ไม่ฟ่อกันทั้งนั้น” ชายหนุ่มกล่าวพลางส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรนัก เพราะบริษัทของเขามีนโยบายรับนักศึกษาเข้ามาฝึกงานหาประสบการณ์อยู่แล้วทุกปี เพื่อเป็นใบเบิกทางให้กับเด็กรุ่นใหม่ได้มีประสบการณ์ และบางครั้งหากเด็กทำงานดีก็จะรับเข้ามาเป็นพนักงานอย่างเต็มตัวเลย ซึ่งมีน้อยมาก....            สี่ห้าปีหลังๆ มานี้แทบคนตั้งใจทำงานจริงๆ จังๆ เป็นเด็กรุ่นใหม่ไฟแรงไม่ได้เลย เป็นลูกคุณหนูบ้าง รักอิสระไปตามความฝันของตัวเองบ้าง ไม่ก็ไม่เอาถ่านไปเลย                        “น้องช่อเรียงแฟ้มนี้ให้พี่นะคะ ตามลำดับ A-Z ถ้า A-1 ก็เอาไว้ก่อนหน้า A-2 จำได้ไหม ไม่ต้องรีบหรอก วันนี้คงไม่เสร็จแน่นอน ค่อยๆ ทำไปนะ” เปรมรตีแนะนำการทำงานง่ายๆ ให้กับนักศึกษาฝึกงานคนใหม่ หล่อนรู้สึกถูกชะตาเป็นพิเศษเพราะราดาดูเป็นเด็กเรียบร้อย ว่านอนสอนง่าย แม้บางครั้งจะแอบเหม่อและมีสีหน้านิ่งเศร้าอยู่ตลอดเวลา แต่หล่อนก็เอ็นดูอยู่ไม่น้อย            “ค่ะพี่เปรม...”            “น้องช่อเครียดอะไรหรือเปล่าจ๊ะ คุยกับพี่ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ พี่ไม่อยากให้น้องๆ รู้สึกแย่กับการมาฝึกงานเดี๋ยวจะเป็นบาดแผลไปจนถึงตอนเรียนจบแล้วได้ทำงานจริงจัง”            “ไม่นี่คะ ทำไมเหรอคะ...ช่อแค่ไม่คุ้นกับสถานที่แล้วก็ทุกคนเท่านั้นเอง พี่เปรมดีกับช่อมากค่ะ อีกวันสองวันช่อคงปรับตัวได้ดีกว่านี้” เด็กสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มน้อยๆ แล้วก็หันหน้ากลับไปทำงานของตัวเองย่างตั้งใจที่หน้าชั้นวางแฟ้มเอกสาร            “เราเป็นเด็กเรียนเก่งเหมือนกันนะเนี่ย...เกรดเฉลี่ยล่าสุดเกือบสี่จุดศูนย์ศูนย์เชียว” เปรมรตีก้มลงมองประวัติที่หล่อนกำลังรวบรวมเพื่อจะได้ให้คะแนนการฝึกงานในภายหลัง อดที่จะภูมิใจแทนผู้ปกครองของเด็กคนนี้ไม่ได้ที่มีลูกสาวทั้งสวยทั้งเก่ง เฉลียวฉลาดและเรียบร้อยน่ารัก ในยุคสมัยนี้ถือว่าเป็นไปได้ยาก เนื่องจากสังคมและสิ่งเร้ามันเปลี่ยนไป นำพาให้เด็กรุ่นใหม่ ‘เสียคน’ ก่อนวัยอันควร            “ที่บ้านช่อเขาตั้งความหวังไว้กับช่อมากค่ะ”            “ช่อก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวังเลยนะ”            “ก็...ช่อไม่มีทางเลือกนี่คะ” น้ำเสียงเรียบปนเศร้าของหล่อนทำให้เปรมรตีละสายตาจากหน้ากระดาษแล้วหันมอง เด็กสาวยังคงเรียบเรียงเก็บแฟ้มที่วางระเกะระกะอยู่บนพื้นเข้าชั้น ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่รีบร้อน มีสมาธิกับการทำงาน แต่มีบางอย่างครอบคลุมอยู่จนหล่อนเองรู้สึกอึดอัดใจแทน            “แม้จะเพิ่งรู้จักกันแค่วันเดียว แต่พี่ก็เชื่อว่าช่อเป็นเด็กดีคนหนึ่ง”            “ขอบคุณนะคะพี่เปรม...พี่เปรมน่ารักจังค่ะ” หล่อนหันมายิ้มกับรุ่นพี่ที่ช่วยหล่อนฝึกงาน นี่คงเป็นยิ้มแรกและความรู้สึกแรกที่ทำให้แสงสว่างส่องเข้าถึงใจหล่อน            หลายคนบอกว่าการฝึกงานเป็นอะไรที่โหดหินและน่าเบื่อ แต่สำหรับราดาหล่อนอาจโชคดีกว่าใครหลายคนเหล่านั้น เพราะได้สถานที่ฝึกงานและพี่เลี้ยงที่ใจดีอย่างเปรมรตี หล่อนจึงไม่ได้รู้สึกอึดอัดและเกร็งมากนัก                       นักศึกษาสาวชั้นปีที่สี่ของมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังที่ไร้ตำหนิด่างพร้อยไม่ว่าเรื่องไดๆ ทั้งรูปลักษณ์หน้าตา พื้นฐานครอบครัวและกิริยาวาจา หล่อนเติบโตมาจากครอบครัวที่เข้มงวดทุกกระเบียดนิ้ว บิดาเป็นข้าราชการทหารปลดเกษียณแล้ว ส่วนมารดาจบด๊อกเตอร์และเคยเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ สังคมของครอบครัวจึงค่อนข้างกว้างขวาง และหล่อนเป็นบุตรีเพียงคนเดียวจึงถูกจับตามองจากคนรอบด้านเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างการแต่งตัวก็ตาม            พ่อและแม่ของหล่อนต้องการให้หล่อนเด่น เก่ง มีความสามารถรอบด้านเพื่อจะได้เป็นที่เชิดหน้าชูตา ตั้งแต่จำความได้หล่อนต้องทำอะไรมากมายอย่างที่เด็กในวัยเดียวกันไม่ทำ ตื่นเช้าไปเรียนกวดวิชา ว่ายน้ำ เรียนดลตรี เต้นรำ แม้แต่งานบ้านงานเรือน ทำขนม หล่อนก็ทำเป็นหมดทุกอย่าง ในตอนที่หล่อนยังเป็นเด็ก ราดาไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำอะไรเกินเด็กไปตั้งมากมาย หล่อนคิดว่าเด็กทุกคนก็ต้องฝึกฝนเฉกเช่นที่หล่อนทำ จนกระทั่งหล่อนเติบใหญ่พอถึงได้เข้าใจ ว่าทุกอย่างมันกลับกันหมด สิ่งที่เด็กคนอื่นๆ ได้เรียนรู้ เล่น ไปตามวัยต่างหากที่หล่อนไม่เคยได้ทำ          หล่อนไม่เคยมีของเล่น ไม่รู้จักเครื่องเล่น ไม่เคยไปสวนน้ำ ไม่มีแม้กระทั่งตุ๊กตาบาร์บี้สักตัว หรือหนังสือการ์ตูน เพราะพ่อกับแม่มองว่าสิ่งเหล่านั้นไร้สาระ และจะทำให้หล่อนโง่...            “กลับมาแล้วเหรอ...ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ ไปฝึกงานแล้วทำงานไม่ได้หรือยังไง”            “คุณแม่...สวัสดีค่ะ” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองมารดาซึ่งนักถักไหมพรมอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก หล่อนดึงสติกลับมาอยู่กับตัวแล้วยกมือไหว้            “ว่ายังไง...แม่ถามไม่ได้ยินเหรอ”            “ไม่มีอะไรค่ะ แค่ไม่ชินกับสถานที่เท่านั้นเอง แต่วันแรกช่อได้รับมอบหมายงานง่ายๆ ให้ทำก่อนก็เลยไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ เข้าใจดีค่ะ”            “ดี...อย่าโง่ไปปล่อยไก่ทำให้พ่อแม่อับอายขายหน้าเข้าล่ะ กว่าจะได้ฝึกงานที่นั่นพ่อของเธอต้องเข้าไปคุยกับท่านประธานด้วยตัวเองเชียวนะ”            “ค่ะ” หล่อนลอบถอนหายใจแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นบน วาจาเสียดสีเหล่านั้นถือว่าเป็นเรื่องที่หล่อนเคยชินเสียแล้ว แต่หากอยู่ต่อหน้าผู้คนหรือในสังคม พฤติกรรมและคำพูดก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง            ชีวิตของหล่อนถูกพ่อและแม่ขีดเส้นทางเดินเอาไว้ให้หมดแล้ว หน้าที่ของหล่อนก็มีเพียงแค่เดินไปตามทางนั้น ห้ามเลี้ยวซ้าย ห้ามมองขวา ห้ามถอยหลัง...            “เมื่อไหร่ฉันจะหลุดพ้นจากเรื่องเฮงซวยพวกนี้ซะที!! เว้ย!!” กระเป๋าถือถูกโยนแรงลงบนเตียง สีหน้าเรียบเฉยก่อนหน้าขึงขังเกรี้ยวกราดจนแดงก่ำ ผมเผ้าของหล่อนกระเซอะกระเซิงเพราะออกแรงเหวี่ยง ร่างเล็กกระทืบเท้าไปที่เตียงนอนแล้วทิ้งตัวลงแผ่หลา หายใจแรงกัดฟันกรอด ดวงตาเขม็งดุดัน ไม่ได้สมกับหน้าตาสวยงามของหล่อนแม้แต่น้อย            “ถ้าฉันออกไปได้วันไหน...ฉันสาบานจะไม่ยอมกลับมาตกนรกนี่อีกเด็ดขาด!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม