สามวันอันแสนน่าเบื่อผ่านไป เหลียวนิ่งที่เข้าสู่ฤดูหนาวก็เริ่มมีหิมะโปรยปรายลงมา ฉันที่เป็นสาวไทยและไม่เคยเห็นหิมะมาก่อนก็ลืมตัว วิ่งออกไปสัมผัสมันตรงๆ โดยมีหญิงรับใช้ทั้งสามคอยห้ามปราม
“คุณอี ออกไปข้างนอกแบบนี้จะป่วยเอานะคะ” จางหลิงวิ่งเข้ามาสวมผ้าคลุม
เช่นเดียวกับฮั่วฮั่วที่เดินมาพร้อมกับร่มและลู่เซียวที่นำถุงมือมาสวมให้
ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กอนุบาลตัวแสบที่ต้องใช้คุณครูถึงสามคนควบคุมความประพฤติเลย แต่เพราะมีสามคนนี้อยู่ด้วย คนที่ไม่ชอบหน้าฉันถึงไม่กล้าลงมือกลั่นแกล้ง แม้จะมีบางคนที่แกล้งทำถังน้ำสำหรับถูพื้นหกใส่รองเท้าของฉันก็ตาม
“ขอบใจนะ” ฉันตอบกลับพลางยื่นมือไปรองรับหิมะขาวที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า รูปร่างมันเหมือนกับปุยนุ่น น่าเสียดายที่มันกินไม่ได้ และพวกหล่อนทั้งสามก็คงไม่ยอมให้ฉันกินด้วย
ฉันเดินดูสวนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะพลางคิดว่าถ้าหิมะละลายแล้วจะขอหงเฉินทำสวนดอกไม้แก้เบื่อ อ๊ะ...จะว่าไปแล้วเมื่อวานฉันบังเอิญเห็นข้ารับใช้คนหนึ่งเข้าพบหงเฉิน เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะสืบเรื่องของม่านอีเสร็จแล้ว จะเหลือก็แต่รอให้เขาตัดสินใจ
เฮ้อ...รีบตัดสินใจสักทีเถอะ ก่อนจะถึงวันประมูลที่ดินที่เหลียวอัน ที่ดินนั่นม่านซั่วประมูลได้มาแล้วแบ่งให้นักลงทุนชาวต่างชาติเช่าซื้อ ก่อนที่มันจะกลายเป็นโรงแรมขนาดใหญ่กลางเมืองเหลียวอัน และจากนั้นพื้นที่โดยรอบของเมืองเหลียวอันก็มีราคาสูงขึ้นตามกันไปด้วย กลายเป็นเขตเศรษฐกิจเขตใหม่ ทำให้ม่านซั่วที่กว้านซื้อที่รอเอาไว้แล้ว กลายเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน
การจะก่อกบฏจำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก หากหงเฉินชนะการประมูลมาได้ เขาก็อาจจะเชื่อใจฉันมากขึ้น
ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งชมดอกไม้แห้งเหี่ยว อยู่ๆ ก็รู้สึกถึงเงาสูงใหญ่บดบัง
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความสงสัย แล้วก็พบว่าคนที่เข้ามาทำลายช่วงเวลาสุนทรีย์ก็คือสามีของฉันเอง
“ม่านอี ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาเหมือนเดิม แต่สายตากลับเปลี่ยนไป ทั้งหมดนี้มันทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมา
ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจได้แล้วจริงๆ
“ถ้างั้นก็ช่วยดึงฉันขึ้นทีสิคะ พอดีนั่งนานไปหน่อย” ฉันยื่นมือให้อีกฝ่าย
หงเฉินมองมือของฉันอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่ แต่ฉันเข้าใจเขานะ ก็ก่อนหน้านี้ม่านอีเอาแต่ตามตื๊อ เกาะเขาอย่างกับปลิง จะถูกรังเกียจก็ไม่แปลก
ฉันขยับมือออกแก้เก้อ
ตาคนแล้งน้ำใจ
ลุกเองก็ได้
ฉันถอนหายใจแล้วลุกขึ้น แต่นั่งนานไปหน่อยจึงทรงตัวไม่อยู่ เผลอเซไปซบคนตัวสูงกว่าเข้า พอคิดได้ว่าเขาอาจจะรังเกียจก็รีบผละออกมา
“ขอโทษค่ะ”
หงเฉินคิ้วขมวด ดูก็รู้ว่าไม่พอใจ เขาหมุนตัวหันหลังแล้วเดินเข้าตึกไปทั้งที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนฉันก็เดินตามเขาไปอย่างเงียบๆ จนถึงห้องทำงานที่อยู่ด้านในสุดของชั้นหนึ่ง
ฉันนั่งที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวกลางห้องพลางกวาดตาสำรวจห้องของเขาอย่างลืมตัว
ห้องของหงเฉินทั้งเงียบและอึมครึมจนเกือบหายใจไม่ออก แต่ก็มีบางอย่างที่น่าสนใจคือหนังสือจำนวนมากที่อยู่ในชั้น เธอรู้ว่าเขาเป็นหนอนหนังสือตัวยงแต่เพราะจนก็เลยต้องอาศัยยืมเพื่อนอ่าน
หงเฉินเดินไปหยิบซองเอกสารก่อนจะยื่นมันให้ฉันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อฉันเปิดดูก็หลุดยิ้ม
“คุณสามีสืบเรื่องของฉันจริงๆ ด้วยแฮะ แล้วเป็นได้ความว่าอย่างไรบ้างคะ ตรงตามที่ฉันบอกคุณไปหรือเปล่า”
คนตรงหน้าเม้มปากแน่น มองฉันด้วยสายตาลำบากใจ
เขาพยักหน้าราวกับจำนนต่อหลักฐาน
“ทำไมเธอถึงไม่บอกฉันตั้งแต่แรก แต่กลับเข้าหาฉันแบบนั้น ถ้าเธอไม่หลอกว่าท้อง...” เขานั่งลงพลางนวดขมับตัวเอง
ฉันไหวไหล่เบาๆ
“ถ้าไม่ทำแบบนั้น ฉันคงไม่ได้ออกจากขุมนรกนั่น แต่ก็ต้องขอโทษคุณด้วยที่ทำให้คุณเดือดร้อนค่ะ” ฉันลุกขึ้นแล้วก้มศีรษะลงสำนึกผิดอย่างจริงใจ
ถึงจะไม่ยุติธรรมเพราะฉันไม่ได้ทำด้วยตัวเองก็เถอะ แต่ถ้าอยากเป็นพันธมิตรกับคนตรงหน้า ก็ต้องแสดงให้เขาเห็นว่าฉันไม่ได้ยึดติดกับเขาอีกต่อไปแล้ว
“เงยหน้าขึ้นเถอะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วนั่งลงทันที ทว่าหงเฉินกลับมองฉันด้วยสายตากระอักกระอ่วน ก็แน่ล่ะ จะให้เปลี่ยนความรู้สึกจากเกลียดขี้หน้ากันเป็นอย่างอื่น มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ขนาดฉันยังปล่อยวางบางเรื่องไม่ได้เลย
