EP 1

1155 คำ
ตอน อุปสรรคของรักแรก   หนุ่มสาวนับสิบต่างทยอยเดินออกจากร้านอาหารด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ด้วยท่าทางเป็นสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เมื่อการตรากตรำร่ำเรียนหนักมาสี่ปีเต็มๆ จบสิ้นลงเรียบร้อยแล้วหลังผลการเรียนประกาศออกมาว่าไม่มีใครตกวิชาไหน จึงนัดกันเลี้ยงฉลองความสำเร็จที่ได้เป็นว่าที่บัณฑิต เพราะต่างคนต่างรู้ดีว่าอีกนานกว่าจะได้พบเจอกันอีก ในเมื่อหลายคนต้องวิ่งสมัครงานกันให้วุ่นหลังเรียนจบ ส่วนคนที่พ่อแม่ร่ำรวยก็เตรียมตัวไปเรียนต่อเมืองนอก โดยไม่ต้องดิ้นรนเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ‘ราฟฟาเอ็ลโล่ ปริญ เอตามัส-โตเอลเวร่า’ หนุ่มผู้ถือสองสัญชาติไทยและอิตาเลียนก็เป็นหนึ่งในสี่ของเพื่อนในกลุ่มที่จะไปเรียนต่อระดับปริญญาโทด้าน Laws and Diplomacy[1]ที่มหาวิทยาลัยทัฟส์[2] สหรัฐอเมริกา หลังจากจบ IR[3]หมาดๆ มาแล้ว เพื่อเตรียมเดินตามเส้นทางการเป็นนักการทูตเหมือนพ่อของเขาใฝ่ฝันไว้ แต่ก็ยังคว้ามาไว้ในมือไม่สำเร็จก็ต้องจบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุระหว่างปฏิบัติหน้าที่อยู่ในสถานอัครราชทูตอิตาลี ณ กรุงอังการา ประเทศตุรกีในระดับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทูต (Diplomatic Staff) ขณะดำรงตำแหน่งอัครราชทูตที่ปรึกษา (Minister Counsellor) ด้วยอายุสี่สิบห้าเท่านั้น นั่นเป็นเหตุให้เขากับแม่ต้องย้ายกลับเมืองไทยหลังจากเสียพ่อได้ไม่กี่เดือน แน่นอนว่าเขาเป็นความหวังเดียวที่จะสานต่อความฝันของพ่อกับทุกคนในครอบครัวเอตามัส-โตเอลเวร่า เขาเองก็ไม่คิดจะขัดขืนใดๆ ด้วยรู้ดีว่าตัวเองชอบสายงานของพ่อมาก แถมยังได้ย้ายไปอยู่หลายๆ ประเทศ ได้เห็นได้ศึกษาผู้คนไม่ซ้ำแบบไปเรื่อยๆ ทำให้ชีวิตมีเรื่องต้องเรียนรู้เสมอๆ แต่เรื่องที่เขากำลังจะขัดขืนความต้องการของทุกคนด้วยการดื้อแพ่งไม่ยอมไปเรียนต่อที่ไหนทั้งสิ้น หากครอบครัวไม่ยอมให้เขาแต่งงานกับ ‘พลอยหยก บุญอันดา’ หญิงที่เขารักจนหมดหัวใจ จนไม่คิดจะรักใครได้อีกก่อน ซึ่งเขาเข้าใจว่าวิธีนี้จะทำให้ได้คนรักมาแนบครอบโดยไม่ยากเย็นนัก ก็ในเมื่อทุกคนในบ้านรักและตามใจเขาจะตายไป “ไว้ค่อยเจอกันพรุ่งนี้นะ กู๊ดไนต์เพื่อนรัก” พลอยหยกว่าที่บัณฑิตวารสารศาสตร์โบกมือลาสองเพื่อนรักที่ได้นัดแนะกันไว้แล้วว่าจะไปสมัครงานด้วยกันในวันพรุ่ง “เอ่อๆ อย่าไปสายนะยัยหยก เราจะต้องไปถึงที่บริษัทอย่างช้าเก้าโมงนะยะ” ดาริกาสาวเปรี้ยวที่จบคณะเดียวกันก็โบกมือลาเพื่อนปากก็กำชับอีกคำรบ “ใช่ๆ ถ้าหล่อนช้าพวกฉันจะไม่รอ! ปล่อยให้ไปหาสมัครงานคนเดียวทั้งวัน” รัตติกาลเพื่อนรักหนึ่งในสามของแก๊ง ‘เปรี้ยวเฉี่ยวชี๊ด’ ก็โบกมือให้เพื่อนเช่นเดียวกัน ขณะเดินไปขึ้นรถของเพื่อนร่วมรุ่นเพื่ออาศัยให้ไปส่งกลับบ้าน เพราะไม่อยากนั่งรถของปริญที่จะไปส่งพลอยหยกทุกครั้งที่กลับดึกอยู่แล้ว จะได้ไม่เป็นก้างเวลาสองคนจู๋จี๋อี๋อ๋อกัน “รู้แล้วล่ะน่า! ย้ำจริง! รับรองว่าฉันจะไปยืนรอพวกหล่อนก่อนเวลานัดครึ่งชั่วโมงเลยเอา แล้วเจอกันนะ บ๊ายบาย” พลอยหยกไม่ได้ถือสาเพื่อนเพราะรู้ว่าตัวเองไปสายบ่อยครั้งเนื่องจากบ้านอยู่ไกลถึงปทุมธานีคลองสี่ กว่าจะขึ้นรถเมลมาได้ก็กินเวลาเป็นชั่วโมงๆ รวมทั้งแฟนหนุ่มที่จะต้องขับรถไปส่งในค่ำคืนนี้ด้วย ขากลับด้วยที่เขาจะต้องนั่งมาคนเดียวตามเคย “พรุ่งนี้ให้เราพาไปก็ได้นะหยก ไม่เห็นจะต้องโหนรถเมล์เลย เหนื่อยจะตาย เหงื่อออกด้วย เดี๋ยวไม่สวยตอนไปสมัครงานนะ” ปริญเสนอตอนออกรถจากลานจอดของร้านอาหาร “ความจริงไม่เห็นจะต้องสมัครงานเลย บอกแล้วว่าเราจะแต่งงานกันจากนั้นก็ไปเรียนต่อด้วยกัน ถ้าหยกอยากทำงานจริงตอนอยู่โน่นก็เรียนด้วยทำงานด้วยยังได้เลย” เรื่องนี้เขาเคยคุยกับแฟนสาวแล้วหลายครั้ง แต่เธอก็ยังยืนยันที่จะหางานเอาไว้ก่อนอยู่ดี “เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสมัครแล้วจะได้งานหรือเปล่า อีกอย่างกว่าจะถึงเวลาไปเรียนตั้งหลายเดือน ถ้าได้ทำงานก่อนก็จะดีกว่านะ จะได้มีเงินเก็บหน่อยไง” พลอยหยกอยากจะบอกว่า ‘ถ้าญาติๆ ทางฝ่ายเขายอมรับเธอผู้ซึ่งเป็นสาวไร้ภาษีสังคมไปเป็นสะใภ้อย่างที่หวังไว้’ มากกว่าแต่ไม่อยากจะตัดความหวังที่ทั้งร่วมกันวาดเอาไว้ตั้งแต่เริ่มคบหาดูใจกันเมื่อสามมาแล้ว แม้ในใจลึกๆ เธอไม่อยากหวังว่ารักจะไร้ปัญหา ด้วยเคยเห็นสายตาของผู้แม่กับย่าเมื่อคราวได้ไปทำรายงานในบ้านที่ใหญ่โตราวพระราชวังของเขาในหลายๆ ครั้งมาแล้ว “ตอนนี้เราก็พักผ่อนสิหยก เรียนหนักมาตั้งหลายปี ไม่เห็นต้องรีบทำงานเลยนี่นา จะได้เตรียมตัวเป็นเจ้าสาวแสนสวยของเราด้วย ถ้าขืนไปทำงานหน้าดำคร่ำเคร่งถ่ายรูปออกมาแล้วไม่สวย อย่ามาโทษเรานะ” “พูดเหมือนจะได้แต่งกันง่ายๆ อย่างนั้นล่ะปริญก็” ทั้งเธอและเพื่อนๆ ในคณะไม่มีใครเรียกชื่อแรกของเขาเลย ส่วนใหญ่จะเรียกชื่อนี้ ‘ราฟฟ์! เรียกแล้วมันรู้สึกจั๊กจี้ว่ะ ขอเรียกปริญดีกว่านะง่ายและไทยๆ ดี ต่อให้แกหน้าออกฝาหรั่งก็เหอะ แต่แกทำตัวติดดินยิ่งกว่าคนไทยอีก’ เพื่อนส่วนใหญ่มักจะให้เหตุผลแบบนี้ เขาเองก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนักใครอยากเรียกแบบไหนก็ตามสบาย “ได้สิ พรุ่งนี้เราจะคุยกับคุณแม่แล้วก็กับอาเลย ถ้าอ้างว่าเรายังเด็กไม่พร้อมอีกตามเคย เราจะขู่ว่าจะไม่ไปเรียนถ้าไม่ยอมให้เราแต่งกับหยกก่อน รับรองว่าไม่มีใครกล้าขัดได้หรอก หยกเตรียมตัวเป็นเจ้าสาวเลย ไม่ต้องทำงานที่ไหนแล้ว” ปริญไม่คิดว่าสิ่งที่เขาพูดจะไกลเกินที่จะเป็นความจริงได้ เพราะแม่กับย่ารักเขามาก การจะดื้อแพ่งด้วยการหยิบยกเอาเรื่องแต่งงานมาเป็นข้อแม้ไม่ไปเรียนต่อนั้นย่อมมีความเป็นไปได้ล้านเปอร์เซ็นต์ทีเดียว เขาจึงสบายใจไร้กังวล [1] แนวคิดว่าด้วยการทูตและกฎหมายว่าด้วยการทูต [2] TUFTS University  รัฐแมสซาชูเซตส์ [3] International Relationship ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม