“กระผมต้องขออภัยคุณอีจริงๆ ครับที่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องหญิงรับใช้ กระผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวครับ” เจียวจ้าวซานโค้งคำนับจนใบหน้าแทบติดหัวเข่า ในขณะที่สาวใช้สามคนด้านหลัง ต่างมองหัวหน้าพ่อบ้านด้วยสายตาสับสน
เห็นเขารู้สึกผิดขนาดนั้น จะให้ฉันทำโทษเขาได้อย่างไร แต่ก็ยังดีที่บ้านสกุลหงยังมีคนที่มีความรับผิดชอบ แตกต่างจากเจ้าของบ้านที่เอาแต่ออกคำสั่ง
ฉันยืนกอดอกพิงประตูอย่างเบื่อหน่าย
“ช่างเถอะ คุณสามีคงจะจัดการหล่อนไปแล้ว ฉันเลยไม่อยากเท้าความยืดยาว”
เจียวจ้าวซานช้อนตามอง เมื่อเห็นว่าฉันไม่ได้พูดอะไรต่อ จึงแนะนำหญิงรับใช้สามคนที่พามาด้วย
“นายท่าน...สั่งกระผมให้นำหญิงรับใช้มาให้นายหญิง...คุณอีเลือกครับ”
ฉันพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะปรายตามองหญิงรับใช้ทั้งสามคน แต่ละคนมีบุคลิกที่แตกต่างกัน คนหนึ่งดูเงียบขรึมน่าจะมีความรับผิดชอบสูง อีกคนหน้าตาสะสวยเหมาะแก่การติดตามออกงาน ส่วนอีกคนดูธรรมดาแต่สายตาที่มองมานั้น...ช่างกระตือรือร้นเหลือเกิน
จะว่าไปในนิยายบทหนึ่งก็มีฉากพาหญิงรับใช้มาแนะนำตัว แต่ม่านอีไม่ได้เลือก คนที่เลือกคือหงเฉิน และเขาก็เลือกสาวใช้คนที่สองให้เธอ เหตุผลก็คือต้องการลดความมั่นใจของม่านอี ทำให้คนอื่นดูถูกว่านายหญิงสกุลหงนั้นมีหน้าตาด้อยกว่าหญิงรับใช้เสียอีก ทำให้ม่านอียิ่งเก็บตัวและไม่ยอมออกงานเลี้ยงใดๆ
ความจริงหญิงรับใช้คนนั้นก็ไม่ได้คิดร้ายต่อม่านอี หล่อนดูแลเจ้านายเป็นอย่างดีแม้ถูกม่านอีทำร้ายเพราะหล่อนสวยกว่าก็ตาม แต่ท้ายที่สุดหล่อนก็หันไปภักดีกับอนุของหงเฉิน
ผู้หญิงคนนั้นชื่อจิ่นม่าย และไม่นานก็จะกลายเป็นนายหญิงของสกุลหงแทนฉัน
ฉันถอนหายใจแล้วถามเจียวจ้าวซานน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“แล้วฉันเลือกได้กี่คน”
พ่อบ้านเจียวเลิกคิ้วขึ้นดูสงสัยในคำถามของฉัน
“กี่คนก็ได้ครับ แต่ถ้าคุณอีไม่พอใจ กระผมจะคัดเลือกคนใหม่มาให้ครับ คุณอีแค่บอกความต้องการมาก็พอครับ”
ฉันโบกมือห้าม
“ไม่จำเป็นหรอก ฉันเลือกทั้งสามคนเลยก็แล้วกัน”
หญิงรับใช้ทั้งสามมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ ก่อนหันไปมองพ่อบ้านเจียว ซึ่งก็ทำหน้าลำบากใจไม่ต่างกัน คงเพราะหญิงรับใช้ในบ้านเหลือน้อย แต่ส่งมารับใช้ฉันตั้งสามคนก็เลยดูเหมือนจะเกินความจำเป็นสินะ
“ขอบใจนะพ่อบ้านเจียว” ฉันส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายเป็นเชิงไล่เมื่อหมดธุระแล้ว
“คะ ครับ เช่นนั้นกระผมขอตัว”
ฉันมองพ่อบ้านเจียวจนลับสายตาก่อนจะหันมามองหญิงรับใช้ทั้งสามด้วยสายตาเรียบนิ่ง พวกหล่อนดูจะรู้ว่าฉันต้องการอะไรจึงรีบแนะนำตัว
“สายัณห์สวัสดิ์ค่ะนายหญิง ดิฉันฮั่วฮั่วค่ะ”
“ดิ ดิฉันลู่เซียวค่ะ”
“ดิฉันจางหลิงค่ะ!”
