บทที่ 6 ตอบรับข้อเสนอ

1949 คำ
สามวันอันแสนน่าเบื่อผ่านไป เหลียวนิ่งที่เข้าสู่ฤดูหนาวก็เริ่มมีหิมะโปรยปรายลงมา ฉันที่เป็นสาวไทยและไม่เคยเห็นหิมะมาก่อนก็ลืมตัว วิ่งออกไปสัมผัสมันตรงๆ โดยมีหญิงรับใช้ทั้งสามคอยห้ามปราม “คุณอี ออกไปข้างนอกแบบนี้จะป่วยเอานะคะ” จางหลิงวิ่งเข้ามาสวมผ้าคลุม เช่นเดียวกับฮั่วฮั่วที่เดินมาพร้อมกับร่มและลู่เซียวที่นำถุงมือมาสวมให้ ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กอนุบาลตัวแสบที่ต้องใช้คุณครูถึงสามคนควบคุมความประพฤติเลย แต่เพราะมีสามคนนี้อยู่ด้วย คนที่ไม่ชอบหน้าฉันถึงไม่กล้าลงมือกลั่นแกล้ง แม้จะมีบางคนที่แกล้งทำถังน้ำสำหรับถูพื้นหกใส่รองเท้าของฉันก็ตาม “ขอบใจนะ” ฉันตอบกลับพลางยื่นมือไปรองรับหิมะขาวที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า รูปร่างมันเหมือนกับปุยนุ่น น่าเสียดายที่มันกินไม่ได้ และพวกหล่อนทั้งสามก็คงไม่ยอมให้ฉันกินด้วย ฉันเดินดูสวนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะพลางคิดว่าถ้าหิมะละลายแล้วจะขอหงเฉินทำสวนดอกไม้แก้เบื่อ อ๊ะ...จะว่าไปแล้วเมื่อวานฉันบังเอิญเห็นข้ารับใช้คนหนึ่งเข้าพบหงเฉิน เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะสืบเรื่องของม่านอีเสร็จแล้ว จะเหลือก็แต่รอให้เขาตัดสินใจ เฮ้อ...รีบตัดสินใจสักทีเถอะ ก่อนจะถึงวันประมูลที่ดินที่เหลียวอัน ที่ดินนั่นม่านซั่วประมูลได้มาแล้วแบ่งให้นักลงทุนชาวต่างชาติเช่าซื้อ ก่อนที่มันจะกลายเป็นโรงแรมขนาดใหญ่กลางเมืองเหลียวอัน และจากนั้นพื้นที่โดยรอบของเมืองเหลียวอันก็มีราคาสูงขึ้นตามกันไปด้วย กลายเป็นเขตเศรษฐกิจเขตใหม่ ทำให้ม่านซั่วที่กว้านซื้อที่รอเอาไว้แล้ว กลายเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืน การจะก่อกบฏจำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก หากหงเฉินชนะการประมูลมาได้ เขาก็อาจจะเชื่อใจฉันมากขึ้น ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งชมดอกไม้แห้งเหี่ยว อยู่ๆ ก็รู้สึกถึงเงาสูงใหญ่บดบัง ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองด้วยความสงสัย แล้วก็พบว่าคนที่เข้ามาทำลายช่วงเวลาสุนทรีย์ก็คือสามีของฉันเอง “ม่านอี ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาเหมือนเดิม แต่สายตากลับเปลี่ยนไป ทั้งหมดนี้มันทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะตัดสินใจได้แล้วจริงๆ “ถ้างั้นก็ช่วยดึงฉันขึ้นทีสิคะ พอดีนั่งนานไปหน่อย” ฉันยื่นมือให้อีกฝ่าย หงเฉินมองมือของฉันอย่างไม่ชอบใจเท่าไหร่ แต่ฉันเข้าใจเขานะ ก็ก่อนหน้านี้ม่านอีเอาแต่ตามตื๊อ เกาะเขาอย่างกับปลิง จะถูกรังเกียจก็ไม่แปลก ฉันขยับมือออกแก้เก้อ ตาคนแล้งน้ำใจ ลุกเองก็ได้ ฉันถอนหายใจแล้วลุกขึ้น แต่นั่งนานไปหน่อยจึงทรงตัวไม่อยู่ เผลอเซไปซบคนตัวสูงกว่าเข้า พอคิดได้ว่าเขาอาจจะรังเกียจก็รีบผละออกมา “ขอโทษค่ะ” หงเฉินคิ้วขมวด ดูก็รู้ว่าไม่พอใจ เขาหมุนตัวหันหลังแล้วเดินเข้าตึกไปทั้งที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ส่วนฉันก็เดินตามเขาไปอย่างเงียบๆ จนถึงห้องทำงานที่อยู่ด้านในสุดของชั้นหนึ่ง ฉันนั่งที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวกลางห้องพลางกวาดตาสำรวจห้องของเขาอย่างลืมตัว ห้องของหงเฉินทั้งเงียบและอึมครึมจนเกือบหายใจไม่ออก แต่ก็มีบางอย่างที่น่าสนใจคือหนังสือจำนวนมากที่อยู่ในชั้น เธอรู้ว่าเขาเป็นหนอนหนังสือตัวยงแต่เพราะจนก็เลยต้องอาศัยยืมเพื่อนอ่าน หงเฉินเดินไปหยิบซองเอกสารก่อนจะยื่นมันให้ฉันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อฉันเปิดดูก็หลุดยิ้ม “คุณสามีสืบเรื่องของฉันจริงๆ ด้วยแฮะ แล้วเป็นได้ความว่าอย่างไรบ้างคะ ตรงตามที่ฉันบอกคุณไปหรือเปล่า” คนตรงหน้าเม้มปากแน่น มองฉันด้วยสายตาลำบากใจ เขาพยักหน้าราวกับจำนนต่อหลักฐาน “ทำไมเธอถึงไม่บอกฉันตั้งแต่แรก แต่กลับเข้าหาฉันแบบนั้น ถ้าเธอไม่หลอกว่าท้อง...” เขานั่งลงพลางนวดขมับตัวเอง ฉันไหวไหล่เบาๆ “ถ้าไม่ทำแบบนั้น ฉันคงไม่ได้ออกจากขุมนรกนั่น แต่ก็ต้องขอโทษคุณด้วยที่ทำให้คุณเดือดร้อนค่ะ” ฉันลุกขึ้นแล้วก้มศีรษะลงสำนึกผิดอย่างจริงใจ ถึงจะไม่ยุติธรรมเพราะฉันไม่ได้ทำด้วยตัวเองก็เถอะ แต่ถ้าอยากเป็นพันธมิตรกับคนตรงหน้า ก็ต้องแสดงให้เขาเห็นว่าฉันไม่ได้ยึดติดกับเขาอีกต่อไปแล้ว “เงยหน้าขึ้นเถอะ” ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วนั่งลงทันที ทว่าหงเฉินกลับมองฉันด้วยสายตากระอักกระอ่วน ก็แน่ล่ะ จะให้เปลี่ยนความรู้สึกจากเกลียดขี้หน้ากันเป็นอย่างอื่น มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ ขนาดฉันยังปล่อยวางบางเรื่องไม่ได้เลย “ทีนี้คุณจะยอมรับข้อเสนอของฉันได้รึยังคะ” ฉันถามอย่างตรงไปตรงมา ในเมื่อเขารู้ความจริงแล้ว ก็ควรจะพูดถึงจุดมุ่งหมายเดียวกัน หงเฉินดูจะคิดหนักเอามาก สีหน้าของเขาดูเครียดจนฉันไม่กล้าเซ้าซี้ เมื่อเขาปรายตามองมา ก็ทำเอาเกร็งไปทั้งตัว “แล้วคุณรู้อะไรมาบ้าง” ฉันแสยะยิ้มกว้างอย่างรู้ทัน จะหลอกถามข้อมูลฉันก่อนหรือ ฝันไปเถอะ “เอาเป็นว่าสิ่งที่อยู่ในนี้” ฉันเคาะนิ้วข้างศีรษะตัวเองเบาๆ “มีสิ่งที่ทำให้คุณเป็นเหมือนพยัคฆ์ติดปีกเลยล่ะค่ะ ถ้าคุณยอมทำหนังสือสัญญากับฉันล่ะนะ” หงเฉินถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าและเดินไปหยิบกระดาษกับปากกามาวางตรงหน้าฉัน ฉันมองกระดาษว่างเปล่าสลับกับมองคนตรงหน้าด้วยความสงสัย “นี่คืออะไรคะ” “ร่างสัญญา เขียนข้อเสนอและสิ่งที่คุณต้องการ ผมจะพิจารณาอีกที” “แล้วคุณสามีไม่เขียนเหรอคะ เราควรจะทำสัญญาอย่างโปร่งใสไม่ใช่รึไง” เขาปรายตามองฉันอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นหยิบปากกาขึ้นมาแล้วเขียนข้อเสนอของตัวเอง เมื่อเขียนเสร็จก็ส่งให้ฉันลองอ่านดู ก็สมกับเขาดี ทั้งเรื่องที่ให้เก็บเรื่องร่วมมือกันเป็นความลับ เพราะอาจมีคนของม่านซั่วคอยสอดแนม และจะวางแผนกันในคืนร่วมห้องเท่านั้น อืม...ค่อนข้างรัดกุมมากทีเดียว ก็คงเพราะนิสัยขี้ระแวงของเขานั่นแหละ ฉันกวาดตาอ่านทุกตัวอักษรอย่างละเอียดไปจนถึงบรรทัดสุดท้าย ก่อนจะสะดุดที่ข้อ ห้ามมีความรัก และเมื่อเป้าหมายบรรลุแล้วจะต้องหย่าขาดกันทันที แหม...ถ้าในนิยายเรื่องอื่นๆ ประเภทพระเอกนางเอกชอบทำสัญญาแต่งงาน ข้อห้ามนี้คงถูกขีดฆ่าในเวลาไม่กี่เดือน แต่ว่ามีบางอย่างที่หายไป “เหมือนคุณสามีจะลืมบางอย่างนะคะ” ฉันหยิบปากกาขึ้นมาเขียนความต้องการของตัวเอง ว่ากันว่าโจรมักร่วมมือกันปล้น แต่ฆ่ากันเองตอนแบ่งสมบัติ ฉันต้องเขียนตกลงให้ชัดเจนก่อนจะถูกไล่ออกไปแต่ตัว “ส่วนแบ่ง?” หงเฉินมองฉันด้วยสายตาสงสัย “ค่ะ” “ยังไม่ทันได้ลงมือก็พูดถึงส่วนแบ่งแล้ว กลัวฉันโกงเธอรึไง” “ฉันไม่ไว้ใจใครนอกจากตัวเองค่ะ” ฉันเขียนเสร็จก็ยื่นให้เขาดู “บ้านพักในเขตท่าเรือหยวนหนาน?” “ถ้าเทียบกับสิ่งที่คุณสามีจะได้ไปก็นับว่าเล็กน้อยใช่ไหมคะ ฉันขอแค่บ้านพักพอที่จะใช้ชีวิตอย่างเงียบๆ เท่านั้น” หลังจากที่ฉันหย่า ในอีกสองปีข้างหน้าเขตหยวนหนานจะถูกพัฒนาเป็นท่าเรือใหม่ของแดนเหนือ ในนิยายเขียนเอาไว้ว่าหงเฉินจะต้อนรับนักลงทุนที่มาจากแดนตะวันออก ก็คือพวกคนขาวที่เดินเรือข้ามทวีปมา ทำให้หงเฉินไปเข้าตาองค์หญิงหวงเหรินเข้า และเข้าสู่บทการชิงผู้ชายของจิ่นม่ายกับองค์หญิงหวงเหริน แน่นอนว่าตอนนั้นฉันคงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายโดยไม่ต้องเอาตัวไปข้องเกี่ยวกับอันตรายของบรรดาตัวละครเอกแล้ว ฉันลอบสังเกตสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเขารั้งคำตอบเอาไว้นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งกดดันมากขึ้นเท่านั้น “มีเท่านี้ใช่ไหมที่เธออยากได้” เขาหันมาถาม ฉันเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะครุ่นคิดถึงความต้องการของตัวเอง ที่จริงมันก็มีแค่นี้ ไม่สิ...