“เอาล่ะ หมดเรื่องแล้ว กลับบ้านกันไปได้” ผู้ใหญ่บ้านเฉินไล่ทุกคนกลับไป คนพวกนี้ทำบ้านของเขาเละเทะหมดแล้ว
คนบ้านหลินและแม่ม่ายทั้งสองคนพากันออกจากบ้านไป เหลือเพียงแม่หลัน หลินเยว่เหยา ฟางเสี่ยวผิงและซูลั่วหยาง
“ขอบคุณผู้ใหญ่บ้านเฉินกับน้าฟ่งมากนะคะ ที่ช่วยพวกเราสองแม่ลูกเอาไว้” แม่หลันโค้งตัวทำความเคารพทั้งสองคนด้วยความซาบซึ้งใจ
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเกรงใจนะ เป็นเรื่องที่ฉันควรจัดการอยู่แล้ว จริงๆ เรื่องนี้ฉันต้องขอบใจพวกเธอสองแม่ลูกมากกว่าที่มาบอกกับฉันแทนที่จะไปแจ้งทหารแดงทันที หากคนพวกนั้นเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว เรื่องคงไม่จบง่ายๆ แบบนี้แน่ หมู่บ้านของพวกเราต้องไม่สงบเหมือนเดิม แต่พวกเธอสามคนจะตอบคำถามของชาวบ้านยังไงกันล่ะ ที่แยกออกมาอยู่แบบนี้”
การเป็นม่ายหย่าร้างไม่ใช่เรื่องเชิดหน้าชูตา คนสมัยนี้มักจะดูถูกดูแคลนแม่ม่ายอยู่ไม่น้อยเลย ไม่อย่างนั้นแม่ม่ายหลิวกับแม่ม่ายฟางคงไม่ต้องย้ายไปอยู่ที่ท้ายหมู่บ้านแล้วยอมเป็นชู้เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดหรอก
“หนูคิดว่าเราควรย้ายเข้าไปอยู่ในตัวเมืองค่ะ” หลินเยว่เหยาคิดเอาไว้แล้ว หากยังอยู่ในหมู่บ้านนี้ การจะหาเงินได้นั้นเป็นเรื่องยากกว่า แม้จะยังอยู่ในยุคเจ็ดศูนย์แบบนี้ แต่เธอก็มีหนทางมากมายที่จะพาแม่หลันและฟางเสี่ยวผิงอยู่รอดได้ ก็เธอไม่ใช่เด็กเจ็ดขวบจริงๆ เสียหน่อย
ผู้ใหญ่บ้านเฉินนิ่งเงียบลงอย่างไตร่ตรอง การไปอยู่ที่อื่นก็ดีเหมือนกัน ขี้ปากของชาวบ้านไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ง่ายๆ เลย แม่ม่ายกี่คนมาแล้วที่ต้องจมน้ำลายผู้คนจนชีวิตย่อยยับลง
“ถ้าอย่างนั้นลุงจะช่วยพวกหนูหาบ้านด้วยอีกแรง อาฟ่ง เธอก็รู้จักคนเยอะ ช่วยหนูเยว่ด้วยอีกแรงถือว่าเอาบุญก็แล้วกัน”
“พูดอะไรแบบนั้นคะ ฉันเอ็นดูหนูเยว่เหมือนหลานสาวแท้ๆ จะปล่อยให้เธอเจอกับเรื่องลำบากทั้งๆ ที่ฉันก็ช่วยได้ได้อย่างไรกัน”
“ฉันจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลยค่ะ” หร่วนอวี้หลันน้ำตาคลอหน่วย หากไม่ได้ผู้ใหญ่บ้านเฉิน เธอกับลูกต้องลำบากมากแน่
“ไม่ต้องถือเป็นบุญคุณอะไรหรอกนะ ว่าแต่พวกเธอต้องหาที่อยู่ชั่วคราวก่อน ขอฉันคิดสักครู่”
ผู้ใหญ่บ้านเฉินมองไปเห็นซูลั่วหยางที่กำลังกระซิบกระซาบบางอย่างกับหลินเยว่เหยาพอดีจึงยิ้มขึ้นอย่างนึกอะไรออก
“ลั่วหยาง ข้างๆ บ้านของเธอว่างอยู่นี่ ฉันไม่ได้ไปสำรวจบ้านหลังนั้นนานแล้ว ไม่รู้ว่าทรุดโทรมไปแค่ไหนแล้ว”
“บ้านหลังนั้นตัวโครงบ้านแข็งแรงอยู่ครับ แต่ว่าหลังคามีรอยรั่ว ส่วนพวกหญ้าที่ขึ้นรอบบ้าน ผมเป็นคนไปจัดการถอนออกอยู่ตลอด เพราะกลัวว่าจะมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอมาอาศัยแล้วจะเลื้อยเข้ามาในบ้านของผมได้ ผมคิดว่าพอจะอยู่ได้ชั่วคราวนะครับ”
“งั้นพวกเราไปดูกันสักหน่อยดีกว่า” น้าฟ่งเสนอ เธอไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดในบ้านมาแจกจ่ายให้ทุกคนแล้วมุ่งหน้าไปที่บ้านร้างหลังนั้น
นี่ก็คือบ้านร้างที่ครั้งก่อนซูลั่วหยางพาหลินเยว่เหยามาปิ้งกบกินกันสองคน สภาพรอบๆ ไม่ได้แย่มาก เพียงแต่มีฝุ่นและคราบตะไคร่เยอะ ทำความสะอาดดีๆ ก็พออยู่ได้แล้ว
ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมืออย่างแข็งขัน กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็เข้าสู่ช่วงเย็นย่ำแล้ว
หลังจากผู้ใหญ่บ้านเฉินกับน้าฟ่งขอตัวกลับไปแล้ว ซูลั่วหยางก็กลับไปที่บ้านของตนแล้วเอาปลาที่คืนก่อนเขาจับกลับมาได้หลายตัวมามอบให้หลินเยว่เหยาสองตัว
“แล้วนายมีอาหารกินเหรอ ย่าซูล่ะ?”
“ฉันบอกย่าว่าจะเอาปลามาให้เธอ ย่าก็เห็นด้วยทันที แถมยังบอกด้วยว่าตั้งแต่เธอบอกให้กินปลามากๆ เข่าของย่าก็ปวดน้อยลง ไม่ต้องห่วงนะ บ้านฉันเหลือปลาอีกหลายตัว”
“ขอบใจนายกับย่าซูมากนะ”
“ไม่ต้องเกรงใจนะ คืนนี้ก็อยู่ไปแบบนี้ก่อน พรุ่งนี้เธอจะไปหาบ้านในตัวเมืองเลยหรือเปล่า?”
“อืม… ฉันคิดว่าจะทำแบบนั้นแหละ แถมยังต้องซื้อของใช้อีกมากเลย ยังดีที่มีเงินก้อนนี้ล่ะนะ”
ทั้งสองคนมองตากันแล้วหัวเราะออกมา เงินหนึ่งพันหยวนไม่น้อยเลย แต่พวกเขาก็ทำสำเร็จ สามารถนำมันมาอยู่ในกำมือได้ จากการร่วมวางแผนและทำตามแผนอย่างเข้าขากัน
หลินเยว่เหยานึกถึงเรื่องของซูลั่วหยาง เธอจำได้ว่าอีกไม่นานซูลั่วหยางจะถูกรับตัวไปอยู่ที่อื่น ตอนนั้นเธอแค่ได้ฟังมา ไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง แล้วจากนั้นมาเธอก็ไม่ได้พบกับเขาอีกเลย