ฉันมองพวกหล่อนด้วยความเอ็นดู ดูเหมือนว่าพวกหล่อนจะยังไม่มีอคติบังตาสินะ พ่อบ้านเจียวช่างคัดเลือกมาได้ดีจริงๆ
“ฉันม่านอี ต่อไปนี้เรียกคุณอีก็แล้วกันนะ”
“แต่นายหญิง...” ลู่เซียวทำท่าจะแย้ง แต่ฉันกลับส่ายหน้าและยกมือห้ามเสียก่อน
“เรียกคุณอีนั่นแหละดีแล้ว อย่างน้อยฉันก็รู้สึกว่าพวกเราน่าจะสนิทกันได้” และเพื่อแผนการหย่าของฉัน ฉันตั้งใจจะติดสินบนหญิงรับใช้โดยใช้ความไว้ใจเป็นตัวล่อ อย่างน้อยพวกเธอก็น่าจะเข้าข้างฉันในตอนที่หงเฉินพยายามทำให้ฉันเสียใจ
“ได้เลยค่ะคุณอี!” จางหลิงตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใส ส่วนฮั่วฮั่วกับลู่เซียวก็จำใจต้องทำตาม
จากนี้ฉันจะต้องพยายามอ่อนโยนกับพวกหล่อนให้ได้มากที่สุด
ฉันเปิดประตูกว้างเช่นเดียวกับเปิดใจ จากนั้นก็ต้อนรับทั้งสามคนด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
“เข้ามาข้างในสิ วันนี้ช่วยฉันแต่งตัวก่อนก็แล้วกัน พอดีฉันมีนัดอาหารค่ำกับคุณสามี”
เมื่อถึงเวลานัดหมาย ฉันก็ได้ให้ฮั่วฮั่วที่ดูสุขุมกว่าใครเป็นคนนำทางไปยังห้องอาหาร โดยระหว่างทางก็ได้ทักทายเหล่าผู้รับใช้อย่างเป็นมิตร เพื่อให้พวกเขาได้รู้ว่านายหญิงคนนี้เป็นคนใจดีแต่ก็ไม่ได้หัวอ่อนอย่างในข่าวลือ ฉันต้องสร้างตัวตนใหม่ลบล้างตัวตนเก่า จะได้ไม่ถูกใครบางคนข่มเหง
ไม่นานก็มาถึงห้องอาหารที่อยู่ชั้นสอง ฉันเดินเข้าไปในห้องก็ถึงกับตะลึงในความหล่อของพ่อพระเอกธงแดง เฮ้อ...น่าเสียดายหน้าตาหล่อๆ นั่นชะมัดเลย ถ้าตัดเรื่องปากพล่อยกับนิสัยเสียนั่นไปได้ก็คงจะดี
“คุณอี เชิญทางนี้ขอรับ” พ่อบ้านเจียวนำทางไปยังที่นั่งต่อจากฮั่วฮั่ว
ฉันแอบเห็นหงเฉินชักสีหน้าไม่พอใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาเย็นชาดังเดิม แน่นอนว่าฉันก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะเป้าหมายในวันนี้คือการเจรจา ถ้าตกลงกันได้ในคราวเดียวก็คงจะดี
“ขอบใจจ้ะ” ฉันตอบกลับพลางนั่งลงข้างกายผู้เป็นสามี ก่อนจะมองอาหารตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
นี่มัน...แห้งแล้งมาก ให้ตายเถอะ ฉันรู้ว่าสกุลหงถังแตกขนาดไหน แต่ก็ไม่คิดว่าทุกจานมีแค่ผักแบบนี้ อย่างน้อยก็ต้องมีเนื้อบ้างสิ!
ฉันเงยหน้ามองคนที่เอาแต่คีบผักเข้าปาก จานหนึ่งเป็นผักบุ้ง จานหนึ่งเป็นหัวหอม อีกจานก็เต้าหู้ผัก ยังดีที่มีเต้าหู้ ถ้าเขากินแบบนี้ทุกมื้อ ฉันได้เหี่ยวเฉาตายแน่
แต่วันแรกคงจะบ่นมากไม่ได้ ไม่อย่างนั้นการเจรจาคงล่มก่อนที่จะได้พูด
ฉันคีบผักบุ้งที่ผัดจนสลดมาวางบนถ้วยข้าวตัวก่อน ก่อนจะกินเป็นคำเล็กๆ ให้ดูไม่มูมมาม ทั้งที่ใจอยากจะกวาดทุกอย่างลงท้องให้หายหิวในคราวเดียว
ทว่าระหว่างกินไปก็ลอบมองหงเฉินไปพลาง รู้สึกชื่นชมนักเขียนเหลือเกินที่สร้างเบ้าหน้าพระเอกมาได้หล่อเกินต้านขนาดนี้ แต่ระหว่างที่กำลังปั้นผู้ชายคนนี้ พระเจ้าคงลืมใส่นิสัยดีๆ เข้ามาด้วย จากพระเอกทรงดอกท้อถึงกลายเป็นดอกทองไปเสียได้
ดูเหมือนว่าหงเฉินจะเริ่มรำคาญสายตาของฉัน จึงกระแทกตะเกียบลงกับโต๊ะอาหารแล้วถามฉันด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“มีอะไรก็พูดมา สายตาของเธอมันน่ารำคาญ”
ฉันเหลือบมองค้อนเล็กน้อย นายเป็นพระเอกก็จริง แต่จำเป็นต้องถากถางฉันต่อหน้าคนรับใช้ด้วยรึไง อ้อ...เมื่อครู่มันสงบจนเกือบลืมไปเลยว่าตานี่ก็ชอบข่มเหงฉันเหมือนกับคนอื่น
เป็นไปได้ก็อยากจะปาใบหย่าใส่หน้าหมอนี่เสียเดี๋ยวนี้ แต่ติดที่ทำแล้วฉันน่าจะถูกม่านซั่วกำจัดทิ้งเพราะไร้ประโยชน์น่ะสิ ใจเย็นไว้ ใจเย็น...ฉันต้องยืมมืออีตานี่กำจัดม่านซั่วไปก่อนถึงจะหย่าได้
ฉันสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อตั้งสติและควบคุมอารมณ์ ก่อนจะเงยหน้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ
“ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณค่ะ” ฉันเปิดประเด็นก่อน พลางปรายตามองพ่อบ้านเจียว เรื่องนี้ฉันไม่อยากให้คนอื่นต้องรับรู้ด้วย
หงเฉินกลอกตาอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะโบกมือไล่พ่อบ้านเจียวออกไป จากนั้นก็หันมามองฉันด้วยสายตาเอือมระอา
“อยากพูดอะไรก็พูดมา แต่ถ้าพูดเรื่องไร้ประโยชน์ละก็ ฉันจะไล่เธอไปอยู่บ้านเล็กหลังตึก จะได้สำนึกบ้างว่าใครเป็นผู้ปกครองของเธอ”
ออหอที่ไม่ได้แปลว่าโอ้โห ให้ตายสิ ฉันเกือบลืมไปแล้วว่าผู้ชายคนนี้เป็นจอมเผด็จการ
“ฉันรู้ว่าคุณสามีไม่ชอบฉัน ฉันเลยมีข้อเสนอค่ะ”
หงเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยทั้งที่สีหน้ายังไม่สบอารมณ์เช่นเดิม แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจนิดหน่อย เลยทำให้ฉันมีความกล้ามากขึ้น
“ฉันพอจะรู้ความต้องการของคุณ คุณอยากให้สกุลม่านล่มสลายใช่ไหมคะ”
ปัง!
ฉันสะดุ้งเมื่อเสียงตบโต๊ะอาหารดังลั่น และหงเฉินก็ดูจะโกรธมากด้วย ไม่สิ เขากำลังกลบเกลื่อนอยู่ต่างหาก ดังนั้นฉันต้องตั้งสติและสุขุมเข้าไว้
“ให้ฉันร่วมมือกับคุณได้ไหมคะ” ฉันถาม ทว่าเขากลับมองฉันอย่างไม่ไว้ใจ
“เธอมันบ้า คิดว่าฉันจะเชื่อคำพูดไร้สาระของเธอรึไง”
ฉันกลอกตาเล็กน้อยก่อนจะคีบเต้าหู้ขึ้นมากินทั้งที่อยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ก็แล้วยังไงล่ะ คนมันหิวนี่นา ส่วนหงเฉินก็ถลึงตามองฉันอย่างระแวง
ก็ไม่แปลกถ้าเขาจะระแวง เขาต้องระแวงแน่เพราะเขาคิดว่าฉันเป็นคนของม่านซั่วที่มาเพื่อควบคุมเขา แต่ฉันจะเปิดเผยบางอย่างให้เขาได้รู้ เพื่อสร้างความไว้ใจ
“ฉันไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของม่านซั่วค่ะ แต่เป็นลูกสาวของม่านถัง พี่ชายที่ม่านซั่วหักหลังแล้วยึดธุรกิจไปเหมือนกับที่ทำกับพ่อของคุณ พวกเราอยู่ในสถานะเดียวกันค่ะ แบบนี้พอจะร่วมมือกันได้หรือยังคะ”