“ทีนี้คุณจะยอมรับข้อเสนอของฉันได้รึยังคะ” ฉันถามอย่างตรงไปตรงมา ในเมื่อเขารู้ความจริงแล้ว ก็ควรจะพูดถึงจุดมุ่งหมายเดียวกัน
หงเฉินดูจะคิดหนักเอามาก สีหน้าของเขาดูเครียดจนฉันไม่กล้าเซ้าซี้ เมื่อเขาปรายตามองมา ก็ทำเอาเกร็งไปทั้งตัว
“แล้วคุณรู้อะไรมาบ้าง”
ฉันแสยะยิ้มกว้างอย่างรู้ทัน จะหลอกถามข้อมูลฉันก่อนหรือ ฝันไปเถอะ
“เอาเป็นว่าสิ่งที่อยู่ในนี้” ฉันเคาะนิ้วข้างศีรษะตัวเองเบาๆ “มีสิ่งที่ทำให้คุณเป็นเหมือนพยัคฆ์ติดปีกเลยล่ะค่ะ ถ้าคุณยอมทำหนังสือสัญญากับฉันล่ะนะ”
หงเฉินถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าและเดินไปหยิบกระดาษกับปากกามาวางตรงหน้าฉัน
ฉันมองกระดาษว่างเปล่าสลับกับมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย
“นี่คืออะไรคะ”
“ร่างสัญญา เขียนข้อเสนอและสิ่งที่คุณต้องการ ผมจะพิจารณาอีกที”
“แล้วคุณสามีไม่เขียนเหรอคะ เราควรจะทำสัญญาอย่างโปร่งใสไม่ใช่รึไง”
เขาปรายตามองฉันอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นหยิบปากกาขึ้นมาแล้วเขียนข้อเสนอของตัวเอง เมื่อเขียนเสร็จก็ส่งให้ฉันลองอ่านดู
ก็สมกับเขาดี ทั้งเรื่องที่ให้เก็บเรื่องร่วมมือกันเป็นความลับ เพราะอาจมีคนของม่านซั่วคอยสอดแนม และจะวางแผนกันในคืนร่วมห้องเท่านั้น
อืม...ค่อนข้างรัดกุมมากทีเดียว ก็คงเพราะนิสัยขี้ระแวงของเขานั่นแหละ
ฉันกวาดตาอ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย ก่อนจะสะดุดที่ข้อ ห้ามมีความรัก และเมื่อเป้าหมายบรรลุแล้วจะต้องหย่าขาดกันทันที
แหม...ถ้าในนิยายเรื่องอื่นๆ ประเภทพระเอกนางเอกชอบทำสัญญาแต่งงาน ข้อห้ามนี้คงถูกขีดฆ่าในเวลาไม่กี่เดือน
แต่ว่ามีบางอย่างที่หายไป
“เหมือนคุณสามีจะลืมบางอย่างนะคะ” ฉันหยิบปากกาขึ้นมาเขียนความต้องการของตัวเอง
ว่ากันว่าโจรมักร่วมมือกันปล้น แต่ฆ่ากันเองตอนแบ่งสมบัติ ฉันต้องเขียนตกลงให้ชัดเจนก่อนจะถูกไล่ออกไปแต่ตัว
“ส่วนแบ่ง?” หงเฉินมองฉันด้วยสายตาสงสัย
“ค่ะ”
“ยังไม่ทันได้ลงมือก็พูดถึงส่วนแบ่งแล้ว กลัวฉันโกงเธอรึไง”
“ฉันไม่ไว้ใจใครนอกจากตัวเองค่ะ” ฉันเขียนเสร็จก็ยื่นให้เขาดู
“บ้านพักในเขตท่าเรือหยวนหนาน?”
“ถ้าเทียบกับสิ่งที่คุณสามีจะได้ไปก็นับว่าเล็กน้อยใช่ไหมคะ ฉันขอแค่บ้านพักพอที่จะใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ เท่านั้น” หลังจากที่ฉันหย่า ในอีกสองปีข้างหน้าเขตหยวนหนานจะถูกพัฒนาเป็นท่าเรือใหม่ของแดนเหนือ
ในนิยายเขียนเอาไว้ว่าหงเฉินจะต้อนรับนักลงทุนที่มาจากแดนตะวันออก ก็คือพวกคนขาวที่เดินเรือข้ามทวีปมา ทำให้หงเฉินไปเข้าตาองค์หญิงหวงเหรินเข้า และเข้าสู่บทการชิงผู้ชายของจิ่นม่ายกับองค์หญิงหวงเหริน แน่นอนว่าตอนนั้นฉันคงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายโดยไม่ต้องเอาตัวไปข้องเกี่ยวกับอันตรายของบรรดาตัวละครเอกแล้ว
ฉันลอบสังเกตสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเขารั้งคำตอบเอาไว้นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งกดดันมากขึ้นเท่านั้น
“มีเท่านี้ใช่ไหมที่เธออยากได้” เขาหันมาถาม
ฉันเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะครุ่นคิดถึงความต้องการของตัวเอง
ที่จริงมันก็มีแค่นี้ ไม่สิ...หากฉันต้องการอยู่ที่นี่อย่างสงบก็จำเป็นต้องทำบางอย่างด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดเหตุแบบวันแรก
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอให้คุณมาค้างที่ห้องฉันบ่อยๆ ได้ไหมคะ”
ทันทีที่พูดออกไป ใบหน้าหล่อเหลานั่นก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นทันที
“ฉันว่าฉันได้เขียนลงไปแล้ว และเธอก็อ่านแล้วไม่ใช่รึไง”
ฉันรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร จึงรีบแก้ต่างให้ตัวเองก่อนที่เขาจะคิดว่าฉันพิศวาสเขา
“คุณสามีไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันน่ะ...” ฉันยกมือขึ้นแตะหน้าอกเป็นการให้คำมั่นสัญญา “ไม่ได้รู้สึกรักหรือชอบคุณเลยแม้แต่นิดเดียว” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่ทำไมสีหน้าของหงเฉินถึงดูไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม นี่ฉันพูดอะไรผิดไปรึไง
“ฉันแค่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านสกุลหงอย่างมีเกียรติค่ะ และเกียรตินั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณก็ความสำคัญกับฉัน แล้วก็ฉันอยากให้คุณช่วยอ่านจดหมายที่จะส่งถึงม่านซั่วด้วยค่ะ”
ฉันพูดไปเท่านี้คนฉลาดอย่างหงเฉินก็คงจะรับรู้ได้ทันทีว่าม่านซั่วกำลังใช้ใครเป็นคนสอดแนมเขา
อีกไม่นานม่านซั่วจะส่งจดหมายลับมาถึงฉัน เมื่อนั้นฉันจะรู้ว่าใครเป็นหนู และฉันก็ต้องส่งข้อมูลของหงเฉินให้ม่านซั่ว แต่ข้อมูลนั้นจะเป็นข้อมูลที่สร้างขึ้นมากลางอากาศ
หงเฉินถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเขียนต้องตกลงเพิ่มแล้วเดินไปหยิบตลับชาดกลับมา
“ฉันยอมรับข้อเสนอของเธอ” พูดจบก็ใช้นิ้วโป้งประทับลงบนสัญญา
ความจริงก็ไม่คิดว่าหงเฉินจะเชื่อใจ แต่เขาน่าจะเชื่อในหนังสือสัญญามากกว่า และถ้าฉันผิดสัญญา เขาจะโยนฉันลงขุมนรกที่ทรมานกว่านี้เป็นพันเท่าอย่างแน่นอน
“ขอบคุณค่ะ ฉันจะไม่ทำให้คุณสามีต้องผิดหวัง” ฉันประทับลายนิ้วมืออย่างโล่งใจ ก่อนจะคืนสัญญาให้เขาเก็บไว้
หงเฉินมองฉันด้วยสายตาเย็นชา ฉันอ่านสายตาของเขาไม่ออก แต่มีลางสังหรณ์บางอย่างว่าไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่
“งั้นคืนนี้ ฉันจะไปค้างที่ห้องเธอ เตรียมตัวด้วยล่ะ”
ถ้อยคำของเขาอย่างกับเสียงเอคโค่สะท้อนอยู่ในหูซ้ำๆ ทำเอาฉันถึงกับอ้าปากค้าง
“คะ!?”