หากฉันต้องการอยู่ที่นี่อย่างสงบก็จำเป็นต้องทำบางอย่างด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดเหตุแบบวันแรก “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอให้คุณมาค้างที่ห้องฉันบ่อยๆ ได้ไหมคะ” ทันทีที่พูดออกไป ใบหน้าหล่อเหลานั่นก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นทันที “ฉันว่าฉันได้เขียนลงไปแล้ว และเธอก็อ่านแล้วไม่ใช่รึไง” ฉันรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร จึงรีบแก้ต่างให้ตัวเองก่อนที่เขาจะคิดว่าฉันพิศวาสเขา “คุณสามีไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันน่ะ...” ฉันยกมือขึ้นแตะหน้าอกเป็นการให้คำมั่นสัญญา “ไม่ได้รู้สึกรักหรือชอบคุณเลยแม้แต่นิดเดียว” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่ทำไมสีหน้าของหงเฉินถึงดูไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม นี่ฉันพูดอะไรผิดไปรึไง “ฉันแค่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ในบ้านสกุลหงอย่างมีเกียรติค่ะ และเกียรตินั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณก็ความสำคัญกับฉัน แล้วก็ฉันอยากให้คุณช่วยอ่านจดหมายที่จะส่งถึงม่านซั่วด้วยค่ะ” ฉันพูดไปเท่านี้คนฉลาดอย่างหงเฉินก็คงจะรับรู้ได้ทันทีว่าม่านซั่วกำลังใช้ใครเป็นคนสอดแนมเขา อีกไม่นานม่านซั่วจะส่งจดหมายลับมาถึงฉัน เมื่อนั้นฉันจะรู้ว่าใครเป็นหนู และฉันก็ต้องส่งข้อมูลของหงเฉินให้ม่านซั่ว แต่ข้อมูลนั้นจะเป็นข้อมูลที่สร้างขึ้นมากลางอากาศ หงเฉินถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะเขียนต้องตกลงเพิ่มแล้วเดินไปหยิบตลับชาดกลับมา “ฉันยอมรับข้อเสนอของเธอ” พูดจบก็ใช้นิ้วโป้งประทับลงบนสัญญา ความจริงก็ไม่คิดว่าหงเฉินจะเชื่อใจ แต่เขาน่าจะเชื่อในหนังสือสัญญามากกว่า และถ้าฉันผิดสัญญา เขาจะโยนฉันลงขุมนรกที่ทรมานกว่านี้เป็นพันเท่าอย่างแน่นอน “ขอบคุณค่ะ ฉันจะไม่ทำให้คุณสามีต้องผิดหวัง” ฉันประทับลายนิ้วมืออย่างโล่งใจ ก่อนจะคืนสัญญาให้เขาเก็บไว้ หงเฉินมองฉันด้วยสายตาเย็นชา ฉันอ่านสายตาของเขาไม่ออก แต่มีลางสังหรณ์บางอย่างว่าไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ “งั้นคืนนี้ ฉันจะไปค้างที่ห้องเธอ เตรียมตัวด้วยล่ะ” ถ้อยคำของเขาอย่างกับเสียงเอคโค่สะท้อนอยู่ในหูซ้ำๆ ทำเอาฉันถึงกับอ้าปากค้าง “คะ!?”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม